หลินสวินตายแล้ว
อวิ๋นชิ่งไป๋รู้สึกเสียดายอยู่เนืองๆ หลายปีมานี้เขาเกิดจิตสังหารหนักแน่นเช่นนี้เป็นครั้งแรก แต่ไม่ทันรอให้ลงมือคู่ต่อสู้กลับตายไปเสียแล้ว
สิ่งนี้พาให้อวิ๋นชิ่งไป๋อดปลงตกว่าโชคชะตากลั่นแกล้งอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ไปเถอะ”
อวิ๋นชิ่งไป๋ส่ายหน้า สองมือไพล่หลังก่อนจากไปอย่างผ่าเผย
ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าตามหลังเขามาติดๆ ในใจต่างพากันเสียดายเล็กน้อย หลินสวินตายแล้ว น่าเสียดายที่ไม่ได้ตายด้วยน้ำมือพวกเขา…
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้พวกเขาทั้งดีใจ แต่กลับดีใจไม่สุด
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป การพูดคุยเกี่ยวกับหลินสวินในแดนเก้าบนยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งต่อมาก็ไม่มีใครเอ่ยถึงอีก
ถึงอย่างไรคนตายคนหนึ่ง แม้ตอนยังมีชีวิตจะโดดเด่นจรัสแสงมากเพียงใด แต่พอตายไปก็ไม่พ้นเป็นเพียงกองดินกองกระดูกแห้งหนึ่งกองที่มลายหายไปในสายลม!
……
ด้านนอกเขตต้องห้ามแม่น้ำนรก มีป่าทึบเขียวชอุ่มผืนหนึ่ง
หนึ่งปีหลังข่าวการตายของหลินสวินแพร่ออกไป กลางป่าทึบปรากฏกระท่อมมุงจากหลังหนึ่ง นอกกระท่อมขุดแปลงดอกไม้ ไร่โอสถ และทุ่งสมุนไพรพืชดอกไม้
ทุกๆ วันจะมีหญิงสาวในชุดสีขาวเรียบง่ายคนหนึ่งคอยบากบั่นทำงานหนักในไร่โอสถแปลงดอกไม้ นางจะหย่อนตัวนั่งลงบนตั่งไม้ใต้ชายคาเป็นครั้งคราว ลูบไล้กระถางสมบัติใบหนึ่งในมือด้วยอาการเหม่อลอย
หญิงสาวงามพิสุทธิ์ราวกับจันทร์กระจ่าง รูปโฉมเกลี้ยงเกลาท่าทางนิ่งเงียบ เพียงแต่ดูซูบผอมลงจากเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด
“ศิษย์น้องจิ่งเซวียน เขาตายไปแล้ว เจ้ายังจะคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ไปถึงเมื่อไหร่กัน”
เยี่ยนจั่นชิวจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่เป็นระยะ สีหน้าดูซับซ้อนมากขึ้นในแต่ละครั้ง สภาพอารมณ์ก็ยิ่งเคียดแค้นมากขึ้นในทุกๆ ครั้ง
แค่เพราะหลินสวินคนเดียว เหตุใดต้องเป็นถึงขั้นนี้
เขาไม่เข้าใจ
และไม่อยากเข้าใจด้วย!
“แดนเก้าบนวาสนานับไม่ถ้วน เจ้าคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ก็เท่ากับเสียโอกาสในการฝึกปราณของตน ทำลายมรรคาของตัวเอง!”
