เมื่อประมาณสองปีก่อนหลังจากไล่ล่าอวิ๋นชิ่งไป๋ตลอดทาง หลินสวินต้อนรับการมาเยือนของ ‘เคราะห์เจ็ดอารมณ์’ อมตะเคราะห์ด่านสี่ ปราณรุดหน้าก้าวกระโดด
หลังจากนั้นในช่วงเวลาหนึ่งปีกว่านี้ ก็ทะลวง ‘เคราะห์หกปรารถนา’ อมตะเคราะห์ด่านห้าและ ‘เคราะห์มารผจญ’ อมตะเคราะห์ด่านหกติดต่อกัน
หากเทียบกับความเร็วในการเลื่อนระดับที่ผ่านมา ภายในระยะเวลาสองปีนี้ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงด้านพลังต่อสู้ของหลินสวิน ได้บรรลุถึงลักษณะเบ่งบานสูงสุด
นี่ คือการสะสมเต็มเปี่ยมแล้วทยอยใช้สอย!
ด้านหนึ่งเกี่ยวข้องกับวาสนาศุภโชคมากมายที่ได้มาจากแดนเก้าบน อีกด้านหนึ่งก็เชื่อมโยงกับมรรคาของเขาเองอย่างแน่นแฟ้นจนไม่อาจแยกจากกัน
ที่ผ่านมามรรควิถีและรากฐานที่หลินสวินสั่งสมมาทั้งหมดแข็งแกร่งและน่าทึ่งอย่างยิ่ง ทำให้การฝ่าทะลวงปราณของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วหาใดเปรียบ
ชิ้ง!
ดาบหักโฉบพุ่ง ภาพมายายิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอายคมกริบระดับนั้นฉีกทึ้งห้วงอากาศบริเวณใกล้เคียงเป็นรอยแยกสายแล้วสายเล่า ส่งเสียงฟึ่บๆ ออกมา
หนำซ้ำยังมีแผนภาพลายมรรคที่คลุมเครือปรากฏขึ้น แผ่ท่วงทำนองพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เพียงพอจะส่องสว่างกาลเวลาอันเนิ่นนานออกมา
ช่วงสองปีนี้ดาบหักถูกฟูมฟักอยู่ในเตาหลอมที่วิวัฒน์จากเพลิงมรรคอัศจรรย์เรื่อยมา ถูกวัตุดิบเทพหลากหลายหล่อหลอม คุณลักษณะของมันก็มีวิวัฒนาการขึ้นมากโขอย่างเห็นได้ชัด
ดาบหักเดิมเป็นศาสตราจิตเล่มหนึ่ง แต่พร้อมๆ กับที่หลินสวินนำมันมาฟูมฟักและหลอมเป็นยอดศาสตรามรรคราชันของตน หากวันใดวันหนึ่งหลินสวินสามารถบรรลุอริยะ ดาบหักย่อมต้องกลายเป็นอาวุธอริยะบริสุทธิ์ของหลินสวินด้วยอย่างแน่นอน!
สิ่งเดียวที่เป็นปัญหาบางทีอาจอยู่ที่ดาบหักไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ หากหมายจะเปลี่ยนเป็นอาวุธอริยะย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยเช่นกัน
ที่ควรค่าให้เอ่ยถึงคือ ครานั้นในสุสานใต้ดินนั่น เพลิงมรรคฟ้าประทานที่หลินสวินได้รับมาทั้งหมด นอกจากเพลิงมรรคอัศจรรย์แล้ว ยังมีเพลิงมรรคห้าดวงที่ยอดเยี่ยมต่างกันไป
เมื่อสองปีก่อนตอนที่ได้พบเจ้าคางคก หลินสวินก็มอบ ‘เพลิงมรรคโชนทอง’ ที่แปลงเป็นโคมทองดวงหนึ่งให้กับเจ้าคางคก
มอบ ‘เพลิงมรรคไร้มลทิน’ ที่แปลงเป็นคัมภีร์หยกขาวให้นกทมิฬ
ส่วน ‘เพลิงมรรคสงัดนิรันดร์’ ที่แปลงเป็นบรรทัดหยกสีดำและ ‘เพลิงมรรคเรืองม่วง’ ที่แปลงเป็นม้วนภาพสีม่วง หลินสวินตั้งใจจะมอบให้ซย่าจื้อและจ้าวจิ่งเซวียนตามลำดับ
ส่วน ‘เพลิงมรรคห้าเร้น’ ที่เหลืออยู่ ก็ตั้งใจว่าจะเก็บไว้ให้อาหลู่
…
“พี่ใหญ่ เจ้ารีบเข้ามาเร็ว!”
