Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1270 เจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด

ตอนที่ 1270 เจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด

สวบ!

กลิ่นอายของราชันผีเสวียนคงเคลื่อนออกจากร่างหลินสวิน

หลินสวินที่เดิมทีเกร็งเครียด ร่างกายแข็งทื่อพลันมีความรู้สึกเหมือนพ้นเคราะห์เกิดใหม่ แต่ละฉากก่อนหน้านี้ราวกับฝันร้าย

“หลินสวิน! เจ้าหนูยังไม่ตายใช่ไหม”

เสียงขานเรียกร้อนรนอย่างที่สุดของนกทมิฬดังขึ้น หลินสวินหันหน้าไปก็เห็นนกทมิฬกำลังจ้องตนอย่างตื่นตระหนก

“ยัง”

หลินสวินส่ายหน้า สีหน้าแข็งทื่ออยู่บ้าง

“สหายยุทธ์ท่านนี้ โปรดหลีกทางหน่อย”

จู่ๆ เงาร่างของราชันผีเสวียนคงก็ปรากฏขึ้น สายตามองไปทางนกทมิฬ

หลีกทางหรือ

นกทมิฬอึ้ง จากนั้นพลันก่นด่าอย่างเดือดดาล “นายท่านนกอย่างข้าถูกเจ้ากักตัวไว้ในนี้ จะหลีกทางได้อย่างไร”

มันปล่อยโถแตกร่วงตกแตกแล้ว[1]

“เชิญ!”

ราชันผีเสวียนคงไม่ได้ถือสานกทมิฬ สะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นนกทมิฬก็ถูกพายุสีดำม้วนเข้าไป หายไปจากที่เดิม

หลินสวินนัยน์ตาหดรัดทันที

“ศิษย์น้องไม่ต้องเป็นห่วง มันไม่เป็นอะไรหรอก”

ราชันผีเสวียนคงมองหลินสวิน ใบหน้ายังคงหนักแน่นเย็นชา แต่หลินสวินสังเกตเห็นได้อย่างฉับไวว่าท่าทีที่เขามีต่อตนอ่อนโยนลงมาก

หน้าแท่นบูชาที่สูงพันฉื่อ ราชันผีเสวียนคงเชิญหลินสวินนั่งลงกับพื้น ราชันผีเสวียนคงในตอนนี้ไม่มีไอความดุดันแล้ว

แผ่นหลังของเขายืดตรงราวกับทวน แม้จะนั่งอยู่ก็ยังคงให้ความรู้สึกไม่อาจสั่นสะเทือนราวกับภูเขาที่สูงตระหง่าน

“ศิษย์น้อง ครั้งนี้หากเจ้าไม่มา เกรงว่าข้าคงจะเดินบนเส้นทางที่ไม่อาจหวนคืน กลายเป็นมารที่สังหารจนบ้าคลั่ง”

“โชคดีที่โชคชะตานำพาให้เจ้ากับข้าได้เจอกันที่นี่ ทำให้ข้าได้สติจากการกักขังอันไร้สิ้นสุดของความชิงชัง”

สายตาของราชันผีเสวียนคงอ่อนโยน แฝงความเบิกบานและนิ่งสงบ

และตอนนี้ในที่สุดหลินสวินจึงกล้าเชื่อว่า เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ชายร่างสูงใหญ่กำยำที่อยู่ตรงหน้าเคยเป็นมหาอริยะที่ชื่อเสียงเลื่องลือ!

“ผู้อาวุโส ท่าน… จำคนผิดหรือเปล่า”

หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ยอดพูดความจริง เขารู้ว่าการเสแสร้งไม่สามารถหลอกผู้แข็งแกร่งที่ผ่านการเคี่ยวกรำมายาวนานเช่นอีกฝ่ายได้ หากถูกเปิดโปง ผลลัพธ์จะยิ่งรุนแรง สู้พูดความจริงไปดีกว่า

“จำไม่ผิดแน่”

ราชันผีเสวียนคงท่าทางนิ่งสงบ “เจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดเป็นอาวุธสำคัญของสำนัก ในเมื่อเจ้าได้มา ก็เท่ากับได้รับการยอมรับจากอาจารย์”

เจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด!

ในใจหลินสวินสะเทือนอย่างรุนแรง ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้ที่มาของเจดีย์สมบัติไร้อักษร เพราะบนเจดีย์นี้ประทับคำว่า ‘ไร้’ อันลึกลับ เขาจึงเรียกว่า ‘เจดีย์สมบัติไร้อักษร’

และตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้ชื่อจริงๆ ของเจดีย์นี้…

ไร้สิ้นสุด!

“เพียงแต่…”

หลินสวินลังเลเล็กน้อย “เจดีย์นี้ข้าได้มาโดยบังเอิญ แต่ไม่เคยรู้ที่มาของมัน”

ราชันผีเสวียนคงอึ้ง เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยค้นพบนัยเร้นลับที่ซ่อนอยู่ในเจดีย์นี้หรือ”

หลินสวินส่ายหน้า

จนกระทั่งตอนนี้เขาเพิ่งจะสามารถใช้พลังชั้นแรกของเจดีย์สมบัติไร้อักษรได้เท่านั้น สำหรับชั้นที่สูงกว่า ถูกพลังต้องห้ามปิดผนึกมาโดยตลอด ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถแตะต้องได้

“แล้วเมื่อก่อนเจ้าเห็นเจดีย์นี่เป็นอะไร”

ราชันผีเสวียนคงถามอย่างแปลกใจ

“เอ่อ แค่ที่เก็บสมบัติส่วนหนึ่ง” หลินสวินตอบตามความจริง

ราชันผีเสวียนคง “…”

เจ้าเด็กนี่ดันใช้เจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดเป็นที่เก็บสมบัติ! หากศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักรู้เข้า แต่ละคนจะต้องโกรธจนคลั่งแน่

นี่มันทำเสียของชัดๆ!

หากอาจารย์รู้เข้า จะเสียใจภายหลังหรือไม่ที่เลือกคนผู้นี้เป็นผู้มีวาสนา

พอนึกถึงอาจารย์ ในใจราชันผีเสวียนคงพลันถอนหายใจอีกครั้ง อารมณ์พลุ่งพล่าน ความคิดหลุดลอย

เขาพึมพำ “ยาตรานภสินธุ์ ย่ำแดนดินคุนหลุนผา เกี่ยวตะวันแลจันทรา กอบกุมไว้ทั่วอัมพร ข้าจากมรรตยะ เคาะประตูสู่อมร ทางเร้นเห็นสันดร มรรคประทานผู้มีบุญ…”

ทันใดนั้นสีหน้าของหลินสวินเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดขึ้นมา มรรคคาถาบทนี้เขาคุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นอย่างไรแล้ว!

ตอนนั้นเขากับเจ้าคางคกและจ้าวจิ่งเซวียนเข้าไปในแดนลับอสูรมารอริยะในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพื่อมุ่งหน้าไปโบราณสถานดวงกมลด้วยกัน เคยเข้าไปในทางระเบียงศพอริยะเส้นหนึ่งและไปถึงแดนลึกลับแห่งหนึ่งโดยบังเอิญ

และในแดนลึกลับนั่น เพราะเจดีย์สมบัติไร้อักษรทำให้มรรคคาถาบทนี้ปรากฏขึ้น ถูกเก็บเข้าไปในเจดีย์!