“ศิษย์น้องจิ่งเซวียน ตามข้ามาดีกว่า เจ้ายังมีหนทางเบื้องหน้าที่ดีกว่ามาก ไยต้องทรยศช่วงเวลาอันดีงามของตัวเองเพียงเพราะคนตายคนหนึ่งด้วย”
ทุกครั้งเยี่ยนจั่นชิวล้วนจะเตือนสติสุดกำลัง แต่ก็ได้รับความล้มเหลวกลับไปทุกครั้ง
สิ่งนี้ทำให้เขาค่อยๆ หมดความอดทน และมาเยือนน้อยครั้งลงเรื่อยๆ
จ้าวจิ่งเซวียนไม่สนใจเรื่องพวกนี้สักนิด
นางไม่เชื่อตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาจะตายไปเช่นนี้
……
เวลาเคลื่อนคล้อย ราวกับควบม้าผ่านช่องแคบ
ปีที่สองที่ถูกจองจำใต้แม่น้ำนรก และเป็นปีที่สามที่แดนมกุฎปรากฏในดินแดนรกร้างโบราณด้วยเช่นกัน
หลินสวินตื่นจากการนั่งสมาธิ
โคมไร้มลทินสีเหลืองนวลส่ายไหว กลางห้วงอากาศในเตาหลอมที่แปลงจากเพลิงมรรคอัศจรรย์ ประกายแสงดุจมายาไหลเวียนราวกับกระแสน้ำเชี่ยว
จะเห็นได้รางๆ ว่าดาบหักเล่มหนึ่งลอยอยู่ในนั้น ลึกลับและพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
บนพื้นเจตวัตถุที่แต่เดิมกองพะเนินราวกับภูเขาลูกย่อมถูกใช้หมดเกลี้ยง ว่างเปล่าไม่เหลือไปตั้งนานแล้ว
อาศัยเพียงความรู้สึก หลินสวินก็รับรู้ได้ว่าอานุภาพของดาบหักเพิ่มขึ้นอีกราวๆ หนึ่งส่วน
ดูคล้ายพลังเพิ่มไม่เท่าครั้งแรก แต่หลินสวินรู้ดี อานุภาพที่เพิ่มพูนของดาบหักยิ่งนานยิ่งเพิ่มขึ้นได้ยาก ก็เหมือนกับการฝึกปราณ ยิ่งสูงขึ้นก็ยิ่งยากจะปีนป่าย
สามารถเพิ่มอานุภาพขึ้นมาหนึ่งส่วนก็นับว่าไม่เลวมากแล้ว
ชิ้ง!
หลินสวินยื่นมือออกไปเรียก เก็บดาบหักกลับคืนมา
เมื่อเทียบกับก่อนจะปิดด่านใต้แม่น้ำนรกแห่งนี้ ดาบหักเปลี่ยนเป็นโปร่งใส ลวงตา พิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น แต่กลับมีความคมกริบสะท้านโลกอย่างถึงที่สุดที่ซ่อนอยู่ภายใน!
ดูไปแล้วเหมือนมันเหมือนแสงเคลื่อนไหวที่ขาวเจิดจ้า เบาหวิวดั่งขนนก แต่กลิ่นอายของมันต่างจากที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง
ที่น่าเสียดายคือ ดาบหักยังคงเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนเป็นสภาพสมบูรณ์
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า ในระยะเวลาเนิ่นนานนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากอยากทำให้ดาบหักเปลี่ยนสภาพ เจตวัตถุทั่วไปนั้นไม่สามารถทำได้แน่
ตูม!
มือหลินสวินกำดาบหัก แทงลึกลงไปบริเวณข้อมือจนเกิดบาดแผลลึกถึงเส้นเอ็น เลือดพุ่งกระเซ็นออกมาเหมือนน้ำพุ
แต่เพียงพริบตาเดียวบาดแผลก็คืนสภาพ ไม่เห็นร่องรอยของอาการบาดเจ็บสักนิด!
นี่คือพลังของมหามรรคไร้มรณะที่เลื่อนสู่ระดับ ‘แก่นมรรค’
ครืน!
จากนั้นพร้อมๆ กับความคิดที่หมุนเปลี่ยนของหลินสวิน เสียงมังกรครวญเสียงหนึ่งดังเนิบช้าขึ้นมาจากในร่าง ทันใดนั้นภายในกายเปล่งอานุภาพมังกรอันยิ่งใหญ่ น่าเกรงขาม และไพศาลออกมา
ท่ามกลางความเลือนราง ผู้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นไม่ใช่คนอีกแล้ว แต่เป็นมังกรฟ้าที่ขดตัวแหงนหน้าขึ้นหนึ่งตัว!
คนดุจมังกร!
นัยเร้นลับสูงสุดของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรก็คือแปลงมังกร แปลงร่างลูกมังกรทั้งเก้าตัวที่มีลักษณะต่างกันเป็นเจินหลิงมังกรแท้จริง ทำให้มรดกวิชานี้พลอยเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่เอี่ยมตามมาด้วย
หลินสวินในยามนี้หากถูกผู้ฝึกปราณคนอื่นเห็นเข้า เกรงว่าคงพากันคิดว่าเขาเป็นทายาทเลือดบริสุทธิ์ของสายเลือดเจินหลง!
