Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1253 เห็นแจ้งลายมรรค

ตอนที่ 1253 เห็นแจ้งลายมรรค

นับจากวันนี้หลินสวินจะพักอยู่ที่เขาจำศีลหัวโล้นชั่วคราว

ยอดเขาหม่อนเขียว

ไผ่เขียว หินเก่าแก่ น้ำตกหลั่งริน เถาวัลย์โบราณ ธารน้ำใส ทิวทัศน์ดั่งภาพวาดประหนึ่งแดนเซียน

เดิมทีเขาจำศีลหัวโล้นก็เป็นเขาแดนมงคลลูกหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในแดนอัคคีทักษิณ ชีพจรปราณวิญญาณรวมตัวกัน ซึบซับพลังวิญญาณแห่งฟ้าดิน

ที่พักซึ่งจี้ซิงเหยาจัดเตรียมไว้ให้หลินสวินนี้เป็นแหล่งวิญญาณต้นกำเนิดแห่งหนึ่งบนเขาจำศีลหัวโล้น มีประโยชน์อย่างมากต่อการฝึกปราณ

ป่าไผ่ไหวโอน เขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ ลำธารสายหนึ่งไหลเอื่อยผ่านป่าไผ่ เสริมความงามเงียบสงบไร้สิ้นสุด

หลินสวินนั่งอยู่ริมธารระหว่างป่าไผ่ มือถือหินกระบวนขนาดเท่าฝ่ามือก้อนหนึ่ง พื้นผิวอาบย้อมด้วยคราบเลือด

ในสายตาผู้แข็งแกร่งระดับราชันก็ดูเค้าเงื่อนของหินก้อนนี้ไม่ออก แต่สำหรับนักสลักวิญญาณสิ่งนี้กลับเป็นยอดสมบัติชิ้นหนึ่ง!

ด้วยเกี่ยวข้องกับพลังผนึกต้องห้ามที่ลึกล้ำอย่างยิ่ง ความจริงแล้วในหินก้อนนี้ยังซ่อนความลับยิ่งใหญ่ไว้ด้วย

ในสายตานักสลักวิญญาณของสิ่งนี้ยังมีอีกชื่อหนึ่ง…

หินผนึกมรรค!

เวลานี้หลินสวินกำลังตั้้งสมาธิหยั่งรู้สมบัตินี้

ปีนั้นที่ข้ามแม่น้ำพรมแดนมาถึงเมืองเพลิงมรกตตรงชายแดนแดนชัยบูรพาครั้งแรก บนแผงลอยที่เร่ขายสมบัติหนึ่ง หลินสวินเก็บสมบัตินี้มาได้โดยไม่ตั้งใจ

เพียงแต่หลายปีนี้ยุ่งง่วน ของชิ้นนี้จึงถูกเก็บอยู่ในเจดีย์สมบัติไร้อักษรมาตลอดจนเกือบจะถูกลืม

แต่ช่วงนี้เมื่อได้ตรวจสอบสมบัติติดตัวจึงถูกหลินสวินเจออีกครั้ง

ว่าไปแล้วนอกจากหินผนึกมรรคที่แปลกประหลาดก้อนนี้ ตอนนั้นหลินสวินยังได้รังไหมสีดำชิ้นหนึ่งมาจากศิลาอุกกาบาตที่แตกออกใน ‘งานประเมินหิน’ ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองเพลิงมรกตด้วย

ที่จำศีลอยู่ในรังไหมคือตัวอ่อนผีเสื้อมารแยกฟ้าตัวหนึ่ง อยากจะวิวัฒนาการยิ่งยากลำบากกว่าหนอนกินเทพ เนื่องเพราะต้องการ ‘ผลึกอากาศลายเมฆ’ เฉพาะตัวอย่างหนึ่งมาให้กำเนิด

แต่ผลึกอากาศลายเมฆเป็นเจตวัตถุหายากที่กำเนิดในกฎระเบียบแห่งห้วงอากาศว่างเปล่า จัดอยู่ในสิ่งที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ในดินแดนรกร้างโบราณยังสาบสูญไปนานแล้ว

และด้วยเหตุนี้รังไหมของผีเสื้อมารแยกฟ้าจึงถูกเก็บลืมอยู่ในเจดีย์สมบัติไร้อักษรราวหินก้อนหนึ่งมาตลอด