ตอนนั้นเจ้าคางคกยังเคยวิเคราะห์ว่ามรรคคาถาบทนี้มีความมหัศจรรย์น่าทึ่ง เป็นไปได้สูงมากที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับปริศนาของทางเชื่อมสู่แหล่งสถานคุนหลุน

“เจ้าเคยได้ยินหรือ” ราชันผีเสวียนคงพูด

หลินสวินพยักหน้า

ราชันผีเสวียนคงพูดอย่างยินดี “เช่นนั้นก็ถูกแล้ว ขอเพียงอาจารย์รับศิษย์ล้วนมอบมรรคคาถาบทนี้ให้ ศิษย์น้อง เจ้าเกิดในยุคนี้ คงยังไม่เคยรู้จักสำนักที่พวกเราอยู่ แต่ไม่เป็นไร ข้าสามารถบอกเจ้าอย่างละเอียดได้”

หยุดไปครู่หนึ่งหว่างคิ้วของเขาพลันปรากฏความผงาดผยองปานทะลวงฟ้า แฝงความเย่อหยิ่งไปทั้งตัว เอ่ยว่า “สำนักของพวกเรานามว่าดวงกมล ในยุคแรกของบรรพกาล คนบนโลกล้วนเรียกว่าคีรีดวงกมล”

คีรีดวงกมล!

หัวใจหลินสวินม้วนตลบอีกครั้ง เพราะเขาเคยไปที่โบราณสถานดวงกมล และได้รับมรรคคาถาบทนั้นที่นั่น ทั้งยังได้รับมรดกวิชาอริยะยุทธ์จากที่นั่นอีกด้วย!

“อาจารย์ของพวกเรา ฉายาธรรม…”

พูดถึงตรงนี้จู่ๆ ราชันผีเสวียนคงก็หยุดไป ก่อนจะส่ายหน้าพูดว่า “ฉายาท่านอาจารย์ประดุจมหามรรค ใจสามารถตระหนักรู้ เจตนาไม่สามารถสืบทอด ศิษย์น้อง รอเจ้าก้าวสู่ระดับอริยะอย่างแท้จริง ก็จะตระหนักได้ถึงนามของท่านอาจารย์เอง”

ฉายาหนึ่ง ปานมหามรรคที่ไม่อาจอธิบายได้!

นี่ต้องมีพลังปราณที่น่ากลัวเพียงใดจึงสามารถมีความน่าเกรงขามระดับนี้ได้

หลินสวินอึ้งไปทันที

ครู่ใหญ่เขาจึงได้ยินราชันผีเสวียนคงพูดต่อว่า “สำนักของพวกเราแตกต่างจากสำนักอื่น นอกจากอาจารย์ คนอื่นๆ ในสำนักไม่ว่าจะกราบเข้าสำนักช้าหรือเร็ว ล้วนเรียกกันว่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง”

“ก่อนหน้าข้า ยังมีศิษย์พี่ชายหญิงอีกสี่สิบแปดคน มีทั้งผู้บำเพ็ญฌาน ผู้บำเพ็ญธรรม ผู้บำเพ็ญวิญญาณ ผู้ฝึกกระบี่…”

ราชันผีเสวียนคงสีหน้าแฝงแววหวนคิดถึงอดีต คล้ายกำลังนึกถึงช่วงเวลาที่ฝึกปราณอยู่ในสำนักขึ้นมา

“น่าเสียดายที่มีเพียงข้าที่โง่เขลาที่สุด ช่วงหลายปีที่ออกจากสำนักมาท่องโลก ด้วยข้อจำกัดของปัญญาและสภาวะจิต จึงเพียงฝืนก้าวสู่ขอบเขตมกุฎมหาอริยะได้เท่านั้น…”

หลินสวินจนคำพูดไปชั่วขณะ ระดับมกุฎมหาอริยะเชียวนะ! ทอดสายตามองไปทั่งหล้า ก็ล้วนเป็นบุคคลเทียมฟ้าที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน ผงาดผยองกร้าวแกร่ง!