‘ปราณฝึกบรรลุขั้นสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้เหลือแค่ทะลวงขอบเขตเพียงอย่างเดียว ชักนำด่านอสนีเคราะห์…’
หลินสวินสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของพลังรอบตัว พิจาราณาอยู่ในใจเงียบๆ
ถูกจองจำอยู่ใต้แม่น้ำนรกแห่งนี้เป็นปีที่สองแล้ว ไม่ว่าวิชายุทธ์ การหยั่งรู้มรรค หรือจะเป็นด้านการฝึกปราณ ล้วนพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แม้แต่อานุภาพของดาบหักยังได้รับการพัฒนาไปด้วย
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้น่าทึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สำหรับหลินสวินกลับเป็นเรื่องที่ควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
พลังจิตของจากหนึ่งเปลี่ยนเป็นสาม สามารถเคี่ยวกรำพลังปราณ การหยั่งรู้มรรค และวิชายุทธ์ได้ในเวลาเดียวกัน จุดนี้ทำให้เขาประหยัดเวลาอันมีค่าได้มากทีเดียว
พร้อมกันนั้น ‘มรรคพ้องดั่งใจ’ ของดวงใจฉิวหนิวที่ใช้หยั่งรู้มหามรรค ก็ทำให้เขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในด้านการฝึกมหามรรคอีกด้วย!
แม้การฝึกปราณต้องมีแรงหนุนจากโอสถเทพและโอสถราชันจำนวนมาก แต่เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ของการฝึกปราณที่ถ้ำสวรรค์แดนมงคลแล้ว มีแต่เหนือชั้นกว่าอย่างที่สุดเท่านั้น!
ปัญหาเดียวอาจจะเป็น การที่ถูกจองจำอยู่ที่นี่ทำให้หลินสวินตัดขาดจากโลกโดยสิ้นเชิง ไม่อาจล่วงรู้ข่าวสารจากโลกภายนอกได้เลย
‘ดูท่า คนทั่วหล้าคงพากันคิดว่าข้าจากไปแล้วกระมัง…’
เมื่อคิดพถึงตรงนี้หลินสวินก็อดทอดถอนใจไม่ได้
สิ่งเดียวที่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ยากลำบากในตอนนี้ได้ บางทีก็อาจเป็นการทะลวงขอบเขตโดยเร็วที่สุด!
……
วสันต์คล้อยยามสารทมาเยือน สองปีผ่านไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวอีกครา
แดนเก้าบนผ่านการช่วงชิงและฆ่าฟันกันดุเดือดในไม่กี่ปีแรก รากฐานขุมอำนาจก็เริ่มลงหลักมั่นคง ไม่ว่าแดนแห่งวาสนาปรากฏที่ใด ล้วนถูกผู้แข็งแกร่งแต่ละฝ่ายกวาดฮุบไปจนเกลี้ยง
แดนแห่งวาสนาที่ยังไม่เคยปรากฏส่วนหนึ่งก็มีคนคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา
สถานการณ์ทั่วทั้งแดนเก้าบนเริ่มเข้าสู่ช่วงจำศีลที่ค่อนข้างเงียบสงบ
หลายปีมานี้ ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งคนไหนที่ได้รับสมบัติและวาสนาจากการเข่นฆ่าและช่วงชิงอันดุเดือด ล้วนเป็นผู้โชคดีอย่างไม่ต้องสงสัย
และยามนี้ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ต่างเลือกปิดด่านอย่างต่อเนื่อง ย่อยสลายวาสนาที่ได้รับมาทั้งหมด ใช้วิธีนี้เสริมสร้างปราณ ทั้งหนดนี้ล้วนทำเพื่อความแข็งแกร่งแห่งตน!
มีเพียงผู้ที่ปราณพัฒนา พลังต่อสู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถรอดชีวิตในการช่วงชิงในอีกหลายปีให้หลังได้ และจึงจะสามารถยิ้มเย้ยอย่างภาคภูมิท่ามกลางเหล่าผู้กล้า!
