ครู่ใหญ่หลินสวินถึงตื่นขึ้นจากภาพสะท้านโลกเช่นนั้น
ส่วนในใจเขาก็ปรากฏการสัมผัสรู้อันอัศจรรย์ต่างๆ ขึ้น ล้วนเกี่ยวข้องกับ ‘เมืองมรณะ’ สมบัติอริยะฟ้าประทาน
สิ่งที่ลี้ลับที่สุดของเมืองนี้ก็คือ สามารถส่งวิญญาณร้ายและเศษเสี้ยววิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้พวกมันหลุดพ้นจากโลกได้ จึงได้รับพลังแห่งบุญกุศลที่มาจากระเบียบมหามรรค
บุญกุศล!
เป็นพลังลี้ลับราวมายาถึงที่สุดเช่นเดียวกับโชควาสนา กฎกรรม และพรหมลิขิต
ในสายตาของผู้บำเพ็ญธรรม ช่วยคนหนึ่งครั้งเหนือกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น อันที่จริงก็เป็นวิธีสั่งสมพลังบุญกุศลอย่างหนึ่ง
ส่วนสำหรับผู้บำเพ็ญปราณแล้ว พลังบุญกุศลก็เหมือนโชควาสนามหามรรค เพียงแต่มีประโยชน์กับการฝึกปราณของผู้ฝึกปราณมากกว่า
อย่างไอพิสุทธิ์ฟ้าประทานก็เป็นสิ่งที่สะท้อนพลังบุญกุศลอย่างหนึ่ง หลอมไอพิสุทธิ์ฟ้าประทาน มีคุณต่อการบำรุงขัดเกลาพลังปราณ จิตวิญญาณ และสภาวะจิต
จากจุดนี้แค่คิดก็รู้ว่า สมบัติอริยะฟ้าประทานที่สามารถรับพลังบุญกุศลได้อย่าง ‘เมืองมรณะ’ อัศจรรย์พันลึกขนาดไหน
ที่น่าเสียดายก็คือ ‘เมืองมรณะ’ ไม่ดำรงอยู่นานแล้ว เหลือเพียงต้นกำเนิดฟ้าประทาน แปรสภาพเป็นมุกพิสุทธิ์ฟ้าประทานเม็ดหนึ่ง
พูดง่ายๆ มุกพิสุทธิ์ฟ้าประทานก็คือพลังต้นกำเนิดสำคัญของเมืองมรณะ
วู้ม!
หลินสวินทำตามใจคิด เริ่มจดจ่อกับการหลอมสิ่งนี้
หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน…
กาลเวลาผันผ่านไปอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้ตัว
ภายในสถูปเจดีย์ เจ้าคางคกกับนกทมิฬก็ไม่ได้หยุดพัก ศึกษาและขบคิดปริศนาภายในสามพันสถูปเจดีย์แห่งนี้อยู่ตลอด
ผ่านการสืบหาอยู่นาน ทั้งสองต่างได้บทสรุปอย่างเดียวกันว่า…
เจดีย์นี้ต้องมีมหาวาสนา!
เพียงแต่คิดจะได้ไป กลับต้องมีจุดเปลี่ยนสักครั้ง
ตอนนี้ทั้งสองต่างลองใช้วิธีต่างๆ มาลองเชิง หมายจะชิงวาสนาครั้งนี้มาไว้ในมือในคราเดียว
……
ครึ่งปีเต็มๆ หลินสวินถึงหลอมมุกพิสุทธิ์ฟ้าประทานเม็ดนี้ได้!
ความยาวนานของเวลาที่ใช้แม้แต่หลินสวินเองยังออกจะประหลาดใจ แต่คุณประโยชน์ก็น่าตื่นตะลึงถึงที่สุด กระทั่งทำให้หลินสวินจิตใจกระเพื่อมไหวไม่ว่างเว้น
ภายในมุกพิสุทธิ์ฟ้าประทานมีพลังบุญกุศลยิ่งใหญ่ไพศาลราวมหาสมุทร แทบจะไร้ที่สิ้นสุดผนึกไว้อยู่!
ยามหลอมพลัง มุกพิสุทธิ์ฟ้าประทานก็สามารถมอบไอพิสุทธิ์ฟ้าประทานได้อย่างไม่ขาดสาย ราวกับบุญกุศลคลุมกาย มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย จิตใจและวิญญาณ
หากเพียงเท่านี้ก็ไม่ต่างอะไรกับหลอมยอดสมบัติบางชิ้นในโลก
สิ่งที่อัศจรรย์ที่สุดของมุกพิสุทธิ์ฟ้าประทานก็คือ ยามประลองกับเสี้ยวเจตจำนงหรือวิญญาณร้ายที่แข็งแกร่งบางส่วน จะมีสรรพคุณกดข่มได้!
และหากส่งวิญญาณร้ายพวกนี้ไปได้ ยังจะได้รับพลังบุญกุศล รวมตัวอยู่ภายในมุกพิสุทธิ์ฟ้าประทาน กระตุ้นให้สมบัติชิ้นนี้แปรสภาพ!
หลินสวินถึงกับสงสัยว่า ยามพลังบุญกุศลที่ได้รับมาสะสมถึงระดับหนึ่งแล้ว เป็นไปได้อย่างยิ่งที่มุกพิสุทธิ์ฟ้าประทานจะแปรสภาพเป็นเมืองมรณะอีกครั้งหนึ่ง
‘มิน่าศิษย์พี่เสวียนคงถึงกำชับเป็นพิเศษว่าจะให้คนอื่นรู้เรื่องสิ่งนี้ไม่ได้ เป็นสมบัติล้ำค่าพบเห็นได้ยากหาใดเทียบชิ้นหนึ่งจริงๆ’
‘มันเป็นทั้งยอดสมบัติหลอมพลังชิ้นหนึ่ง และเป็นวัตถุอริยะที่ได้บุญกุศลชิ้นหนึ่งอีกด้วย ไม่อาจเปรียบเทียบกับสมบัติอริยะชนิดต่อสู้ได้อย่างยิ่ง…’
‘แม้จะไม่สมบูรณ์ แต่วันหน้าขอเพียงฝึกต่อไปตลอด สมบัติชิ้นนี้ย่อมมีหวังที่จะกลายเป็นเมืองมรณะได้อีกครั้ง!’
หลินสวินสูดหายใจลึก เก็บกลั้นความตื่นเต้นในใจ
เสียเวลาไปครึ่งปีเพื่อหลอมมุกพิสุทธิ์ฟ้าประทานนี้ คุ้มไหม
คุ้มค่าเกินไปแล้ว!
ครอบครองสมบัตินี้ก็เท่ากับทำให้ตนมีวิธีที่ทรงประสิทธิภาพสูงสุดในการรับเอาพลังบุญกุศล มีประโยชน์ที่ไม่อาจประเมินได้ต่อการฝึกปราณ อัศจรรย์เหลือจะกล่าว
“หลินสวิน ในที่สุดเจ้าก็ตื่นแล้ว ช่วงครึ่งปีมานี้ทุกวันมีแต่พวกรนหาที่ตายบางส่วนมาท้าทาย โวยวายอยากให้เจ้าออกไป”
นกทมิฬกระพือปีกบินมาแล้วร้องว่า “ถ้าเจ้าไม่ไปอีก เกรงว่าพวกเขาจะพังฝ่าเข้ามาแล้ว!”
“หาข้าหรือ”
หลินสวินเลิกคิ้ว
“ใช่ ตั้งแต่รู้เรื่องความแค้นระหว่างเจ้ากับอวิ๋นชิ่งไป๋ นอกสถูปเจดีย์แห่งนี้ก็กลายเป็นศูนย์รวมความวุ่นวาย ครึ่งปีมานี้เจ้าคงไม่รู้ว่าที่นี่ครึกครื้นขนาดไหน”
นกทมิฬเอ่ย “โดยเฉพาะผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้า มาตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้ว รออยู่ตรงนั้นตลอด ท่าทางจะรอเจ้าปรากฏตัว”
หลินสวินเข้าใจทันที สถานการณ์เช่นนี้ก็อยู่ในการประเมินของเขาจริงๆ
“พวกเขาอยากรอ ก็ให้พวกเขารอต่อไปก็พอแล้ว”
หลินสวินเอ่ย “นอกสถูปเจดีย์แห่งนี้ถูกข้าวางกระบวนผนึกลายมรรคไว้ ขอเพียงพวกเขาไม่กลัวตาย ก็ดันทุรังฝ่าได้เต็มที่”
ตูม!
ทันใดนั้นเสียงสั่นคลอนรุนแรงระลอกหนึ่งดังขึ้นนอกสถูปเจดีย์ราวกับเกิดแผ่นดินไหวขึ้น
จากนั้นเสียงโห่ร้องยินดีอันฮึกเหิมระลอกหนึ่งก็ดังขึ้น
“ค่ายกลใหญ่ระยำนี่ใกล้ถูกตีแตกแล้ว ทุกคนพยายามอีกหน่อย!”
“หึ เจ้าหลินสวินนี่ก็เป็นเต่าหดหัวในกระดองตัวหนึ่ง หลบซ่อนมาครึ่งปีไม่กล้าปรากฏตัว ขอเพียงตีค่ายกลนี้แตก ดูซิว่าเขาจะยังหลบซ่อนอย่างไร!”
…เสียงเอะอะโวยวายยุ่งเหยิงเริ่มแว่วเข้ามาในสถูปเจดีย์
แววเหี้ยมเกรียมพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินสวิน กระบวนผนึกลายมรรคที่เขาวางไว้มีประสิทธิภาพในการตัดขาดคลื่นเสียง
แต่ตอนนี้กลับมีเสียงแว่วเข้ามา เห็นได้ว่ากระบวนค่ายกลนี้เสียหายรุนแรง กำลังจะถูกทลายแล้วจริงๆ
นกทมิฬหัวเราะขึ้นอย่างมีความสุขที่ได้เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ “ฮ่าๆๆ เกรงว่าไอ้พวกไม่กลัวตายใกล้จะฝ่าเข้ามาแล้ว”
หลินสวินยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่มีอะไรจะพูด
เขาเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ว่าถ้าไม่กลัวตายก็ให้พวกเขาดันทุรังฝ่ามาได้เต็มที่ เพิ่งพูดจบก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นี่ช่างเหมือนกับตบหน้าเขา
“ข้าไปดูหน่อย”
หลินสวินลุกขึ้นเดินไป ไอสังหารพลุ่งพล่าน
……
นอกสถูปเจดีย์ เหล่าผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าร่วมกันเคลื่อนไหว กำลังถล่มโจมตีกระบวนผนึกลายมรรคที่ปกคลุมรอบสถูปเจดีย์นั้นอยู่
ละอองแสงปลิวว่อน เสียงโครมครามราวอสนี
ไกลออกไปเหวินฉงเฟิงสีหน้าเฉยชา ยืนอยู่เหนือแท่นดอกบัวรูปกระบี่สีเงินเจิดจ้าดอกหนึ่ง สวมชุดทองทั้งตัว กลิ่นอายดุดันประหนึ่งทวยเทพ
ในสำนักกระบี่เทียมฟ้า คนที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดย่อมเป็นอวิ๋นชิ่งไป๋โดยไร้ข้อกังขา ทว่ามีน้อยคนนักที่รู้จักชื่อของเหวินฉงเฟิง
แต่มีเพียงผู้เก่งกล้าหลังม่านถึงรู้ดีว่า หากเทียบกับอวิ๋นชิ่งไป๋ เหวินฉงเฟิงอาจไม่โด่งดัง แต่พลังต่อสู้กลับแข็งแกร่งจนน่ากลัวอย่างแน่นอน แม้ไม่เท่าอวินชิ่งไป๋ แต่ก็ไม่ต่างกันมากนัก
เหวินฉงเฟิงเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณผู้หนึ่ง เก็บตัวเงียบในยุคบรรพกาลและตื่นขึ้นในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นรากฐานพลังหรือพรสวรรค์ต่างเรียกได้ว่าเป็นที่ตื่นตะลึงในโลก
สาเหตุที่ไม่โด่งดัง ก็เพราะถูกรัศมีของอวิ๋นชิ่งไป๋บดบังโดยสมบูรณ์ ถึงขนาดที่ทุกคนในโลกต่างรู้จักอวิ๋นชิ่งไป๋ แต่ไม่รู้ว่าในสำนักกระบี่เทียมฟ้ายังมีคนน่ากลัวอีกคนอย่างเหวินฉงเฟิงอยู่ด้วย
ตอนนี้ข้างกายเหวินฉงเฟิงยังมีผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าหลายคนติดตาม ขับเน้นให้เขายิ่งดูไม่ธรรมดา
ไกลออกไปในมุมมืด มีสายตานับไม่ถ้วนติดตามทุกอย่างนี้อย่างใกล้ชิดเช่นกัน
ครึ่งปีมานี้พอข่าวของหลินสวินกับอวิ๋นชิ่งไป๋แพร่กระจาย ในแดนธรรมสถูปก็เหมือนกลายเป็นวังน้ำวนที่เป็นที่จับตามองของแดนเก้าบนตามไปด้วย
ส่วนเบื้องหน้าสถูปเจดีย์ ก็ดูอึกทึกหาใดเทียบ
แม้ว่าหลินสวินไม่ได้ปรากฏตัวเลยสักครั้งในช่วงครึ่งปีมานี้ แต่ยังไม่อาจขัดขวางให้ผู้แข็งแกร่งจากทั่วสารทิศเหล่านั้นมาสืบข่าวคราวได้ดังเดิม
แน่นอนว่ามีผู้แข็งแกร่งหลายคนรอจนทนไม่ไหวจึงจากไปนานแล้ว แต่ยังมีผู้แข็งแกร่งมากยิ่งกว่ามาเยือน ทำให้หน้าสถูปเจดีย์เหมือนกลายเป็นที่รวมความโกลาหล
เหล่าผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าอย่างเหวินฉงเฟิงมาถึงที่นี่เมื่อสองเดือนก่อน
เป้าหมายก็ง่ายดายนัก พวกเขาไม่อาจทนให้ข่าวนั้นใส่ร้ายอวิ๋นชิ่งไป๋ได้ หมายจะสังหารหลินสวิน ยับยั้งอิทธิพลที่ไม่เป็นผลดีต่อสำนักกระบี่เทียมฟ้าทั้งมวล
เพียงแต่พวกเขารอมาพักใหญ่ ทั้งได้ส่งเสียงไม่ว่างเว้น ต้องการให้หลินสวินปรากฏตัว น่าเสียดายที่ไม่สมใจหวังมาตลอด
นี่ทำให้ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าเหล่านี้ต่างสั่งสมไฟแค้นเต็มอก ไม่มีที่ให้ระบายออก
กระทั่งหลายวันมานี้ในที่สุดเหวินฉงเฟิงก็ตัดสินใจไม่รออีกต่อไป เข้าจู่โจมหมายจะทำลายค่ายกลใหญ่แล้วเข้าไปในสถูปเจดีย์เพื่อฆ่าหลินสวิน!
และในวันนี้ ความหวังและจุดเปลี่ยนที่พวกเขาจะทำลายค่ายกลใหญ่ก็มาถึงแล้ว!
‘ประเดี๋ยวพอค่ายกลใหญ่แตก พวกเจ้าก็ตามมากับข้า ฝ่าเข้าไปในสถูปเจดีย์ ปลิดชีพหลินสวินไอ้เต่าหดหัวในกระดองนี่เสีย’
เหวินฉงเฟิงสื่อจิตสั่ง
คนอื่นต่างลอบพยักหน้ากับตัวเอง
เมื่อครึ่งปีก่อนมีข่าวแพร่ออกมาว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ถูกหลินสวินไล่ฆ่า ทำให้พวกเขากราดเกี้ยว จิตใต้สำนึกไม่เชื่อถือข่าวนี้โดยสิ้นเชิง
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เชื่อสักนิดว่าหลินสวินจะเป็นคู่ต่อสู้ของอวิ๋นชิ่งไป๋ได้
แน่นอนว่าเมื่อเผชิญหน้ากับหลินสวินที่ตอนนี้มีชื่อเสียงสะเทือนแดนเก้าบนแล้ว พวกเขาย่อมไม่กล้าเลินเล่อ หาไม่แล้วคงไม่รออยู่ที่นี่มานานถึงสองเดือน
แต่พร้อมกับเวลาที่ผันผ่าน ไม่ว่าพวกเขาจะท้าทาย ด่าทอ ท้าสู้อย่างไร หลินสวินก็ไม่เคยปรากฏตัว ทำให้พวกเขาต่างขุ่นเคืองอยู่ในใจอย่างยิ่ง อดจะดูแคลนอยู่บ้างไม่ได้
เป็นถึงเทพมารหลิน แม้แต่รับคำท้ายังไม่กล้าหรือ
พอสันนิษฐานเช่นนี้ ข่าวที่กระจายออกมาเมื่อครึ่งปีก่อนนั้นจะเป็นจริงไปได้อย่างไร
ความจริงแล้วความแคลงใจเช่นนี้ก็บังเกิดขึ้นในใจผู้แข็งแกร่งที่ลอบจับตามองทุกอย่างนี้
ครึ่งปีแล้ว หลินสวินกลับซ่อนตัวอยู่ในสถูปเจดีย์ ไม่ว่าจะถูกด่าทอและท้าทายเช่นไรก็ไม่เคยปรากฏตัวออกมา หรือว่าเขากลัวเสียแล้ว
หรือจะบอกว่าข่าวที่กระจายออกมาเมื่อครึ่งปีก่อนเป็นเท็จ ไม่เช่นนั้นจะเลือกทนไม่ออกมาในสถานการณ์ที่ถูกปิดล้อมเช่นนี้ได้อย่างไร
ควรรู้ว่าเขาเทพมารหลินมีชื่อเพราะใจกล้าเกินใครมาตลอด เคยขี้ขลาดตาขาวอย่างตอนนี้เสียที่ไหน
“ตอนกระบวนค่ายกลนี้พัง ความจริงก็จะกระจ่าง!”
ขณะนี้ทุกคนต่างตั้งตาคอย เพราะล้วนดูออกว่ากระบวนผนึกที่วางอยู่หน้าสถูปเจดีย์กำลังจะพังลง!
ตูม!
ทันใดนั้น เบื้องหน้าสถูปเจดีย์มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวระลอกหนึ่งดังขึ้น
ท่ามกลางละอองแสงเต็มฟ้า กระบวนผนึกลายมรรคที่โคลงเคลงจะถล่มลงมาแต่เดิมไม่ได้พังลง ทว่าเหล่าผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าที่ล้อมโจมตีกระบวนค่ายกลนี้กลับส่งเสียงตื่นตระหนก เงาร่างกระเด็นถอยหลังโซซัดโซเซ
ภาพนี้ดึงดูดความสนใจผู้คนทั้งที่นั้นทันที
และก็ในตอนนี้เอง สายตาทุกคู่มองเห็นว่ามีเงาร่างสูงโปร่งโดดเด่นร่างหนึ่งเดินออกมาจากกลางกระบวนผนึกลายมรรคที่มีละอองแสงปลิวว่อนนั้น
ผมดำสยายออก ดวงตาเย็นชาลุ่มลึก ท่วงท่าราวเซียนมาเยือนโลกา หลุดพ้นเหนือโลกีย์ผิดธรรมดา ไม่ใช่หลินสวินแล้วจะเป็นใครไปได้อีก
เก็บตัวไปครึ่งปี ในที่สุดเขาก็ปรากฏตัวขึ้นในตอนนี้!
ในที่นั้นพลันระส่ำระสายขึ้นระลอกหนึ่ง
เพียงแต่ทุกคนไม่ใคร่จะมองหลินสวินในแง่ดี เพราะว่าเขาถูกบีบให้ออกมา หากไม่ใช่เพราะค่ายกลใหญ่นั่นกำลังจะพัง เกรงว่าเขาคงยังเลือกหดหัวอยู่ในกระดองไม่ออกมา!
ในขณะเดียวกันเหล่าผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าอย่างเหวินฉงเฟิงก็ตกตะลึงก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นล้วนยินดีปรีดา ในที่สุดเจ้าคนที่ปล่อยข่าวลือให้ผู้อื่นเข้าใจผิด ใช้วิธีการต่ำช้าสาดโคลนให้อวิ๋นชิ่งไป๋คนนี้ก็ปรากฏตัวแล้ว!
ชั่วขณะเดียวดวงตาพวกเขาบังเกิดแววเหี้ยมเกรียม ไอสังหารพลุ่งพล่าน
ความขุ่นเคืองที่สั่งสมภายในใจมาหลายวัน ทำให้พวกเขาอยากจะเคลื่อนไหวเต็มแก่แล้ว
“อวิ๋นชิ่งไป๋ไม่มา ตัวตลกเต้นแร้งเต้นกากลับมาเสียฝูงหนึ่ง ยิ่งโง่งมยิ่งรนหาที่ตายจริงๆ”
และท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดระส่ำระสายนี้เอง หลินสวินเดินออกมาจากค่ายกลใหญ่ตามลำพังอย่างใจเย็น ดวงตาดำลุ่มลึก น้ำเสียงเรียบเฉย แต่กลับดังไปทั่วฟ้าดินอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
——