แต่พอออกมาจากปากราชันผีเสวียนคง กลับรู้สึกละลายใจกับเรื่องนี้…

คาดเดาจากตรงนี้ ศิษย์พี่ชายหญิงสี่สิบแปดคนก่อนหน้าราชันผีเสวียนคง พลังปราณจะน่าทึ่งเพียงใด

“สรุปว่าข้าอยู่ในอันดับที่สี่สิบเก้า ส่วนเจ้า เป็นผู้สืบทอดคนที่ห้าสิบของคีรีดวงกมล”

พูดถึงตรงนี้ราชันผีเสวียนคงก็ขมวดคิ้ว “คนที่ห้าสิบหรือ มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า รอดพ้นเพียงหนึ่ง… นี่ หรือในโชคชะตาจะมีกฎกรรมคงอยู่”

ทันใดนั้นสีหน้าของเขาพลันอึมครึมไม่นิ่ง จมอยู่ในความเงียบ

ส่วนหลินสวินกลับเหมือนเป็นคนนอก ฟังความลับเหล่านี้กลับรู้สึกเลื่อนลอย ไม่สมจริงอย่างมาก…

เขาไม่เคยคิดเลยว่าตนจะได้กลายเป็นผู้สืบทอดสำนักโบราณหนึ่งโดยบังเอิญ นี่เห็นได้ชัดว่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

ทำให้เขาอึ้งงันไปบ้างในชั่วขณะหนึ่ง ยากจะทำความเข้าใจในทันที

“ผู้อาวุโส ความจริง…”

ในที่สุดหลินสวินก็อดพูดไม่ได้

แต่ไม่รอให้พูดจบก็ถูกราชันผีเสวียนคงตัดบท “ศิษย์น้อง พวกเราเรียกกันเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องก็พอ ไม่จำเป็นต้องยึดติดเกินไป อาจารย์มักพูดว่าการรับรู้มรรคไม่มีก่อนหลัง อยู่ในสำนักเดียวกันก็เป็นคนในวิถีเดียวกัน”

หลินสวินยิ้มขื่นในใจคราหนึ่ง แต่ปากกลับพูดว่า “ศิษย์พี่ พูดตามจริง ยามเยาว์วัยข้าเคยโชคดีได้เข้าสู่แดนลับดวงกมลแห่งหนึ่ง ได้รับมรดกวิชาอริยะยุทธ์จากที่นั่น แต่…”

ราชันผีเสวียนคงปรบมือหัวเราะลั่น “นี่ก็ถูกต้องแล้ว วิชาอริยะยุทธ์เป็นหนึ่งใน ‘เก้าวิชา’ พิทักษ์สำนักของคีรีดวงกมลของพวกเรา”

จากนั้นเขาพลันอึ้งไป พูดด้วยสีหน้าที่แปลกประหลาด “จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่า ในสำนักผู้ที่มีคุณสมบัติมากพอจะได้รับวิชาอริยะยุทธ์ นอกจากเจ้าแล้วยังมีศิษย์พี่อีกคน”

“ใครหรือ”

หลินสวินขมวดคิ้วถาม

ในใจก็นึกถึงภาพตะลึงโลกที่เห็น ตอนที่รับมรดกวิชาอริยะยุทธ์…

นั่นเป็นโบราณสถานที่หักพัง ภูเขาเทพทรุดทลาย ตำหนักล้มถล่ม สิ่งก่อสร้างเก่าแก่มากมายล้วนเปลี่ยนเป็นซากปรักหักพัง

เดิมทีนั่นคงจะเป็นถ้ำสวรรค์แดนมงคลแห่งหนึ่ง แต่ไม่รู้ผ่านพิบัติภัยอะไร กลับเปลี่ยนเป็นแผ่นดินที่ไหม้เกรียม เศษหินอิฐเต็มพื้น

บนภูเขาที่แหลกสลายมีอักษรมรรคบรรพกาลอันคลุมเครือกระจัดกระจาย ‘เสี้ยวจันทร์’ ‘สามดารา’…

และตรงหน้าประตูเขาที่เก่าแก่นั่น กลับมีเงาร่างหนึ่งยืนตระหง่านอยู่ หันหลังให้ทุกคน ราวกับรูปปั้นที่ยืนเงียบหันหน้าเข้าหาโบราณสถานที่ผุพัง นิ่งสนิทไม่ขยับ

แม้มองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง แต่กลิ่นอายของเขากลับยิ่งใหญ่ราวกับท้องฟ้า เย่อหยิ่งทะยานนภา น่ากลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับว่าเพียงแค่เขาต้องการ ก็สามารถกวาดล้างสังหารเหนือฟ้าใต้หล้า ไม่มีใครสู้ได้

ราวกับ…

นายเหนือหัวแห่งการต่อสู้!