“ศิษย์น้องจิ่งเซวียน เจ้ารู้หรือไม่ ในแดนเก้าบนยามนี้มีคนเหยียบย่างอมตะเคราะห์ด่านห้าแล้ว”
ในวันนี้เยี่ยนจั่นชิวมาอีกหน มองจ้าวจิ่งเซวียนที่นั่งเงียบๆ อยู่ใต้ชายคากระท่อม ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้
จากนั้นเขาก็รวบรวมสติ ยิ้มกล่าว “ที่น่าเสียดายคือ เจ้าคนที่เหยียบย่างอมตะเคราะห์ด่านห้า ไม่ใช่ขอบเขตมกุฎที่บรรลุเป็นราชัน จึงไม่เพียงพอจะสร้างความกังวล”
จ้าวจิ่งเซวียนยังคงไม่พูดไม่จา
นางรออยู่ที่นี่มาสามปีแล้ว กระท่อม ไร่โอสถ แปลงดอกไม้… ได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถันจากนาง ยามนี้กลายเป็นทิวทัศน์ที่สงบเงียบแห่งหนึ่ง
เพียงแต่คนที่นางรอคอยกลับยังไม่เคยปรากฏตัว
“ศิษย์น้องจิ่งเซวียน เจ้าเสียเวลารออยู่ที่นี่มาสามปีแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าพลาดอะไรไปบ้าง”
เยี่ยนจั่นชิวสูดหายใจเข้าลึก กล่าวว่า “ตอนนี้บุคคลขอบเขตมกุฎที่โดดเด่นที่สุดอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋ ชื่อหลิงเซียว ไป๋หลงถิง หลินเสวี่ย เย่หมัวเฮอล้วนพากันเหยียบย่างสู่อมตะเคราะห์ด่านสามกันหมดแล้ว! แต่เจ้าล่ะ สามปีมานี้ปราณกลับยังคงติดอยู่ในระดับราชัน หากยังล่าช้าเช่นนี้ต่อไป รังแต่จะล้าหลังมากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น!”
เขาปวดใจยิ่ง
จากพรสวรรค์และรากฐานของจ้าวจิ่งเซวียน หากไม่ใช่เพราะอืดอาดในช่วงสามปีนี้ ต่อให้ไม่อาจเหยียบย่างอมตะเคราะห์ด่านสามได้ แต่อย่างน้อยๆ ก็สามารถก้าวสู่อมตะเคราะห์ด่านสองได้แล้ว!
จ้าวจิ่งเซวียนราวหูทวนลม ไม่เคยส่งเสียงสักแอะ
สิ่งนี้ทำเอาสีหน้าเยี่ยนจั่นชิวมืดทะมึนไม่นิ่ง เนิ่นนานกว่าจะกัดฟันกล่าวอย่างฉุนเฉียวว่า “ศิษย์น้องจิ่งเซวียน จะบอกเจ้าให้ ต่อให้หลินสวินยังอยู่ ข้านี่แหละจะฆ่าเขาด้วยมือตัวเอง คนที่เจ้าเฝ้ารออยู่ย่อมเป็นคนตายคนหนึ่งเท่านั้น!”
พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
จ้าวจิ่งเซวียนเงยหน้าขึ้น ทอดมองเงาร่างที่จากไปของเยี่ยนจั่นชิวแล้วอดถอนใจเบาๆ ไม่ได้
หากเขายังอยู่ เจ้าไหนเลยจะมีคุณสมบัติเป็นศัตรูกับเขาได้
……
‘ถูกขังอยู่ที่นี่มาสี่ปีแล้ว…’
ก้นแม่น้ำนรก หลินสวินหนวดเครารุงรัง มีเพียงนัยน์ตาเท่านั้นที่ยังคงกระจ่างลุ่มลึก
เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ในใจรู้สึกตะลึงระลอกหนึ่ง
สี่ปี ปิดด่านเพียงลำพังอยู่ที่นี่ ทอดสายตาแลไปทุกที่ล้วนมีแต่แม่น้ำดำมืด มีเพียงโคมไร้มลทินสีเหลืองนวลคอยอยู่เป็นเพื่อน
รสชาตินี้ไม่มีใครรู้
สิ่งที่ทำให้หลินสวินจนปัญญาคือ โอกาสเลื่อนขั้นที่เขาทนรอคอยอย่างยากลำบาก จนป่านนี้ยังไม่เคยมาถึง
นับตั้งแต่บรรลุปราณสู่ขั้นสมบูรณ์เป็นต้นมา เขาก็เฝ้ารอมาแล้วสองปีเต็ม !