ช่วยไม่ได้ หลินสวินฝึกปราณมาจนทุกวันนี้ก็รวบรวมเจตวัตถุชั้นดีจากธรรมชาติมาไม่น้อย แต่เห็นจะมีเพียงผลึกอากาศลายเมฆที่ไม่เคยเจอมาก่อน

เมื่อไม่มีวัตถุดิบก็ไม่อาจใช้ประโยชน์

แต่จากการคาดเดาของเสี่ยวอิ๋นเมื่อไม่นานมานี้ ในแดนเก้าบนนี้อาจจะมีผลึกอากาศลายเมฆอยู่

หากสามารถเสาะหาสิ่งนี้ได้ก็ไม่จำเป็นต้องรบกวนหลินสวินเลย ด้วยเสี่ยวอิ๋นสามารถช่วยฟูมฟักและดูแลพัฒนาการของผีเสื้อมารแยกฟ้าตัวนั้นได้

ป่าไผ่เงียบสงบ ลมภูเขาพัดผ่านส่งเสียงดังสวบสาบดุจเสียงจากธรรมชาติ

ข้างกายลำธารใสสะอาดหลั่งรินเรื่อยเฉื่อย

นั่งผ่อนคลายที่นี่ ทำให้คนลืมเรื่องทางโลกโดยไม่รู้ตัว

แต่ตอนนี้ในหัวหลินสวินกลับปรากฏภาพที่รวมตัวจากกระบวนสลักวิญญาณมากมาย แน่นขนัดมหาศาลดั่งทะเลหมอก

นี่คือมรดกรอยสลักวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในหินผนึกมรรค!

‘เห็นแจ้งลายมรรค…’

‘ข้าตั้งจิตหยั่งรู้วิถีสลักวิญญาณชั่วชีวิต ทุกอย่างที่หยั่งถึงล้วนจารึกลงในนี้ หวังเพียงสืบทอดไม่สิ้นสุดก็ไม่เสียดายแล้ว’

‘รอยสลักวิญญาณก็คือการเปลี่ยนแปลงของลายมรรค สมัยบรรพกาลคนในอดีตศึกษาเส้นชีพจรปราณแห่งสรรพสิ่งทั่วหล้าจนหยั่งรู้วิชาสลักวิญญาณและย้อนรอยต้นกำเนิดของมัน รอยสลักวิญญาณนานัปการ กระบวนค่ายกลเรือนหมื่น ล้วนเป็นร่องรอยแห่งมหามรรคทั้งสิ้น’

หลินสวินพลันเลิกคิ้ว ในใจค่อนข้างตกตะลึงอยู่บ้าง

เขาติดตามท่านลู่เรียนรู้วิถีสลักวิญญาณตั้งแต่เด็ก เคยได้ยินท่านลู่พูดเช่นกันว่า หมื่นเปลี่ยนแปลงใจความคงเดิม รอยสลักวิญญาณแปรเปลี่ยนหลายหลาก รู้จักในนามความอัศจรรย์แห่งการเปลี่ยนแปลงไร้สิ้นสุด แต่หากสังเกตแก่นจริงแท้ของมัน ก็เป็นแค่การเปลี่ยนแปลงของลวดลายมหามรรคเท่านั้น!

คำอธิบายใน ‘เห็นแจ้งลายมรรค’ ที่มีต่อรอยสลักวิญญาณ เหมือนกับแนวคิดของท่านลู่ไม่มีผิด

เท่านี้ก็ทำให้หลินสวินคาดหวังกับ ‘เห็นแจ้งลายมรรค’ นี้ยิ่งกว่าเดิมแล้ว

‘ลายมรรค แก่นแห่งรอยสลักวิญญาณ ลักษณ์แห่งต้นกำเนิดนั้นไม่มีสิ่งใดไม่สอดคล้องกับมหามรรค ดังเช่นดินฟ้าอากาศ หยินหยางปัญจธาตุ…’

‘แม้จะเล็กดั่งใบหญ้า ก็ยังมีชีพจรปราณปรากฏ’

‘แม้ยิ่งใหญ่ราวจักรวาลดารา ก็ต้องโคจรตามกฎเกณฑ์’