ภายในสถูปเจดีย์ เจ้าคางคกตื่นเต้นจนตะโกนลั่น “สำเร็จแล้ว ในที่สุดแม่งก็สำเร็จเสียที!”
หลินสวินอึ้งไป เก็บดาบหักลงไปแล้วหยัดกายขึ้น ตอนที่มาถึงสถูปเจดีย์ชั้นสิบแปด ก็เห็นว่าบนผนังสี่ทิศนั่น ลายมรรคหินสลักสิบแปดแผ่นหายไปแล้ว
แต่กลับมีสัญลักษณ์อักษรธรรมสีทองอร่ามไหลเวียนกลางห้วงอากาศ ทอประกายสว่างไสวไร้ขอบเขต ศักดิ์สิทธิ์ไพศาล ละอองแสงแห่งมงคลพร่างพรม
อึดใจนั้นดวงตาหลินสวินถึงกับมีความรู้สึกเจ็บจี๊ด ท่ามกลางความเลือนรางคล้ายว่าหลุดมาอยู่ในแดนพิสุทธิ์แห่งหนึ่ง ร่างกายและจิตใจล้วนถูกจิตฌานอาบชโลม
“นี่…”
หลินสวินไหวหวั่น เหม่อลอยเล็กน้อย
“นี่ก็คือวาสนาใหญ่ที่สุดที่ซุกซ่อนภายในแดนธรรมสถูป!”
ด้านข้างสองมือเจ้าคางคกเท้าเอว ยักคิ้วหลิ่วตา ความรู้สึกปิติยินดีเปี่ยมล้นเกินบรรยาย
“เจ้าดูอักษรธรรมสีทองแถวนี้ สะท้อนมหามรรคที่แท้จริง เป็นวิวัฒน์แห่งมรรค จากที่ข้าสันนิษฐาน อริยพุทธยุคต้นบรรพกาลคนนั้นจะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าที่มีสติปัญญาเลิศล้ำคนหนึ่ง สามารถเหยียดหยันปวงสวรรค์!”
นกทมิฬที่อยู่ข้างๆ ตื้นตัน รำพันไม่สิ้น
ช่วงเวลาสองปี มันกับเจ้าคางคกทุ่มเวลาและหยาดเหงื่อแรงกายทั้งหมดไปกับการไขปริศนาบนลายมรรคหินสลักสิบแปดแผ่นนั่น
ยามนี้ในที่สุดก็ไขปริศนา สอดส่องนัยเร้นลับภายในนั้นได้แล้ว ความรู้สึกเช่นนั้นย่อมตื้นตันสุดๆ เป็นธรรมดา
“แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าอักษรบรรทัดนี้หมายความว่าอย่างไร”
เสียงของนกทมิฬพลันเปลี่ยนเป็นแปลกพิกลขึ้นมา
เสียงหัวเราะลั่นของเจ้าคางคกหยุดกึกทันควัน มุมปากกระตุก สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดด้วยเช่นกัน
หลินสวินกล่าวอย่างอึ้งๆ “หมายความว่าอย่างไรหรือ ไม่ใช่มรดกวิชาหรอกหรือ”
ก็ได้ยินเจ้าคางคกซึ่งชี้ไปยังอักษรธรรมสีทองศักดิ์สิทธิ์แพรวพราวหาใดเปรียบบรรทัดนั้น ท่องออกมาเสียงเบา “ยามมรรคข้าแจ้งประจักษ์ ถึงรู้ชัดในทุกข์แห่งสรรพชีวิต!”
ประโยคเดียวง่ายๆ กลับพาให้จิตใจหลินสวินไหวสะท้าน อริยพุทธคนหนึ่ง ยามแจ้งมรรค สิ่งที่คิดกลับเป็นสรรพชีวิตล้วนมีทุกข์!