สองปีมานี้เขาบรรลุมรรคดับดารากลืนกินและมหามรรคไร้มรณะสู่ระดับ ‘ระเบียบมรรค’ ด้วยเช่นกัน หนำซ้ำยังหลอมบัวเทพสองลักษณ์ต้นหนึ่ง ครอบครองนัยเร้นลับมหามรรคแห่งหยินหยางอีกด้วย
และยามนี้เขาได้ผสานมหามรรคแห่งหยินหยาง กลายเป็นมหามรรคยอดเอกอุ ซ้ำยังบรรลุระดับ ‘แก่นมรรค’ แล้ว!
นอกจากนี้ในส่วนการหยั่งถึง ‘กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้’ ก็บรรลุได้ระดับใหญ่แล้ว อานุภาพของมันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่พลิกฟ้าคว่ำดินเช่นกัน
อย่างน้อยศักยภาพก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ห่างไกลจากเมื่อสี่ปีก่อนตอนถูกจองจำลิบลับ
แต่ว่า…
โอกาสเลื่อนขั้นทะลวงขอบเขตก็ยังไม่เคยมาอยู่ดี!
ตรงกันข้ามกลับเป็นเสี่ยวอิ๋น เมื่อไม่นานมานี้ต้อนรับด่านเคราะห์แห่งการแปรเปลี่ยนเป็นราชัน กลายเป็นราชันหนอนกินเทพอย่างแท้จริงตัวหนึ่งในคราวเดียว
พูดถึงเสี่ยวอิ๋น ย่อมไม่อาจไม่เอ่ยถึง ปีนั้นในหอมกุฎแดนเผาเซียน เสี่ยวอิ๋นก็เคยทะลวงบันไดสวรรค์มหามรรคเพียงลำพัง และได้รับอันดับที่สามสิบเก้า
และด้วยเหตุนี้เอง มันจึงสามารถถเข้าสู่แดนเก้าบนพร้อมกับหลินสวินได้
แต่เพื่อจะเป็นราชัน เสี่ยวอิ๋นในตอนนั้นเลือกจะเก็บตัวเงียบราวกับจำศีลหน้าหนาวก็ไม่ปาน เตรียมพร้อมดำเนินการบรรลุเป็นราชัน
และเมื่อไม่นานมานี้ ทันทีที่ตื่นขึ้นก็ชักนำด่านเคราะห์มกุฎราชัน ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด!
แต่ด่านเคราะห์นี้กลับไม่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของหลินสวิน สิ่งที่ทำให้หลินสวินทั้งจนใจและซาบซึ้งที่สุดคือ เดิมทีเสี่ยวอิ๋นมีหวังจะออกไปจากแม่น้ำนรกได้ แต่เจ้าตัวเล็กนี่กลับเลือกจะอยู่ต่อเป็นเพื่อนตนโดยไม่ลังเล
นี่จะไม่ให้หลินสวินซาบซึ้งได้อย่างไร
แต่เมื่อเทียบกับความซาบซึ้ง อันที่จริงแล้วเขายินดีให้เสี่ยวอิ๋นจากไปมากกว่า!
‘โอสถราชันหมดเกลี้ยงแล้ว โอสถเทพก็เหลือแค่สี่ต้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่พ้นสามเดือนก็คงไม่มีกำลังเพิ่มเสริมพลังปราณอีกแล้ว…’
หัวคิ้วหลินสวินขมวดเข้าหากัน
สี่ปีมานี้แม้ความแข็งแกร่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดก้าวกระโดด แต่การย่อยสลายก็มหาศาลยิ่งเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งก้นแม่น้ำนรกแห่งนี้ไม่อาจดูดซับพลังวิญญาณใดๆ ได้สักนิด ได้แต่อาศัยการเสริมจากโอสถเทพและโอสถราชันที่รวบรวมไว้กับตัวเท่านั้น
หากแม้แต่ทรัพยากรฝึกปราณพวกนั้นยังไม่เหลือหลอ สภาพของเขาย่อมไม่น่าดูแน่นอน
‘ต้องเปลี่ยนอะไรหน่อยแล้ว!’
เนิ่นนานหลินสวินสูดหายใจลึก กลางนัยน์ตาดำฉายแววหนักแน่นวูบหนึ่ง ทำการตัดสินใจ
……………..