‘ด้วยเหตุนี้ความอัศจรรย์ของมันไม่มีแบ่งสูงต่ำ ล้วนแต่เป็นลักษณ์แห่งมหามรรค สามารถแสดงแก่นแห่งสรรพสิ่งทั่วหล้าออกมาได้ทั้งสิ้น’

‘ตัวข้าศึกษาค้นคว้าลายมรรค เข้าใจหลักการ หยั่งรู้ความอัศจรรย์ของมันเพื่อให้พวกเราได้ใช้งาน อาศัยรอยสลักวิญญาณมาขับเคลื่อนอานุภาพแห่งฟ้าดิน’

‘แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นมหามรรคก็เกินคาดเดา ลายมรรคยังเร้นลับยากบรรยาย…’

สีหน้าหลินสวินเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเรื่อยๆ นานเข้าจิตใจก็ยิ่งจดจ่อ ไม่นานก็ดื่มด่ำอยู่กับมัน

แทนที่จะพูดว่า ‘เห็นแจ้งลายมรรค’ เป็นมรดกวิชาศึกษารอยสลักวิญญาณหนึ่ง สู้บอกว่าเป็นคัมภีร์มหามรรคที่อธิบายถึงลายมรรคยังดีกว่า!

หากเปลี่ยนเป็นนักสลักวิญญาณทั่วไปคงสิ้นหวัง ด้วยในคัมภีร์มหามรรคนี้ไม่ใช่วิชาสลักวิญญาณอย่างเป็นรูปธรรม ไม่สามารถเลียนแบบและฝึกฝนได้

แต่สำหรับหลินสวิน เห็นแจ้งลายมรรคกลับเรียกได้ว่าประเมินค่าไม่ได้!

อาศัยระดับความรู้อันลึกซึ้งในการสลักวิญญาณของเขาทุกวันนี้ บางทีอาจควบคุมกระบวนผนึกมรรคราชันได้อย่างง่ายดาย แต่หากมากกว่านี้ก็ยังความสามารถไม่ถึง

นี่ก็เหมือนคอขวดทำให้เขายากทะลวงขึ้นไปอีก

แต่การปรากฏของเห็นแจ้งลายมรรคกลับมอบความเป็นไปได้ที่จะทะลวงขั้นบนวิถีสลักวิญญาณแก่เขา!

และตอนนี้หลินสวินเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณแล้ว หากเลื่อนขั้นขึ้นไปอีกก็จะเป็นระดับใหม่ทั้งหมด…

นักสลักลายมรรค!

ลายมรรค (道纹) รอยสลักวิญญาณ (灵纹) ต่างกันเพียงหนึ่งอักษร แต่สิ่งที่สื่อถึงกลับเป็นแนวคิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

โดยทั่วไปผู้ที่สามารถกลายเป็นนักสลักลายมรรคได้ ล้วนแต่เป็นคนที่มองทะลุแก่นแท้แห่งรอยสลักวิญญาณ เริ่มย้อนทวนต้นกำเนิด ศึกษาค้นคว้าลายมรรคทั้งสิ้น

กล่าวได้ว่าบุคคลเช่นนี้หลุดออกจากขอบเขตของการสลักรอยสลักวิญญาณแล้ว เริ่มเสาะหาปริศนาแห่งแก่นแท้ของวิถีสลักรอยวิญญาณ!

การฝึกปราณของหลินสวินหลายปีนี้ยังไม่เคยเจอนักสลักลายมรรคสักคน

อย่างน้อยแค่คิดก็รู้แล้วว่าในดินแดนรกร้างโบราณ นักสลักลายมรรคต้องเป็นบุคคลที่หายากแน่นอน!

และตอนนี้หลินสวินก็ตัดสินได้แล้วว่า…

ยอดบุคคลที่ประพันธ์ ‘เห็นแจ้งลายมรรค’ ผู้นี้ต้องเป็นนักสลักลายมรรคคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีความคิดที่ลึกล้ำเช่นนี้แน่

การเขียนตำราขอแค่มีความรู้บ้างก็สามารถทำได้

แต่หากสามารถ ‘เขียนตำราเป็นคัมภีร์’ ก็ไม่ต่างอะไรกับการบรรลุอริยะแล้ว!

คัมภีร์ เพียงคำเดียวแต่ซ่อนมหาจักรวาล!

หลินสวินมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่าหากตนสามารถเข้าใจ ‘เห็นแจ้งลายมรรค’ ได้อย่างลึกซึ้ง จะต้องบรรลุระดับใหม่บนวิถีสลักวิญญาณแน่

ถึงตอนนั้นจะวางกระบวนค่ายกลล้อมสังหารบุคคลขอบเขตมกุฎที่ก้าวผ่านอมตะเคราะห์แล้ว ก็คงไม่ใช่เรื่องยาก

แน่นอนว่าหลินสวินยังมีอีกความคิดหนึ่ง

เขาไม่มีทางอยู่ที่เขาจำศีลหัวโล้น ช่วยเรือนกระบี่เร้นปุจฉาสลายการรุกรานจากศัตรูภายนอกได้ตลอด

แต่ก่อนจากไป การวางกระบวนผนึกที่พอจะทำให้ศัตรูภายนอกหวั่นหวาดให้กับเขาจำศีลหัวโล้น กลับเป็นเรื่องที่สามารถทำได้

“พี่หลินกำลังทำอะไรรึ”

บนยอดเขาจำศีลหัวโล้น โม่เทียนเหออดถามไม่ได้

“ฝึกตน”

จี้ซิงเหยากล่าวลอยๆ

โม่เทียนเหอตกตะลึง ไม่นานก็เอ่ยชม “สวรรค์ย่อมตอบแทนคนหมั่นเพียร พี่หลินประสบความสำเร็จเช่นทุกวันนี้ได้ต้องหยั่งรู้แก่นแท้ลึกซึ้งแน่ เปรียบเทียบกันแล้วช่างทำให้พวกเราละอายนัก”

จี้ซิงเหยากลอกตาใส่ “ทำไมข้าถึงดูไม่ออกว่าศิษย์พี่โม่ก็พูดจาประจบประแจงเป็นแล้ว”

โม่เทียนเหอหัวเราะลั่นไม่ใส่ใจ

ก่อนหน้านี้เขาอาจมีอคติกับหลินสวิน แต่ตอนนี้มองหลินสวินเป็นสหายนานแล้ว เรื่องผิดใจเล็กน้อยในอดีตก็หายไปด้วย

“ศิษย์พี่โม่ หลินสวินพักอยู่ที่เขาจำศีลหัวโล้น สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าต่อจากนี้ต้องมีคลื่นลมมากมายม้วนพัดมาแน่ พวกเราไม่อาจประมาทแล้ว”

จี้ซิงเหยากล่าวเตือน

โม่เทียนเหอผงะในใจวูบหนึ่ง พยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ

ผ่านไปสี่ปี หลินสวินรอดชีวิตกลับมาแล้ว!

ข่าวนี้ราวลมกาฬวาตลูกหนึ่ง อาศัยความเร็วน่าเหลือเชื่อแพร่สะพัดไปทั่วแดนอัคคีทักษิณ ทำให้บรรยากาศที่เดิมเงียบสงบถูกระเบิดลงทันที

“เทพมารหลินยังมีชีวิตอยู่ นี่เป็นไปได้อย่างไร”

คนมากมายล้วนงงไปหมด ไม่อาจจะเชื่อ

สี่ปีก่อน ทุกข่าวที่เกี่ยวกับการตายของหลินสวินเปิดฉากอึกทึกสะเทือนทั่วแดนเก้าบนจนมืดฟ้ามัวดิน

แต่ตอนนี้กลับมีข่าวบอกว่าหลินสวินฟื้นคืนจากความตาย กลับมาอย่างแข็งกร้าว!

ในเวลาอันสั้นไม่ว่าใครก็คงยากจะเชื่อ

“เป็นไปไม่ได้ นี่ต้องเป็นข่าวลวงแน่!”

และมีคนมากมายตั้งข้อสงสัย คิดว่านี่เป็นข่าวลือ

ไม่ว่าอย่างไรตามข่าวนี้ก็เผยแพร่ออกไปแล้ว สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็ด้วยสองคำเท่านั้น…

ชื่อเสียง!