เจตนาและความอาทรที่ซุกซ่อนภายในนั้นพาให้หลินสวินอดสะเทือนอารมณ์ไม่ได้ พลันเกิดความเคารพเลื่อมใสขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ
เมื่อนึกถึงว่าภายในพื้นที่สถูปแห่งนี้ ภูเขากระดูกขาวที่กองพะเนินนั่น ล้วนถูกแปลงมาจากศพของศัตรูจากแปดดินแดนที่อริยพุทธบรรพกาลผู้นั้นกำราบ ความนับถือเลื่อมใสภายในใจหลินสวินก็ยิ่งลึกล้ำมากขึ้นเรื่อยๆ
“เป็นผู้บำเพ็ญธรรมเหมือนกัน เมื่อเทียบพวกเจ้าเฒ่าอารามกษิติครรภ์นั่นกับอริยพุทธผู้นี้ มีหรือจะห่างไกลกันแค่หนึ่งแสนแปดพันลี้”
นกทมิฬยิ้มเย็น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเยาะหยันที่มีต่ออารามกษิติครรภ์
ต่อมาเจ้าคางคกก็เริ่มชี้แนะหลินสวิน “อริยพุทธคนนี้ทิ้งมรดกวิชาลับชั้นเลิศไว้สิบอย่าง แบ่งซ่อนอยู่ภายในอักษรแต่ละตัวของอักษรธรรมบรรทัดนี้ อีกเดี๋ยวขอแค่เจ้าใช้จิตส่องสะท้อนอักษรธรรมเหล่านี้ ย่อมสัมผัสถึงมรดกภายในนั้นได้”
“จำไว้ เลือกได้เพียงอย่างเดียวภายในนั้น ก่อนหน้านี้เจ้าเฒ่าดำละโมบ หมายจะไขว่คว้ามรดกเหล่านี้ไว้ทั้งหมด ผลปรากฏว่าจิตวิญญาณถูกแว้งกัด เกือบธาตุไฟเข้าแทรก”
เอ่ยถึงตรงนี้ใบหน้าของนกทมิฬที่อยู่ด้านข้างก็อดแดงซ่านขึ้นมาไม่ได้ กระอักกระอ่วนไม่สิ้น
“ที่ข้าได้รับคือมรดกหลอมจิตวิญญาณอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ‘ศากยทัศนะฉะนี้’ ที่เจ้าเฒ่าดำได้ไปเป็นมรดกหลอมสภาวะจิต ชื่อว่า ‘คัมภีร์ไร้รูปว่างเปล่า’”
เจ้าคางคกรีบกล่าวเป็นพัลวัน “ที่น่าเสียดายคือ ไม่ว่าใครจะได้รับมรดก ล้วนได้แต่รับรู้ ไม่อาจถ่ายทอดเป็นคำพูดได้”
ได้แต่รับรู้ นั่นก็หมายถึง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าคางคกหรือนกทมิฬ ต่อให้ได้รับมรดกก็ไม่สามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้
หลินสวินพยักหน้า จากนั้นสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง นั่งขัดสมาธิบนพื้น ปลดปล่อยจิตแห่งตนเข้าไปหยั่งรู้อักษรธรรมสีทองที่ลอยกลางห้วงอากาศบรรทัดนั้น
ชั่วอึดใจ เสียงสันสกฤตอันยิ่งใหญ่ระลอกหนึ่งก็ดังก้องราวกับระฆังรุ่งสางกลองพลบค่ำ
หลินสวินรู้สึกเพียงว่าจิตวิญญาณไหวสั่น ‘เห็น’ เงาร่างภิกษุที่สูงใหญ่ไร้สิ้นสุดรูปหนึ่งนั่งขัดสมาธิกลางฟ้าดารา แสงมงคลรอบกายมหาศาล ส่องสว่างไสวไร้ขอบเขต ดุจดั่งเจ้าเหนือหัวปวงสวรรค์ในตำนานไม่มีผิด
ดวงดาวแต่ละดวงนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาล้วนเล็กจ้อยเหมือนปุยเมฆผงธุลี!
แต่เมื่อหลินสวินหมายจะมองอย่างถี่ถ้วน เงามายาภิกษุรูปนี้กลับอันตรธานไร้ร่องรอยเสมือนไม่เคยมีอยู่จริง
หลังจากนั้นม้วนตำราพุทธคัมภีร์สีทองสิบเล่มก็ปรากฏขึ้น ค่อยๆ แผ่เปิดออก ภายในนั้นเผยให้เห็นอักษรวิจิตรเรืองรองแถวแล้วแถวเล่า
อักษรเหล่านั้นดุจเจินหลงทะยาน หงส์เซียนสยายปีก ล้วนเปี่ยมด้วยจิตฌานและท่วงทำนองมรรค เร้นลับว่างเปล่า
ไม่สามารถอนุมานได้สักนิด เมื่อจิตหยั่งรู้ของหลินสวินโฉบผ่าน ทันใดนั้นจิตใจพลันปรากฏความรู้แจ้งมากมาย…
‘คัมภีร์ปัญญาเลิศล้ำ ฝึกจิตปัญญา หลอมปราณเลิศล้ำ ภายในซุกซ่อนมหาจักรวาล ตรงสู่มรรคแห่งตัวข้า…’
จิตใจหลินสวินไหวสะท้าน
เรียกว่า ‘คัมภีร์’ ได้ ย่อมต้องประพันธ์โดยตัวอริยะเอง สามารถคาดการณ์ได้ว่าคัมภีร์ปัญญาเลิศล้ำนี้ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน
‘เห็นแจ้งแก่นแท้ไร้ขอบเขต ฝึกกายกระจกไร้จำกัด หลอมความลับแห่งครรลองฟ้าลักษณ์ปฐพี ยึดกุมเจตแห่งอานุภาพกร้าวแกร่ง สำแดงท่วงท่าแห่งโพธิสัตว์ดาลเดือด…’
นี่คือเคล็ดวิชาหลอมกายที่อัศจรรย์และน่าสะพรึงถึงที่สุดอย่างหนึ่ง!
พริบตานี้หลินสวินออกจะกระหายอยาก คิดจะรับมรดกนี้
ในด้านการหลอมปราณ หลอมจิตวิญญาณ เขาอยู่ในมรรควิถีแห่งมกุฎมาตลอด มีเพียงด้านการหลอมกายเท่านั้นที่ไม่เคยเข้าไปศึกษาอย่างแท้จริง
ไม่ใช่ว่าไม่หวั่นไหว แต่เป็นเพราะเขาเคยได้รับ ‘วิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์’ เล่มหนึ่งจากแดนลับอสูรมารอริยะในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ เป็นเคล็ดวิชาหลอมกายอริยมรรคที่แท้จริงอย่างหนึ่ง สูงส่งลึกล้ำถึงที่สุด
และเพราะเช่นนี้เอง หลินสวินจึงไม่ต้องตาเคล็ดวิชาหลอมกายทั่วไปพวกนั้น
แต่ยามนี้ มรดก ‘เห็นแจ้งแก่นแท้ไร้ขอบเขต’ เล่มนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นวิชาลับหลอมกายที่อัศจรรย์อย่างหนึ่งเช่นกัน จะให้หลินสวินเมินเฉยได้อย่างไร
แต่พอคิดดู หลินสวินก็ยังอดใจเอาไว้
ตอนนี้เขามีวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์แล้ว หากมีเคล็ดวิชาหลอมกายเพิ่มมาอีกหนึ่งย่อมเท่ากับสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์
ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ใช่ผู้หลอมกายบริสุทธิ์เหมือนอย่างอาหลู่ ไม่ได้ตั้งความหวังไว้กับการใช้กายหยาบบรรลุอริยะมากเกินไปนัก
‘วิชาประทับบัวนิพพาน…’
‘เคล็ดวิชาวิทยราชไร้ไหวหวั่น…’
‘ศากยทัศนะฉะนี้…’
‘กัสสปะขว้างช้าง…’
ต่อมา หลินสวินพลิกอ่านทีละหน้า แม้ไม่อาจศึกษานัยแท้จริงภายในนั้น แต่กลับสามารถเข้าใจถึงผลลัพธ์อัศจรรย์ต่างๆ ของมรดกพวกนี้ได้
กล่าวได้ว่าจากสายตาของหลินสวินยามนี้ มรดกวิชาสิบเล่มนี้ไม่มีเล่มใดไม่ใช่ตำราลับชั้นเลิศอันดับหนึ่งในหมู่อันดับหนึ่ง หากเผยแพร่ไปสู่โลกภายนอก ล้วนสามารถชักนำให้เกิดการแย่งชิงของอริยะได้!
ถึงขั้นที่ว่าหากสามารถหยั่งถึงมรดกวิชาหนึ่งในนั้น ก็สามารถเปิดสำนักตั้งพรรคได้เลยทีเดียว
แต่สำหรับหลินสวิน มรดกสิบเล่มนี้แม้จะเปี่ยมด้วยสิ่งล่อใจที่ยากจะจินตนาการ พาให้เขาโอนเอนไม่สิ้น แต่ทว่า…
ล้วนไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการอย่างเร่งด่วน!
บางทีเลือกมาส่งๆ สักเล่มก็สามารถทำให้เขาได้รับมรดกชั้นเลิศอย่างหนึ่งได้ ไม่ด้อยไปกว่าได้รับศุภโชคใหญ่แล้ว
แต่หลินสวินกลับไม่มีความคิดเช่นนี้
ถึงขั้นที่หลังจากสงบใจลงมาอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขาถึงตระหนักได้ว่าวาสนาพลิกฟ้าตรงหน้านี้ บางทีอาจทำให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นคลุ้มคลั่ง แต่น่าเสียดายที่ล้วนไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
เมื่อนึกถึงตรงนี้ยามที่หลินสวินมองไปทางพุทธคัมภีร์สิบเล่มนั้นอีกครั้ง จิตใจก็แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีความปรารถนาเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว สายตาว่างเปล่าแจ่มใส
ฝึกปราณ จำเป็นต้องรู้จักเลือกรับและปฏิเสธ
และหลักการของหลินสวินนั้นง่ายมาก ไม่ว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อมรรคาแห่งตน ย่อมนำมาใช้ประโยชน์เพื่อตนเต็มที่ หากสิ่งใดที่มีหรือไม่มีก็ได้ ยอมไม่มี ยังดีกว่ามี!
เพราะนี่อาจกลายเป็นบ่วงพันธนาการอย่างหนึ่ง ยิ่งครอบครองมากเท่าไร พันธนาการก็ยิ่งมากเท่านั้น!
สิ่งนี้ในการฝึกปราณ เรียกว่าอุปสรรคแห่งวัตถุภายนอก
แสวงหาวัตถุภายนอก ใช้ประโยชน์เพื่อตน เป็นของตน
แต่หากเป็นตัวถ่วง มรรควิถีย่อมติดอยู่กับวัตถุภายนอก!
ท้ายที่สุดหลินสวินถอนใจเบาๆ ตัดสินใจปล่อยไป
ไม่ใช่ว่าเขาใจประเสริฐยิ่ง หากแต่รู้ดีว่าวาสนาระดับนี้แม้จะได้รับมาก็คงได้แต่เข้าใจ ไม่อาจถ่ายทอดเป็นคำพูดได้ ย่อมไม่สามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้
ซ้ำยังอาจจะเป็นบ่วงพันธนาการมรรคาแห่งตน ผลดีมีหยิบมือ ไม่สู้ปล่อยไปดีกว่า!
พริบตานี้ หลังจากหลินสวินตัดสินใจเช่นนี้ จิตใจของหลินสวินก็ได้รับการเคี่ยวกรำและยกระดับขึ้นอย่างไร้รูป
วาสนา ไม่ว่าใครต่างตาร้อน เป็นสิ่งล่อใจหาใดเปรียบ วาสนายิ่งพลิกฟ้า ก็ยิ่งพาให้ผู้คนไม่อาจต้านทาน
และในเวลาเช่นนี้สามารถปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว ซ้ำยังรักษาสภาวะจิตให้สงบนิ่งได้ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันจะมีสักกี่คนที่ทำได้
หากถูกคนอื่นรู้เข้า คงหัวเราะว่าหลินสวินเป็นเจ้าโง่อย่างแน่นอน
แต่หลินสวินกลับไม่มีความคิดเสียใจภายหลังแต่อย่างใด
มรรคาของเขาแตกต่างจากคนทั่วไป ทั้งไม่เหมือนกับอดีตและปัจจุบัน คิดจะมุ่งหน้าเดินบนมรรคาที่ไม่เคยมีมาก่อน ย่อมต้องมีสภาวะจิตและความเด็ดเดี่ยวที่มั่นคง!
เพียงแต่ขณะที่หลินสวินกำลังจะปล่อยไป ในหัวพลันมีเสียงที่เจือแววอ่อนโยนผ่าเผยสายหนึ่งดังขึ้น ‘ประเสริฐ เจ้า ก็ถือว่าเป็นพวกเดียวกับข้าแล้ว!’
ทุกคำดุจเสียงธรรม สะเทือนโสตประสาท ก้องสะท้อนทั้งร่างกายและจิตใจ
หลินสวินตกตะลึง พอเหลือบตามองอีกครั้ง ก็เห็นพุทธคัมภีร์สีทองอร่ามสิบเล่มเวลานี้ถึงกับเกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าเหลือเชื่อขึ้น
…………………….