แต่สุดท้ายเงาร่างนั่นกลับคุกเข่าตรงหน้าประตูเขาที่สลักหักพัง นิ่งเงียบไม่พูดจา โขกศีรษะคำนับสามครั้ง!

จากนั้นมีอสนีเคราะห์หมื่นพันลงมาเยือน ราวกับเทพมารมากมายมาเยือนโลก บดบังฟ้าดินผืนนั้น กลิ่นอายน่ากลัวกดข่มถล่มท้องฟ้า

เงาร่างทระนงนั่นหยัดตัวขึ้น พลังต่อสู้สายหนึ่งปะทุ พุ่งสังหารขึ้นฟ้า ท่าทางผงาดกร้าวและบ้าระห่ำเช่นนั้น ราวกับแสงประกายที่ส่องสว่างนิรันดร์กาล!

ภาพนั้นสิ้นสุดเพียงเท่านี้ แต่กลิ่นอายต่อสู้อันน่ากลัวที่สามารถทำให้เหล่าทวยเทพตัวสั่นนั่น ทำให้จนตอนนี้หลินสวินยังจำได้แม่น

‘ศิษย์พี่คนนั้น’ ที่ราชันผีเสวียนคงพูดถึง จะใช่เขาหรือไม่

“เขา…”

ราชันผีเสวียนคงอ้าปาก จู่ๆ ก็ถอนหายใจยาวกล่าวกว่า “เรื่องเก่าเนิ่นนานมาแล้ว ไม่พูดถึงก็ไม่เป็นไรหรอก รอภายภาคหน้าเจ้าบรรลุอริยะ ก็จะเข้าใจความลับในอดีตนั่นเอง”

หลินสวินพลันรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างอย่างไม่สามารถอธิบายได้

หวนคิดถึงตอนนั้น เหมือนเห็นเงาร่างที่เย่อหยิ่งสายหนึ่งยกทัพจากใต้พิภพโจมตีสังไปหารไปถึงเก้าชั้นฟ้า ตลอดทางเต็มไปด้วยภูเขาศพทะเลเลือด ทำลายล้างศัตรูทั้งมวล ต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง ผงาดกร้าวไร้ใครเทียม!

หากฟ้าขวาง ก็ฉีกทำลายฟ้า หากดินสกัดกั้น ก็เหยียบดินให้ทะลุ!

“ศิษย์น้อง เรื่องในอดีตจมอยู่ในกาลเวลาอันเนิ่นนานมานานแล้ว เสียดายเวลาที่ข้าได้สติไม่มากนัก เจ้าเพียงจำไว้ว่า ขอแค่มีเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดนี้อยู่ มรดกวิชาของสำนักดวงกมลของพวกเราก็จะสามารถสืบทอดต่อไปได้ และในอนาคตพอเจ้าบรรลุอริยะ สิ่งที่ควรเข้าใจก็จะเข้าใจเอง”

ราชันผีเสวียนคงพูดถึงตรงนี้ก็มองหลินสวินด้วยแววตากระจ่างชัด เอ่ยว่า “ส่วนตอนนี้ ให้ข้าดูมรรคและกฎเกณฑ์ของเจ้าสักหน่อยได้หรือไม่”

ในใจหลินสวินกระตุกวูบ พลันสลัดความคิดสับสนวุ่นวายออกไป รู้ว่าศิษย์พี่เสวียนคงผู้นี้ต้องการทดสอบและชี้แนะแนวปฏิบัติมรรคของตน!

——

[1] ปล่อยโถแตกร่วงตกแตก หมายถึง เรื่องที่ทำผิดหรือคนที่ทำเรื่องผิดไป ไม่เพียงไม่แก้ไขชดเชยให้ดีขึ้น กลับปล่อยปละละเลย ถึงขนาดทำให้ยิ่งพัฒนาไปในทางที่เลวร้ายยิ่งขึ้น

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท