Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1227 ไม่รู้จักเห็นค่าความหวังดี

ตอนที่ 1227 ไม่รู้จักเห็นค่าความหวังดี

ถานไถหลิ่วมีทุนทรัพย์ให้หยิ่งทะนงจริงๆ เพียงคนเดียวก็บีบจนผู้แข็งแกร่งคนอื่นเข้าใกล้ไม่ได้ เกือบต้านทานไม่อยู่ พลังต่อสู้เป็นเลิศ

คนที่เข้าใจจะรู้ดีว่าในสำนักเอกอุ หวังเสวียนอวี๋คือบุคคลขอบเขตมกุฎผู้หนึ่งที่เจิดจรัสที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย ถูกมองเป็นผู้นำคนรุ่นเยาว์ของสำนัก

แต่ถานไถหลิ่วก็ไม่อาจดูหมิ่นได้ง่ายๆ นอกจากชื่อเสียงที่โด่งดังสู้หวังเสวียนอวี๋ไม่ได้ แต่หากกล่าวถึงรากฐานพลังและพลังต่อสู้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหวังเสวียนอวี๋เลยแม้แต่น้อย!

ที่สำคัญกว่าคือ เขาเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่ง!

ตูม!

บนหินไตรภพถานไถหลิ่วสู้กับศัตรูรอบทิศเพียงลำพัง เขาสวมชุดคลุมพญางูสีเหลืองสว่างราวกับบุตรแห่งสวรรค์ แต่ละกระบวนท่าไม่มีท่าใดที่ไม่สาดแสงมรรคบาดตา

เสียงปึงดังสนั่น ไม่นานศัตรูคนหนึ่งก็ถูกกำราบ ถูกฝ่ามือหนึ่งของถานไถหลิ่วฟาดหน้าอกลอยกระเด็น

ผู้แข็งแกร่งคนอื่นต่างหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ท่าทางตกที่นั่งลำบาก

“ข้าบอกแล้ว พวกเจ้าไม่มีโอกาส!”

ถานไถหลิ่วสีหน้าไม่สะทกสะท้าน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมาดมั่น

แววตาเขาดุจสายฟ้า กวาดสายตาไปยังจุดอื่น “ยังมีพวกหนูที่ซ่อนตัวในความมืดอีก ฉวยโอกาสก่อนที่ข้าจะโกรธรีบไสหัวไปจะดีที่สุด!”

เสียงดั่งฟ้าคะนอง ทำให้สีหน้าผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนในความมืดเปลี่ยนไปเล็กน้อย

บนหินไตรภพผู้สืบทอดของสำนักเอกอุไม่ได้มีแค่ถานไถหลิ่วคนเดียว ยังมีอีกสี่คนนั่งครองรอบทิศ แต่ล้วนไม่ได้ลงมือ

เพราะแค่ถานไถหลิ่วคนเดียวก็พอที่จะกำราบทั้งลานแล้ว!

หลินสวินสังเกตเห็นอย่างชัดเจน ว่าผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งในที่ลับตัดสินใจยอมแพ้ จากไปอย่างเงียบเชียบ

แต่ก็มีบางส่วนรั้งอยู่ เห็นชัดว่าไม่ยินยอมจากไปเช่นนี้

“หึ ไม่รู้จักดีชั่ว เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไร้น้ำใจ!”

ถานไถหลิ่วแค่นเสียงเย็นชา ระเบิดแสนยานุภาพทันที เพียงพริบตาก็กำราบศัตรูไปสองคน ทั้งลงมือปลิดชีพทั้งคู่อย่างเหี้ยมโหด!

‘เจ้าหมอนี่เหมือนกับอูหลิงเต้า ก้าวสู่ระดับอมตะเคราะห์ขั้นหนึ่งแล้ว มิน่าถึงกล้ามองเหล่าผู้กล้าราวสิ่งไร้ค่า’

นัยน์ตาดำของหลินสวินไหววูบ

พร้อมกันนี้ข้างหูเขามีเสียงสื่อจิตหนึ่งดังขึ้น ‘ข้าน้อยหวังจื่ออิงแห่งสำนักกระบี่ศาลเหลือง ยินดีที่ได้พบสหายยุทธ์หลิน’

หลินสวินสีหน้าราบเรียบ ในจิตรับรู้สืบพบว่าในซากปรักหักพังที่ห่างไปไม่ไกลมีชายหนุ่มสวมชุดบัณฑิตขาวหิมะคนหนึ่งยืนอยู่

‘มีอะไรพูดมาตรงๆ’

หลินสวินรู้ว่าสำนักกระบี่ศาลเหลืองนี้คือสำนักเก่าแก่แห่งหนึ่งในแดนดาราอุดร

‘พวกเราอยากร่วมมือกับสหายยุทธ์หลินขับไล่สำนักเอกอุออกไป ร่วมปันคัมภีร์โบราณหินสลักนั้นด้วยกัน ไม่ทราบว่าสหายยุทธ์หลินคิดอ่านประการใด’

หวังจื่ออิงพูดตรงๆ

นัยน์ตาดำของหลินสวินหรี่ลงเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่ามีพลังจิตรับรู้อย่างน้อยหกสายจับจ้องตนอยู่

เห็นได้ชัดว่าเจ้าของจิตรับรู้เหล่านี้เป็นพวกของหวังจื่ออิง คิดอยากร่วมมือกับตนจัดการพวกถานไถหลิ่วด้วยกัน

‘สหายยุทธ์หลิน เจ้าตัวคนเดียว แม้พลังต่อสู้ไม่ธรรมดา แต่หากคิดแย่งชิงคัมภีร์โบราณนั่นเกรงว่าคงยากนัก’

หวังจื่ออิงเสียงทุ้มต่ำราบเรียบ ‘หากร่วมมือกับพวกเรา ไม่เพียงแต่ได้หยั่งรู้คัมภีร์โบราณนั่นด้วยกัน ยังจะได้รับ ‘ไมตรี’ ของพวกเราด้วย’

เดิมทีหลินสวินยังใคร่ครวญบ้าง แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็มุ่นคิ้วทันที

เห็นหลินสวินไม่กล่าววาจา หวังจื่ออิงคล้ายไม่พอใจอยู่บ้าง ‘สหายยุทธ์หลิน โอกาสมาถึงแล้ว หวังว่าเจ้าจะตัดสินใจโดยเร็ว มิฉะนั้นอีกเดี๋ยวยามพวกเราลงมือเกรงว่า…’

หลินสวินกล่าว ‘เกรงว่าอะไร’

แววตาหวังจื่ออิงฉายแววเย็นเยียบ ‘เกรงว่าพวกเราคงได้เป็นศัตรูไม่ใช่สหายแล้ว’

น้ำเสียงเจือกลิ่นอายข่มขู่คล้ายมีคล้ายไม่มี

หลินสวินเข้าใจในทันที เกรงว่าพวกหวังจื่ออิงคงไม่อยากร่วมมือกับตนแต่แรก

สาเหตุที่อยากดึงตนเป็นพวก ก็แค่ห่วงว่าตนจะสอดมือเข้าไปแย่งด้วยเท่านั้น

‘พี่หลิน เจ้าฝึกปราณมาอย่างยากลำบาก สามารถประสบความสำเร็จเช่นวันนี้ได้ทำให้พวกเราชื่นชมอย่างยิ่ง แต่หากเจ้าดึงดันทำตามใจ ผลที่ตามมาเกรงว่าคงไม่ดีนัก’

หวังจื่ออิงกล่าว ‘เอาอย่างนี้แล้วกัน ขอแค่เจ้ารับปากว่าจะไม่ยุ่งเรื่องนี้ เฝ้ามองอย่างเดียวก็จะได้รับ ‘ไมตรี’ ของพวกเราเช่นกัน’

เขาพูดว่องไว เพราะการโรมรันบนหินไตรภพใกล้ปิดฉากลงแล้ว!

‘มิตรภาพของพวกเจ้า…’

มุมปากหลินสวินโค้งเป็นรอยยิ้ม ‘มีค่าเท่าไหร่กัน ในเมื่อเจ้าพูดจาชัดเจน เช่นนั้นข้าจะบอกพวกเจ้าอย่างไม่มีปิดบังว่าจากไปตอนนี้ยังทัน มิฉะนั้นอีกเดี๋ยวทันทีที่เปิดศึก อยากจะหนีคงไม่ง่ายอย่างนั้นแล้ว’

‘เจ้า!’