สี่ปีก่อนชื่อของเทพมารหลินดั่งดวงตะวันส่องประกายบนเวิ้งฟ้าแห่งหนึ่ง เป็นที่รู้จักของคนในใต้หล้า ไม่ว่ามิตรหรือศัตรูล้วนไม่อาจไม่ยอมรับว่าเขาแข็งแกร่ง

โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขายิ่งเหมือนดั่งตำนาน

ถึงแม้สี่ปีมานี้ชื่อของหลินสวินจะค่อยๆ หายไปจากสายตาผู้คนนานแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่อาจถูกลืมเลือน!

ด้วยเหตุนี้เมื่อมีข่าวว่าหลินสวินรอดกลับมา แค่คิดก็รู้แล้วว่าความอึกทึกครึกโครมที่เกิดขึ้นจะยิ่งใหญ่ระดับใด

เพียงชั่วขณะ สถานการณ์ที่ตกสู่ความสงบชั่วคราวในช่วงนี้ก็ถูกทำลายตามการแพร่กระจายของข่าวนี้

ขุมอำนาจไม่รู้เท่าไรถูกทำให้ตระหนก และไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งเท่าไหร่กำลังส่งเสียงอื้ออึง

“เป็นเรื่องจริง วันนั้นขุมอำนาจแดนนรกปิดล้อมเขาจำศีลหัวโล้น หมายบีบให้เรือนกระบี่เร้นปุจฉาสวามิภักดิ์ แต่ด้วยการปรากฏตัวของหลินสวินทำให้แผนของขุมอำนาจแดนนรกพังทลายในพริบตา!”

เมื่อข่าวโดยละเอียดนี้แพร่ออกไป ประกอบกับมีสถานที่และเรื่องอ้างอิง จึงทำให้แดนอัคคีทักษิณอึกทึกครึกโครมทันที

ที่ตามมาติดๆ ก็คือข่าวที่ละเอียดกว่าแพร่ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ

“กำลังพลที่ออกปฏิบัติการของขุมอำนาจแดนนรกพ่ายแพ้สิ้น ภายในนั้นมีขุนพลสามคนเสียชีวิต ขุนพลคนหนึ่งหนีเอาชีวิตรอด คนอื่นถูกฆ่าหมด!”

ในแดนเก้าบนทุกวันนี้ แดนนรกเป็นขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่มหึมาแห่งหนึ่ง อำนาจอิทธิพลผงาดกร้าวไม่มีสิ่งใดกีดขวาง

แต่ตอนนี้ขุนพลสี่คนในขุมอำนาจต่างพ่ายแพ้สิ้น นี่ก็ทำให้ผู้คนประหลาดใจแล้ว

“เทพมารหลินก้าวสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านสามแล้ว!”

เมื่อทราบข่าวนี้ขุมอำนาจมากมายต่างแตกตื่น ไม่อาจนิ่งเฉย

หายไปสี่ปี เทพมารหลินนี่ไม่เพียงแต่รอดกลับมา พลังต่อสู้ยังไม่อาจนำมาเทียบกับอดีตด้วย!

“อ๊าก…”

อาณาเขตขุมอำนาจแดนนรกวันนี้ไม่รู้มีเสียงคำรามอย่างเดือดดาลดังขึ้นกี่หน แทบอยากจะเคลื่อนพลไปกำราบหลินสวินเสียเดี๋ยวนั้น

หลินสวินรอดกลับมาไม่ใช่ปัญหา

แต่การกลับมาของเขายังมาพร้อมพายุโลหิตที่กำจัดผู้แข็งแกร่งแดนนรกของพวกเขา นี่ทำให้อำนาจของพวกเขาแดนนรกถูกโจมตีอย่างหนัก!

“เขาถึงกับยังมีชีวิตอยู่…”

“คนชั่วอายุยืนพันปีรึ”

“เจ้าหมอนี่กลับมาตอนนี้ สามารถคาดเดาได้เลยว่าในแดนอัคคีทักษิณต้องไม่สงบแน่!”

ถึงตอนนี้ทุกคนต่างแน่ใจแล้วว่าข่าวการมีชีวิตอยู่ของหลินสวินไม่มีทางเป็นเท็จ คนไม่น้อยถึงขั้นเริ่มสันนิษฐานว่าหลินสวินปรากฏตัวคราวนี้ จะชักนำให้เกิดคลื่นลมเช่นไร

ที่สามารถแน่ใจได้คือ คลื่นลมคราวนี้ต้องไม่เล็กแน่!

…………………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท