“ศิษย์พี่ เชิญ!”
“เชิญ!”
หน้าแท่นบูชาพันฉื่อ ร่างทั้งสองตัดผ่านกัน การต่อสู้ปะทุขึ้น
วิธีการที่ง่ายที่สุดในการทดสอบและชี้แนะมรรคา ก็คือการต่อสู้
ตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้
ตอนมีชีวิตอยู่ราชันผีเสวียนคงคือมกุฎมหาอริยะที่สยบทั่วหล้า ระยะเวลาในการฝึกปราณไม่อาจสืบรู้ได้
แม้ตอนนี้เขาได้สูญเสียงมรรคาในตอนที่มีชีวิตอยู่แล้ว แต่ด้วยประสบการณ์การฝึกปราณของเขา ถึงขั้นชี้แนะการฝึกปราณให้กับอริยะก็ยังได้!
หลินสวินเองก็เข้าใจจุดนี้
นี่ เป็นโอกาสอันล้ำค่าที่หายากอย่างที่สุด
ถึงอย่างไรตั้งแต่เขาฝึกปราณมาจนถึงตอนนี้ ก็แทบจะพึ่งตัวเองในการแสวงมรรคาทั้งหมด
ตูม!
หลินสวินระเบิดออกมาอย่างสิ้นเชิง ใช้พลังทั้งหมด แสงมรรครอบตัวอึงอล อานุภาพราวกับเทพมาร สำแดงมรรคและกฎเกณฑ์ทั้งหมดออกมา
อย่างเช่นเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร หกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า
สองกระบวนท่าแรกของดรรชนีมหาอุดมสลายมายาอย่าง วสันต์สารทชั่วพริบตา ใกล้ดุจสุดหล้า…
พร้อมกับสำแดงพลังวิชายุทธ์ ยังสำแดงนัยเร้นลับมหามรรคที่ตนครอบครองไว้อย่าง น้ำ ไฟ เจินหลง ไร้มรณะ ยอดเอกอุออกมาด้วย
ทันใดนั้นที่แห่งนี้เสียงธรรมกึกก้อง เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลิ่นอายการต่อสู้พุ่งทะลวงฟ้า
แต่ว่า…
ไม่ว่าหลินสวินจะสำแดงวิชาชั้นยอดเพียงใด โคจรนัยเร้นลับมหามรรคที่ยิ่งใหญ่เพียงใด ล้วนถูกราชันผีเสวียนคงคลี่คลายทุกกระบวนท่า สลายได้ทั้งหมด
เงาร่างของเขายืดตรงราวกับทวน ท่าทางผ่อนคลาย บนใบหน้าที่หนักแน่นเย็นชานิ่งสงบ ดูความรู้สึกใดๆ ไม่ออก
ตอนแรกหลินสวินยังคาดหวังว่าจะได้รับการยอมรับและคำชื่นชมจากปากราชันผีเสวียนคงบ้าง หรือไม่ก็คำวิจารณ์และการชี้แนะ
น่าเสียดายที่ล้วนไม่มี
ตอนที่ต่อสู้กันราชันผีเสวียนคงราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จริงจัง เคร่งขรึม ละเอียดรอบคอบ จดจ่อ ไม่เคยปริปากพูดแม้แต่คำเดียว
เห็นเช่นนี้หลินสวินเองก็ปลดปล่อยอย่างสิ้นเชิง ไม่คิดอย่างอื่นอีก สลัดความคิดวุ่นวาย กายใจว่างเปล่า ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง
ตูม!
การต่อสู้น่ากลัวกว่าเดิม
ไม่มีการออมมือใดๆ หลินสวินโคจรโทสะหยาจื้อและวิชาอริยะยุทธ์ถึงขั้นสูงสุดไปด้วย
กาย ใจ จิตวิญญาณ ล้วนจดจ่ออยู่ในการต่อสู้!
พูดอย่างไม่เกินจริงเลยว่า หากอยู่ที่อื่น ทอดสายตามองไปในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน มีน้อยคนที่จะสามารถต้านทานการโจมตีเช่นนี้ของหลินสวินได้!
บุตรนรกแข็งแกร่งมากแล้ว แต่กลับถูกหลินสวินกำราบข้ามขั้น!
ร่างแยกของกู่ฝอจื่อเองก็แข็งแกร่งอย่างที่สุด แต่ภายใต้การโจมตีเต็มกำลัง ก็ถูกหลินสวินสลายไปได้เช่นกัน!
แต่ตอนนี้ ทุกการโจมตีของเขากลับถูกราชันผีเสวียนคงสลายอย่างง่ายดายทั้งหมด
นี่หากผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ มาเห็นเข้าจะต้องตกใจจนอ้าปากอ้างแน่ แต่มีเพียงได้เห็นฝีมือแท้จริงของราชันผีเสวียนคงเท่านั้น จึงจะเข้าใจว่าการควบคุมวิชายุทธ์ของเขาถึงขั้นช่วงชิงศุภโชคทั้งปวง เปลี่ยนสิ่งเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้นานแล้ว!
ทุกกระบวนท่าล้วนง่ายดายเป็นธรรมชาติ แต่กลับเต็มไปด้วยอานุภาพที่ลึกลับไม่อาจคาดเดา มักสามารถสลายทุกการโจมตีในเวลาสั้นๆ
แม้แต่เสื้อผ้ายังไม่เคยถูกหลินสวินแตะต้อง!
ถ้าเป็นคนอื่นคงหมดกำลังใจยอมแพ้ไปตั้งนานแล้ว เพราะเหมือนเผชิญกับภูเขาใหญ่ที่ไม่สามารถสั่นคลอนได้ ไม่ว่าจะโจมตีจากทิศใดก็ไม่สามารถทำอะไรได้ พาให้สิ้นหวัง
แต่หลินสวินไม่!
เขาจมอยู่ในการต่อสู้อย่างสิ้นเชิงแล้ว ลืมท้องฟ้า ผืนดิน และตนเอง!
เขาไม่ได้ปลดปล่อยพลังของตนตามใจและเต็มที่เช่นนี้มานานแล้ว และไม่เคยโจมตีอย่างจดจ่อเช่นนี้มาก่อน
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เลือดลมของเขาราวกับลุกโหม จิตต่อสู้เดือดพล่าน สะใจอย่างที่สุด!
นัยน์ตาดำของเขาเปล่งประกายขึ้นเรื่อยๆ จิตใจกลับนิ่งสงบและว่างเปล่ามากขึ้นเรื่อยๆ ความเข้าใจต่อการต่อสู้ วิชยุทธ์ ล้วนกำลังยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่รางๆ…
สีหน้าของราชันผีเสวียนคงยังคงหนักแน่นเย็นชาเหมือนก่อนหน้านี้ นิ่งสงบไร้คลื่น
แต่ในใจเขากลับเกิดความรู้สึกมากมาย!
หรือพูดอีกอย่างว่า ตั้งแต่ตอนที่เริ่มต่อสู้ ศิษย์น้องหลินสวินที่อยู่ตรงหน้าก็สร้างความแปลกใจและประหลาดใจให้เขาแล้ว
การควบคุมวิชายุทธ์ การใช้วิชามรรค รวมถึงฝีมือต่อสู้ที่ช่ำชอง ประสบการณ์หลากหลายในการต่อสู้ของหลินสวิน เหนือความคาดหมายของเขาอย่างสิ้นเชิง
ยากจะจินตนาการว่า ในระดับอมตะเคราะห์ด่านสาม คนผู้หนึ่งจะถึงขั้นมีรากฐานและพลังต่อสู้ที่น่ากลัวขนาดนี้ได้!
ยามราชันผีเสวียนคงแสวงหามรรคาอมตะ ก็เคยดวลกับผู้กล้าและบุคคลระดับปีศาจในยุคเดียวกัน หากเทียบกันตัวต่อตัว กลับไม่มีใครแข็งแกร่งได้อย่างหลินสวิน
ความแข็งแกร่งเช่นนี้มาจากพลังต่อสู้โดยรวมในตัว! วิถียุทธ์ พลังปราณ พลังมหามรรค ประสบการณ์การต่อสู้… ขาดไม่ได้แม้แต่อันเดียว!
และเมื่อการต่อสู้ดำเนินไปเรื่อยๆ ราชันผีเสวียนคงก็ยิ่งตกตะลึง เมื่อพบว่าพลังต่อสู้ที่ศิษย์น้องหลินสวินซึ่งอยู่ตรงหน้าสำแดงออกมา เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ทุกครั้งที่คิดว่านี่เป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว แต่ครู่ต่อมาเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นอีก ทำลายการรับรู้และการคาดการณ์ของตน ทุกสิ่งล้วนเหนือความคาดหมาย!
นี่ เหมือนสัตว์ประหลาดน้อยพลิกฟ้าคนหนึ่ง!
จู่ๆ ราชันผีเสวียนคงก็นึกขึ้นได้ว่า ยามที่ตนฝึกปราณในสำนัก ตอนที่เหล่าศิษย์พี่อยู่ในพลังปราณระดับเดียวกันนี้ ก็มีน้อยคนมากที่จะสามารถเก่งอาจได้อย่างศิษย์น้องหลินสวิน
‘มกุฎราชัน ไม่ธรรมดาดังคาดจริงๆ…’
ราชันผีเสวียนคงลอบถอนหายใจ
และเมื่อหลินสวินสำแดงมรรคดับดารากลืนกิน โจมตีด้วยกระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้ ราชันผีเสวียนคงไม่ทันระวัง เกือบจะถูกประกายคมกวาดเข้าใส่!
ฟึ่บ
เสื้อผ้าชิ้นหนึ่งถูกกรีด ลอยลงราวกับผีเสื้อ จากนั้นแหลกละเอีอดเป็นฝุ่นผง
และเป็นตอนนี้เองที่ราชันผีเสวียนคงถอยออกจากการต่อสู้ เอ่ยว่า “ศิษย์น้อง พอแล้วล่ะ”
หืม?
หลินสวินชะงักไป เพิ่งได้สติจากสภาวะต่อสู้อย่างจดจ่อถึงที่สุด เก็บกลิ่นอายดุจกระแสน้ำหลากรอบตัวลงไป
และเขาก็อดหายใจหอบไม่ได้
อย่าเห็นว่าการต่อสู่ครั้งนี้ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป แต่กลับเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีการออมมือที่สุดนับตั้งแต่เขาฝึกปราณมา พลังที่เสียไปย่อมมากอย่างที่สุด
“ศิษย์น้อง พรสวรรค์และรากฐานของเจ้า เพียงพอจะจัดอยู่ในห้าอันดับแรกของบรรดาผู้กล้าที่ข้าเคยพบเจอทั้งชีวิต”
ราชันผีเสวียนคงวิจารณ์
จัดอยู่ในห้าอันดับแรก
ในประสบการณ์ของมกุฎมหาอริยะคนหนึ่ง พบเจอผู้มากอิทธิพลมาไม่รู้เท่าไหร่ แต่หากกล่าวถึงความสามารถและพรสวรรค์ สามารถจัดอยู่ในห้าอันดับแรกได้ถือเป็นคำชมที่สูงมากแล้ว
“ด้วยพลังต่อสู้ของเจ้าในตอนนี้ แม้ฆ่าราชันทั่วไปในระดับอมตะเคราะห์ด่านห้าก็น่าจะทำได้อย่างง่ายดาย”
ราชันผีเสวียนคงวิเคราะห์
หลินสวินฟังเงียบๆ
“แต่เจ้ารู้หรือไม่ แม้ความสามารถและรากฐานพลังของเจ้าจะแข็งแกร่งไร้เทียมทาน แต่ตอนต่อสู้กลับเสียพลังที่ไม่จำเป็นมากเกินไป อีกทั้งอย่างมากที่สุดก็สำแดงรากฐานพลังในตัวออกมาเพียงเจ็ดส่วน”
เมื่อคำพูดนี้ดังออกมา ทำเอาหลินสวินตกใจทันที จากนั้นพลันประสานหมัดพูดว่า “ขอศิษย์พี่โปรดชี้แนะ”
“ไม่ถึงกับชี้แนะ เพียงแต่ทำให้เจ้าเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าจะขุดความสามารถในตัวอย่างให้ถึงที่สุดได้อย่างไร เพื่อสำแดงพลังต่อสู้ในตัวออกมาถึงขีดสุด”
ตอนที่พูด ราชันผีเสวียนคงพลันปล่อยหมัดหนึ่งออกมา
ราบเรียบ ตรงไปตรงมา และง่ายดาย
แต่ในสายตาหลินสวิน หมัดนี้กลับประหนึ่งทำลายพันธนาการห้วงมิติ ทะลวงกาลเวลามาเยือน มีอานุภาพยิ่งใหญ่ปะทะเข้ามา พาให้คนรู้สึกต่ำต้อยไร้ค่า
พริบตานั้นเขาสั่นไปทั้งตัวราวกับตกสู่โพรงน้ำแข็ง ไม่อาจหนี ไม่อาจหลบ ถึงขั้นที่จิตใจและจิตต่อสู้ล้วนได้รับการกดข่มที่น่ากลัว เริ่มสั่นสะท้าน!
“มหามรรคนั้นเรียบง่าย วิถียุทธ์ก็เช่นกัน เมื่อรุ่งเรืองถึงขีดสุดแล้วก็จะกลับคืนสู่จุดเริ่มต้น ก็เหมือนตอนต่อสู้ ทิ้งความซับซ้อนเก็บไว้ซึ่งแก่น สลัดความวุ่นวายออกไป เหลือไว้เพียงแก่นพิสุทธิ์ ย่อมสามารถทำทุกสิ่งได้อย่างราบรื่น ทลายสรรพสิ่งได้”
ราชันผีเสวียนคงพูดเสียงขรึม
ด้วยประสบการณ์และสิ่งที่พบเจอยามท่องโลกตอนยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเอ่ยปากก็ทำให้หลินสวินรู้สึกเหมือนถูกไม้กระบองฟาดศีรษะ ตื่นรู้ฉับพลัน
สิ่งที่ราชันผีเสวียนคงสอนเขา ไม่ใช่มรรคและกฎเกณฑ์อย่างเป็นรูปธรรม แต่เป็นการบอกเขาว่าควรประหยัดพลังกายอย่างไร ใช้พลังที่น้อยที่สุด สำแดงอานุภาพที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา
ในเวลาเดียวกันก็กำลังชี้แนะเขาว่า ควรขุดค้นศักยภาพแฝงในตัวมาใช้ในการต่อสู้อย่างถึงที่สุดอย่างไร
ปัญหาเหล่านี้เมื่อก่อนหลินสวินเองก็ตระหนักได้เป็นครั้งคราว แต่กลับไม่เคยใคร่ครวญให้ลึกซึ้งอย่างแท้จริง
แต่ตอนนี้ การชี้แนะของราชันผีเสวียนคงเหมือนเป็นการจุดประกายความคิด ราวกับได้ทำลายกระดาษหน้าต่าง มองเห็นโลกใบใหม่!
“เจ้าใช้พลังทั้งหมดโจมตีหินนี้”
ราชันผีเสวียนคงยื่นมือไปคว้า ป้ายหินสีดำที่เก่าคร่ำคร่าป้ายหนึ่งก็ปรากฏ ถูกเสียบเข้าบนพื้นดิน
หลินสวินสูดหายใจลึก กระตุ้นพลังในตัวจนถึงขีดสุดแล้วกระแทกหมัดหนึ่งออกไป บนป้ายหินพลันประทับรอยหมัดลึกสามชุ่น
คุณภาพของป้ายหินนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา!
“เท่าที่ข้าดู หมัดนี้ของเจ้าสิ้นเปลืองพลังไปไม่น้อย ทั้งยังไม่ได้สำแดงพลังต่อสู้ในตัวออกมาอย่างสมบูรณ์”
ราชันผีเสวียนคงแสดงความเห็น “จำหมัดเมื่อครู่นี้ของข้าได้หรือไม่”
หลินสวินพยักหน้า
“ตอนนี้ข้าจะอธิบายนัยเร้นลับของหมัดนี้ให้กับเจ้า”
ราชันผีเสวียนคงปฏิบัติกับหลินสวินเหมือนเป็นศิษย์น้องของตนจริงๆ ไปแล้ว ส่งต่อสิ่งที่รู้โดยไม่เก็บงำเลยสักนิด
ส่วนหลินสวินก็คว้าโอกาสเรียนรู้
เวลาหนึ่งชั่วยามผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
หลินสวินลุกขึ้นปล่อยหมัดออกไปอีกที ครั้งนี้ทิ้งรอยนิ้วมือลึกห้าชุ่นเอาไว้ พัฒนาอย่างเห็นได้ชัด!
แต่ในใจเขากลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
ก่อนหน้านี้เขาคิดมาตลอดว่าตนได้สำแดงพลังต่อสู้ออกมาจนถึงขีดสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว เพียงพอให้ไม่ต้องเกรงกลัวศัตรูในรุ่นเดียวกัน
แต่ตอนนี้ เขาเพิ่งค้นพบว่าตนคิดผิดไปแล้ว
ก็เหมือนหมัดนี้ พลังที่ใช้ไม่ถึงแปดส่วนของเมื่อครู่นี้ แต่อานุภาพที่ทำได้กลับมากกว่าเมื่อครู่ราวๆ หนึ่งเท่า!
“พ่อครัวชำแหละวัว ไม่ต้องเสียแรงก็สามารถแยกชิ้นส่วนวัวทั้งตัวได้อย่างง่ายดาย จิตมั่นคงไอว่างเปล่า เพราะเหตุใด ก็ล้วนอยู่ที่ฝีมือใกล้เคียงมรรค!”
“มรรคนี้ คือความเข้าใจต่อแก่นแท้จริงของวิถียุทธ์”
…ภายใต้การชี้แนะของราชันผีเสวียนคง สามชั่วยามหลังจากนั้นเมื่อหมัดหนึ่งของหลินสวินกระแทกออกไป ก็ทำลายป้ายหินนั่นเป็นฝุ่นผงลอยล่องลงพื้น!
“ไม่เลว เจ้าหยั่งถึงนัยเร้นลับบางส่วนแล้ว มหามรรคนั้นเรียบง่าย วิชามรรค วิชาแห่งมหามรรค เพียงแค่ครอบครองแก่นแท้จริงของมัน ใช้วิธีการที่ถูกต้อง ก็สามารถเผยอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของความสามารถในตัวได้!”
ราชันผีเสวียนคงเผยรอยยิ้ม
ความจริงเขาประหลาดใจอย่างมาก หลินสวินสามารถหยั่งถึงแก่นแท้จริงวิถียุทธ์ในเวลาไม่กี่ชั่วยามสั้นๆ เหนือความคาดหมายของเขาอย่างสิ้นเชิง
“ศิษย์น้อง นี่คือระดับแห่ง ‘กระจ่างจิต’ ในวิถียุทธ์ ต่อให้เป็นพันวิชาลับหมื่นวิชาอัศจรรย์ ขอเพียงสามารถเข้าใจถึง ‘จิต’ ของมัน ก็ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้”
ระดับกระจ่างจิต!
เมื่อก่อน ความเข้าใจในวิถียุทธ์ของหลินสวิน เสาะแสวงได้ถึงระดับ ‘อัตวิชา’ เท่านั้น
อัตวิชา คือนภาแห่งตน
และเหนือกว่านั้นก็คือระดับกระจ่างจิต เข้าใจถึงท่วงทำนอง ‘จิต’ แห่งวิชาเล็กน้อย แปรเปลี่ยนมาเป็นของตน วิถียุทธ์ก็จะถึงระดับกระจ่างจิต!
ความเข้าใจนั้นไพศาล สิ่งใดคือความเข้าใจ
ก็คือบรรลุวิถียุทธ์ถึงระดับ ‘กระจ่างจิต’
“ตอนนี้ข้าจะสอนเจ้าว่าควรขุดค้นพลังทั้งหมดในตัวออกมาอย่างไร เพื่อสำแดงพลังต่อสู้ออกมาให้ถึงขีดสุด!”
ราชันผีเสวียนคงพูด
หลินสวินสงบจิต เงียบฟังอย่างตั้งใจ
——