หวังจื่ออิงสีหน้าขรึมทันที ในใจโมโหยิ่งนัก เขาคิดว่าตนยอมอ่อนน้อมถ่อมตัวแล้ว ใครจะคิดว่าเทพมารหลินนี่จะไม่รับน้ำใจแม้แต่น้อย!

พวกพ้องของหวังจื่ออิงอดยิ้มเย็นในใจไม่ได้ เทพมารหลินนี่โอหังเหมือนข่าวลือจริงๆ

คิดจริงหรือว่าล้างบางภูเขาแดนมงคลไม่กี่ลูกแล้วจะไม่สนอะไรเลยได้

‘ไม่รู้จักเห็นค่าความหวังดี!’

ครู่ใหญ่หวังจื่ออิงจึงแค่นเสียงเย็นชา

วาจานี้ไม่เกรงใจกันแล้ว

หลินสวินเห็นดังนี้ ในดวงตาดำพลันฉายแววเย็นเยียบ ไม่พูดอะไรมากอีก เขาหยัดร่างขึ้น เงาร่างเผยออกมาจากความมืด

‘หืม?’

สีหน้าหวังจื่ออิงอึมครึมถึงขีดสุดทันใด เจ้าหมอนี่คิดเป็นศัตรูกับพวกเขาจริงรึ

‘พี่หวัง อย่างนี้ไม่ยิ่งดีกว่าหรือ ให้เทพมารหลินปะทะสำนักเอกอุ ก็เหมือนนกปากซ่อมสู้กับหอยกาบ ส่วนพวกเราแค่รอรับประโยชน์อย่างชาวประมงก็พอแล้ว’

มีคนหัวเราะเบาๆ เผยความตื่นเต้นยินดีออกมา

คนอื่นๆ ต่างรื่นเริงไม่หยุด สามารถทำให้เทพมารหลินไปตีทัพหน้าอย่างว่าง่ายได้ สำหรับพวกเขาแล้วย่อมเป็นสิ่งที่อยากให้กลายเป็นจริง

หวังจื่ออิงก็ตอบสนองในทันใด สีหน้าเยียบเย็นทะมึนสลายหายไปทันที ถูกรอยยิ้มเย็นเข้ามาแทน

เทพมารหลินนี่… ยังเยาว์วัยนัก!

ขณะเดียวกันบนหินไตรภพถานไถหลิ่วได้กำราบคู่ต่อสู้อย่างแข็งกร้าว ปลิดชีพห้าคน หนีเตลิดหกคน ผลงานงดงามอย่างยิ่ง

“ไม่ใช่ว่าข้าอวดดี แต่ไม่มีพวกที่พอต่อกรได้ต่างหาก!”

ถานไถหลิ่วหัวเราะลั่น อิ่มเอมยินดีจิตใจฮึกเหิม

“ที่ศิษย์พี่ถานไถกล่าวมาทั้งหมดถูกต้องที่สุด กวาดสายตามองคนรุ่นเดียวกัน ใครจะเอาชนะได้”

“ศิษย์พี่ถานไถดั่งจันทร์กระจ่างบนฟากฟ้า คนอื่นล้วนเป็นเพียงหิ่งห้อย จะเจิดจรัสสู้ท่านได้อย่างไร”

ผู้สืบทอดสำนักเอกอุที่อยู่ใกล้เคียงต่างพากันชื่นชม ท่าทีราวรู้สึกเป็นเกียรติ

ถานไถหลิ่วรู้ดีว่านี่คือการประจบประแจง แต่ในใจก็ยังเพลิดเพลิน อดหัวเราะลั่นอีกครั้งไม่ได้ ทอดถอนใจกล่าว “ยิ่งสูงยิ่งหนาว ใครเล่าจะเข้าใจ… หืม?”

เขาชะงักไปทันที สังเกตเห็นหลินสวินที่ก้าวออกมาจากความมืดแล้วเลิกคิ้วขึ้นทันใด “เจ้าเป็นใคร หรือว่าอยากรนหาที่ตายเหมือนกัน”

ด้านข้างหญิงสาวคนหนึ่งตกใจกล่าวว่า “ศิษย์พี่ถานไถ เจ้าหมอนี่ก็คือเทพมารหลิน!”

เทพมารหลิน!

เพียงสามคำราวกับมีเวทมนตร์ ทำให้บรรยากาศในที่นั้นเงียบสนิททันที และพาให้คนอื่นในสำนักเอกอุพลันหน้าเปลี่ยนสี ในใจเครียดขมึง

ทุกวันนี้ใครกล้าพูดว่าไม่เคยได้ยินชื่อเทพมารหลิน เช่นนั้นคงเสียชาติเกิดแล้ว

นี่เป็นถึงบุคคลร้ายกาจที่ป่าเถื่อนหาใดเปรียบคนหนึ่ง ใจกล้าสะท้านฟ้า เคยล้างบางภูเขาแดนมงคลหลายลูก ยามอยู่ที่ดินแดนรกร้างโบราณก็ชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้าอยู่ก่อนแล้ว

ผู้สืบทอดสำนักเอกอุเหล่านี้ไม่มีทางไม่รู้เรื่องพวกนี้แน่

ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นหลินสวินปรากฏตัว พวกเขาจึงระวังตัวขึ้นมา

สังเกตเห็นว่าบรรยากาศเปลี่ยนไป ถานไถหลิ่วอดมุ่นคิ้วไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าหลินสวินมาคนเดียวก็ไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม

“ศิษย์น้องทุกท่าน ก็แค่เทพมารหลินตัวเล็กๆ คนเดียวเท่านั้น ทำไมต้องเสียอาการเช่นนี้ด้วย”

ถานไถหลิ่วกล่าวตำหนิ ทำให้คนอื่นเผยสีหน้าละอาย จากนั้นก็ใจกล้าขึ้นมา จริงดังว่า ฝั่งพวกเขามีศิษย์พี่ถานไถนั่งบัญชา จะต้องกลัวอะไรอีก

“เทพมารหลินใช่ไหม เจ้าเองถือเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่ง ข้าจะใจกว้างกล่าวเตือนเจ้าสักหน่อย จงหลีกไปเสียแต่ตอนนี้ มิฉะนั้นวันนี้จะเป็นวันที่เจ้าสิ้นชื่อ!”

ถานไถหลิ่วเชิดคางขึ้นเล็กน้อย แววตาเยียบเย็น เหลือบสายตาจากบนหินไตรภพก้มมองหลินสวินที่ก้าวออกมา

ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือท่าทางล้วนเจือกลิ่นอายเย้ยหยันเสี้ยวหนึ่ง ใช้วิธีการเช่นนี้แสดงท่าทีของเขาที่มีต่อเทพมารหลิน!

ราวกับกำลังพูดว่าพวกเจ้าล้วนกลัวเทพมารหลิน แต่เขาไม่หวั่นเกรง!

ในความมืดพวกหวังจื่ออิงต่างตื่นเต้นยินดี จับตามองอย่างใกล้ชิด

“ใครให้ความกล้าเจ้าขนาดนี้ ถึงกับกล้าพูดจาเช่นนี้กับข้ารึ”

หลินสวินเตะเท้าลอยขึ้นไปบนอากาศ กวาดสายตามองพวกถานไถหลิ่วอย่างเฉยชาแล้วกล่าว “พวกเจ้ามีใครรู้บ้างว่าหวังเสวียนอวี๋อยู่ที่ไหน ตอนนี้ข้าจะปล่อยไปแจ้งข่าวกับหวังเสวียนอวี๋”

คำพูดสบายๆ แต่กลับทำให้พวกหวังจื่ออิงอดตะลึงไม่ได้ เจ้าหมอนี่พูดจาใหญ่โตเสียจริง ถึงกับไม่เห็นถานไถหลิ่วในสายตา ทั้งยังขานชื่อหาหวังเสวียนอวี๋ด้วย!

เหล่าผู้สืบทอดสำนักเอกอุต่างทำท่าราวกับว่า ‘ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม’ ออกมา หมดคำพูดแล้วจริงๆ เทพมารหลินนี่บ้าระห่ำเหมือนข่าวลือดังคาด

เพียงแต่คราวนี้เขาต้องได้รับบทเรียนราคาแพงแน่!

“เจ้า… คิดว่าข้าสู้หวังเสวียนอวี๋ไม่ได้รึ”

สีหน้าถานไถหลิ่วเยียบเย็นถึงขีดสุด ชุดคลุมพญางูเหลืองสว่างส่งเสียงสะบัด แผ่กลิ่นอายน่าหวาดกลัวผงาดผยองไปทั้งตัว

คนอื่นๆ ใจสะดุดรู้ว่าศิษย์พี่ถานไถโกรธแล้ว ต้องรู้ว่าเขาไม่ชอบหน้าหวังเสวียนอวี๋ที่สุด!

“ข้าไม่เคยเจอหวังเสวียนอวี๋ แต่จากมุมมองข้า พวกเจ้าคงพอๆ กัน ไม่ต่างกันเท่าไร”

วาจาหลินสวินเรื่อยเปื่อย แต่เมื่อเข้าหูคนอื่นกลับดูหยิ่งผยองอย่างยิ่ง!

ด้วยใครบ้างไม่รู้ว่าถานไถหลิ่วหรือหวังเสวียนอวี๋ล้วนเป็นยอดบุคคลในหมู่มกุฎราชันทั้งสิ้น

กวาดสายตามองทั่วแดนเก้าบน เกรงว่ามีไม่กี่คนที่กล้าวิจารณ์พวกเขาเช่นนี้!

“รนหาที่ตาย!”

ถานไถหลิ่วทนไม่ไหวอีกต่อไป ตะโกนลั่นพร้อมทะยานขึ้นมา ทั่วร่างสาดแสงมรรคสีนิลไร้สิ้นสุด

ตูม!

เขาปล่อยหมัดออกไป อานุภาพดุจมังกร แหวกทะลวงความว่างเปล่าโดยรอบ

แข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่อีก!

ในความมืดแววตาของพวกหวังจื่ออิงส่องประกาย ต่างมองออกว่ายามเผชิญหน้าศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างเทพมารหลิน ถานไถหลิ่วก็ไม่ถูกเพลิงโทสะครอบงำจนเสียสติ หากแต่ใช้วิธีที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า

แก่นอัศจรรย์ที่หมัดนี้เผยออกมา พอจะทำให้ใครก็ตามในรุ่นเดียวกันต่างไหวหวั่น!

เพียงพริบตาหลินสวินก็วินิจฉัยออก พลังต่อสู้ของถานไถหลิ่วนี่พอๆ กับอูหลิงเต้าองค์ชายสิบสามเผ่าอีกาทอง

เหนือความคาดหมายของทุกคน หมัดที่ถานไถหลิ่วซัดออกมาราวต่อยโดนกำแพงอากาศ ไม่ทันเข้าใกล้หลินสวินก็ถูกขัดขวาง ส่งเสียงทึบลึกดังสนั่น

หลินสวินยืนอยู่จุดเดิมไม่ขยับ ในดวงตาเจือแววเพลิดเพลินเสี้ยวหนึ่ง นั่นคือท่าทีประหนึ่งหยอกเย้า

ถานไถหลิ่วสีหน้าทะมึนทันที ส่งเสียงตะเบ็งลั่นพลังพลุ่งพล่านไปทั้งตัว แสงมรรคคลั่งระห่ำรวมกันระหว่างนิ้ว ระเบิดพลังออกไปอีกครั้ง

ตูม!

พลังหมัดรุนแรงทำลายสิ่งกีดขวาง พุ่งตรงไปยังศีรษะหลินสวิน

ทว่าเวลานี้เบื้องหน้าหลินสวินปรากฏอักษรเคราะห์เจิดจ้าตัวหนึ่ง ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นสัตว์เทพฟู่ซี่ทะยานนภาพุ่งเข้าปะทะ!

เสียงระเบิดดังเสียดหู พลังหมัดจ้าตากลายเป็นจุณ ทั้งตัวถานไถหลิ่วถูกกระแทกจนกระเด็นลอยออกไป!

…………………..

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท