Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1298 ผู้ทรงอิทธิพลในใต้หล้าล้วนเป็นคนรุ่นข้า

ตอนที่ 1298 ผู้ทรงอิทธิพลในใต้หล้าล้วนเป็นคนรุ่นข้า

หืม?

ในเวลาเดียวกันนี้ ดวงตาดำของหลินสวินหรี่ลง

กระบี่นี้เขาตั้งท่ารอไว้นานแล้ว แม้ไม่ถึงกับสำแดงพลังทั้งหมดอย่างไม่ยั้งมือ แต่ความกร้าวแกร่งของอานุภาพก็เรียกได้ว่าสามารถสะเทือนบุคคลขอบเขตมกุฎระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดได้

แต่ในการรับรู้ของเขา เงาร่างสูงโปร่งอรชรนั้นเพียงได้รับบาดเจ็บเท่านั้น!

ปึง!

ไกลออกไปอานุภาพจู่โจมของดาบหักถูกสลายลงโดยสมบูรณ์ กระบี่สีเขียวเล่มนั้นส่งเสียงใสออกมาและแทงทะลุอากาศไป

อีกทั้งอาศัยโอกาสนี้ อวี๋ซี ไป๋เฉียน เหยาหลีทลายอากาศจากไปนานแล้ว ไม่ได้ร่ำไรอ้อยอิ่งสักนิด

เดิมหลินสวินคิดไล่ตามโจมตีต่อ แต่เมื่อเหลือบมองอาหลู่ที่กำลังฟื้นตัว ในใจก็ถอนหายใจ สุดท้ายก็ล้มเลิก

ที่จริงแล้วก็ไม่ถึงกับเสียดาย เพราะเขารู้ดีว่าโอกาสสูญไปแล้ว ต่อให้ไล่ตามไปก็ย่อมเปลืองแรงเปล่า

“เจ้าคางคก พวกเจ้าจัดการสนามรบเสียหน่อย พวกเราควรจากไปได้แล้ว”

สายตาหลินสวินกวาดมองไปในลาน เหล่าผู้กล้า ณ ที่นั้นเงียบกริบเป็นจักจั่นเหมันต์ ไม่กล้าสบตากับเขา

แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้นองเลือดและสั่นสะท้านเกินไป ทำให้พวกเขายังไม่ได้สติมาจนถึงตอนนี้ ยามเผชิญหน้ากับหลินสวิน ในใจนอกจากความหวาดผวา แม้แต่ความกล้าต่อต้านสักนิดยังไม่มี

“ไป!”

ไม่นานนักเจ้าคางคก นกทมิฬ และอาหลู่ที่กวาดทรัพย์หลังศึกจนเกลี้ยงรวมตัวอยู่ด้วยกัน แล้วออกจากสถานที่ขัดแย้งนองเลือดแห่งนี้ไปกับหลินสวิน

ถ้ายังไม่ไปอีก ไม่แน่ว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น หลินสวินไม่อยากเสี่ยงอีกแล้ว ที่ช่วยอาหลู่ไว้ได้อย่างปลอดภัยคราวนี้ก็บรรลุเป้าหมายแล้ว

ในลานบรรยากาศที่กดดันหาใดเทียบแต่เดิมเหือดหายไปพร้อมกับการจากไปของพวกหลินสวิน เหล่าผู้กล้าต่างเหมือนยกภูเขาออกจากอก พ่นลมหายใจขุ่นออกมาเฮือกหนึ่ง

เพียงแต่ในจิตใจยังคงหลงเหลือความตื่นตะลึงที่เนิ่นนานก็ไม่อาจปัดเป่าไปได้อยู่

“เทพมารหลิน แข็งแกร่งถึงขั้นไหนกันแน่นะ”

มีคนพึมพำ

ก่อนหน้านี้เหล่าผู้กล้ารวมตัว ประหนึ่งทัพใหญ่ประชิดพรมแดน มองอาหลู่เป็นสัตว์ในกรง จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด เอาเปรียบได้ตามใจ

หนำซ้ำยังมีพวกร้ายกาจที่ชื่อเสียงสะเทือนแดนเก้าบนอย่างพวกบุตรนรก ไป๋หลงถิงควบคุม

แต่ใครจะคิดได้ว่ากำลังทั้งหมดนี้ กลับถูกหลินสวินคนเดียวทำลายราบเป็นหน้ากลอง เข่นฆ่าบุคคลระดับนายเหนือหัวอย่างต่อเนื่อง เลือดสาดกระเซ็นทั่วฟ้าดิน!

“รวมไป๋หลงถิงเข้าไปด้วย มีบุคคลระดับนายเหนือหัวที่อยู่บนกระดานทองคำผู้กล้าไปแล้วทั้งสิ้นสิบเก้าคน นอกจากนี้ก็มีบุคคลขอบเขตมกุฎสามสิบสองคนประสบเคราะห์ในการเข่นฆ่า…”

มีคนรวบรวมสถิติ ตัวเลขที่ได้มากลับน่าตกตะลึงเมื่อได้เห็น!

ควรรู้ว่าในทั้งแดนเก้าบนมีบุคคลขอบเขตมกุฎนับไม่ถ้วน แต่ที่สามารถพาตัวเองขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้าได้ กลับมีเพียงหนึ่งร้อยคนเท่านั้น

แต่ตอนนี้ยามการต่อสู้ครั้งหนึ่งจบลง เพียงแค่บุคคลระดับนายเหนือหัวที่ตายด้วยน้ำมือหลินสวินเหล่านั้นก็มีมากถึงสิบเก้าคน!

ไม่จำเป็นต้องสงสัยสักนิดว่า หากเรื่องนี้กระจายออกไปทั้งแดนเก้าบนต้องอึกทึกครึกโครมเป็นแน่ ก่อเกิดคลื่นพายุคับฟ้า

“ก็ยังดีๆ ที่พวกเราไม่ได้ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวด้วย”

หลายคนต่างลอบยินดีปรีดา เมื่อนึกถึงภาพก่อนหน้านี้แต่ละภาพยังกังวลจนเหงื่อออกมือ หากตอนนั้นพุ่งเข้าไปต่อสู้ เข้าร่วมกับพวกคนที่โจมตีหลินสวิน เกรงว่าตอนนี้พวกเขาคงกลายเป็นศพเปื้อนเลือดที่กองอยู่บนพื้นแล้วกระมัง

“พวกเจ้าไม่รู้สึกว่าสามคนที่ปรากฏตัวทีหลังนั้นไม่ธรรมดาหรือ เป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะมาจากกลุ่มเดียวกัน เคารพยกย่อง ‘องค์ชาย’ ผู้หนึ่ง!”

มีคนฉงนใจ วิเคราะห์ที่มาของพวกอวี๋ซี ไป๋เฉียน และเหยาหลี

“ไม่ผิด พวกเขาแต่ละคนล้วนมีพลังต่อสู้ที่ไม่ด้อยไม่กว่าไป๋หลงถิงเลย แต่ช่วงหลายปีก่อนหน้าหน้านี้กลับเงียบเชียบไม่มีชื่อมาตลอด นี่ก็น่าเหลือเชื่อพออยู่แล้ว!”

“ที่น่ากลัวที่สุดอาจะเป็น ‘องค์ชาย’ ผู้นั้น สามารถรวบรวมคนร้ายกาจอย่างนี้กลุ่มหนึ่งมาเป็นคนในปกครองได้ แค่คิดก็รู้ว่า ‘องค์ชาย’ นี่ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่”

เหล่าผู้กล้าวิพากษ์วิจารณ์ ในใจแต่ละคนต่างปั่นป่วนไม่ว่างเว้น

“ที่จริงแล้วไม่ว่าพวกเขาเป็นใคร การโจมตีคราวนี้ก็ทำอะไรเทพมารหลินไม่ได้อยู่ดี นี่ต่างหากจึงจะเป็นจุดที่น่ากลัวของเทพมารหลิน!”

มีคนทอดถอนใจ

มีเพียงชื่อเหยาที่เงียบมาตลอด

ในใจนางเต็มไปด้วยความขมขื่นและท้อแท้

ตอนออกจากแดนเผาเซียน นางเคยลอบสาบานว่าถ้าไม่บรรลุขอบเขตมกุฎระดับราชัน จะไม่ไปหาหลินสวินเพื่อชิงไม้โพธิ์เด็ดขาด

แต่จะคิดได้อย่างไรว่าในขอบเขตมกุฎระดับราชัน นางก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของหลินสวินได้เลย…

‘ไม้โพธิ์… เหตุใดต้องถูกเขาเอาไปเสียได้…’

ใจชื่อเหยาแปรเปลี่ยนเป็นหม่นหมองขึ้นมา

นางหันตัวจากไปเหมือนศพเดินได้ แต่ก่อนนางก็หยิ่งผยองอวดดีหาใดเทียบ คิดว่าสามารถผงาดขึ้นในมหายุค อำนาจเหนือปวงชน ก่อลมเมฆในใต้หล้า

แต่ตอนนี้ นางถึงพบว่าความคิดของตนออกจะไร้เดียงสา

ในยุคเดียวกันมีคนร้ายกาจอย่างเทพมารหลินคนหนึ่ง ก็เพียงพอจะกดข่มให้สัตว์ประหลาดยุคโบราณมากมายไม่อาจเชิดหน้าได้!

……

“แม่นางหวั่นอิน ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ”

ในขณะเดียวกัน เงาร่างของอวี๋ซี ไป๋เฉียนและเหยาหลีปรากฏขึ้นในพื้นที่ที่สายฟ้าแน่นขนัดแห่งหนึ่ง

เมื่อเห็นเงาร่างอรชรที่รอพวกเขาเงียบๆ ทั้งสามก็ตื่นตระหนกอย่างอดไม่ได้

นี่คือหญิงสาวราวนางเซียนผู้หนึ่ง สง่างามดั่งเทพเซียน เลื่อนลอยยากจับต้อง ทั้งกายอาบชโลมอยู่กลางหมอกฝนสลัว ดูเหมือนภาพมายาไกลห่าง

เมื่อพินิจโดยละเอียดรูปลักษณ์ของนางอ่อนเยาว์ถึงที่สุด ดูเหมือนอายุสิบเจ็ดสิบแปด แต่ยามยืนตามสบายอยู่กลับมีท่วงท่าสง่างามเหนือโลกา ไม่แปดเปื้อนมลทิน

ทว่าใบหน้าของนางในตอนนี้กลับซีดขาวเล็กน้อย บนสาบเสื้อเบื้องหน้าเปื้อนรอยเลือดแดงสดอยู่สองสามจุด

และที่ปลายนิ้วมือเรียวยาวขาวสะอาดของนาง ยังมีหยดเลือดหยดหนึ่งกำลังจะไหลลงมา

นี่จะไม่ทำให้พวกอวิ๋นซีตื่นตระหนกได้อย่างไร

แม่นางหวั่นอินตรงหน้าผู้นี้เป็นถึงสาวใช้ข้างกายองค์ชาย ยามองค์ชายเก็บตัวหลับใหลในยุคบรรพกาล ก็ติดตามอยู่ข้างกายมาโดยตลอด

แม้เป็นสาวใช้ แต่ใครก็ไม่กล้าปฏิบัติกับนางอย่างคนที่อยู่ต่ำกว่า

เหตุผลก็ง่ายดายนัก ความล้ำเลิศในพรสวรรค์ แก่นกระดูก และรากฐานพลังของหวั่นอินล้วนเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมที่สุดในยุคปัจจุบัน ไม่ด้อยกว่าไปสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนใด!

ที่น่ากลัวที่สุดก็คือนางยังมีพรสวรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ทำให้นางรุดหน้าชิงชัยในมรรคามาตลอด สามารถทำให้ผู้กล้านับไม่ถ้วนได้แต่ยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยดี!

แม้แต่องค์ชายยังเคยรำพึงว่าให้หวั่นอินตามปรนนิบัติข้างกาย เป็นการลบหลู่ความสามารถอย่างไม่ต้องสงสัย! เห็นได้ว่าองค์ชายให้ความสำคัญกับนางมาก

แต่ตอนนี้บุคคลที่สามารถเย่อหยิ่งดุจดั่งนางเซียนเช่นนี้ กลับได้รับบาดเจ็บแล้ว…

ชั่วขณะหนึ่งพวกอวี๋ซีก็นึกถึงกระบี่ที่หลินสวินฟันออกมานั้น!

ในใจล้วนเย็นเยียบขึ้นมาบ้างอย่างห้ามไม่ได้

อานุภาพของกระบี่นี้ แข็งแกร่งจนทำให้แม่นางหวั่นอินได้รับบาดเจ็บเลยหรือ

“พวกเจ้าคิดว่าพลังต่อสู้ของหลินสวินเป็นอย่างไร”

แล้วก็ในตอนนี้เองที่หวั่นอินเอ่ยปากขึ้นทันใด เสียงพูดราวกับเสียงสวรรค์ เลื่อนลอยเลือนราง กลิ่นอายฟ้าดินคล้ายแปรเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาและอุดมไปด้วยพลังชีวิต

“แข็งแกร่งมาก!”

นี่เป็นความคิดอันเป็นเอกฉันท์ของพวกอวี๋ซี

ต่อให้พวกเขาไม่ยินยอม แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนประลองกับหลินสวิน หากไม่ใช่เพราะรู้ดีว่าหวั่นอินควบคุมดูแลอย่างลับๆ พวกเขาก็ไม่กล้าไปล่วงเกินง่ายๆ

คนผู้นั้นเหมือนเหวลึกอันยากแท้หยั่งถึงแห่งหนึ่ง ไม่อาจใช้สามัญสำนึกมาวัดได้!

หวั่นอินพยักหน้าน้อยๆ

นางคล้ายครุ่นคิดอะไรอยู่

“ใช่แล้ว ข้างกายหลินสวินนั่นยังมีราชันหนอนกินเทพตนหนึ่งติดตามมาด้วย เรื่องนี้ต้องแจ้งให้องค์ชายทราบ!”

อวี๋ซีพลันเอ่ยขึ้น สีหน้าเจือไปด้วยความไม่ยินยอมเล็กน้อย

ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะมีหนอนกินเทพนั่นดูแล นางคงใช้วิชาจู่โจมจิตวิญญาณฆ่าอาหลู่ แล้วชิงศุภโชคสุสานจักรพรรดิที่อยู่กับตัวเขาไปได้นานแล้ว!

“หนอนกินเทพ…”

แววตาของหวั่นอินแปรเปลี่ยนเป็นคลุมเครือขึ้นมา คล้ายนึกถึงเรื่องราวในอดีตมากมาย

ครู่หนึ่งนางถึงพูดว่า “เรื่องนี้จำเป็นต้องแจ้งองค์ชายให้ทราบทันที!”

……

ในช่วงไม่กี่วันนี้ภายในแดนเก้าบนสะเทือนเลื่อนลั่นโดยสมบูรณ์

เวลาผ่านไปสองปี เทพมารหลินออกจากแดนธรรมสถูป พิชิตชัยรอบทิศโดยลำพัง ฝ่าเส้นทางเป็นตายในแดนโบราณหมื่นลักษณ์ออกมาได้ สังหารผู้แข็งแกร่งระดับนายเหนือหัวอย่างต่อเนื่อง!

ข่าวนี้ทำให้บารมีของหลินสวินสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในคราวเดียว ก่อให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์และเสียงฮือฮาไม่น้อย

“ตัวคนเดียวปลิดชีพผู้แข็งแกร่งระดับนายเหนือหัวที่อยู่ในกระดานทองคำผู้กล้าสิบเก้าคน หลินสวินคนนี้ก็เหมือนกับดาวสังหารดวงหนึ่งจริงๆ!”

มีคนใจสั่นระรัว

“ด้วยพลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้ การจะขึ้นมาอยู่ในสามอันดับแรกของกระดานทองคำผู้กล้าก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”

ทั้งยังมีคนกำลังวิเคราะห์และเปรียบเทียบพลังต่อสู้ของหลินสวิน

“อวิ๋นชิ่งไป๋ล่ะ เหตุใดยังไม่ปรากฏตัวอีก หรือจะมองดูหลินสวินบ่มเพาะอานุภาพไร้ศัตรูไปต่อหน้าต่อหน้า”

ผู้ที่มองหลินสวินเป็นศัตรูบางคนกลับไม่พอใจ หวังจากจิตใต้สำนึกให้มีคนลุกขึ้นมากดข่มบารมีของหลินสวินเสียหน่อย

และอวิ๋นชิ่งไป๋ก็ได้รับความคาดหวังอย่างมากจากคนเหล่านี้

เพราะตอนนี้ต่างรู้ดีแล้วว่า ไม่ว่าหนี้เลือดระหว่างหลินสวินกับอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นเรื่องจริงหรือเท็จ แต่อย่างน้อยเรื่องที่หลินสวินเคยปลิดชีพเหล่าผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าก็เป็นเรื่องจริง!

ที่น่าเสียดายก็คือ สองปีมานี้อวิ๋นชิ่งไป๋เหมือนระเหยไปจากโลก ไม่มีข่าวคราวอีก ขนาดตำแหน่งอันดับหนึ่งบนกระดานทองคำผู้กล้าของเขาถูกเบียดลงไป ก็ยังไม่เคยทำให้เขาปรากฏตัว

ขณะเดียวกันในที่ลับ ที่มาที่ไปของอวี๋ซี ไป๋เฉียนและเหยาหลีก็ดึงดูดความสนใจของขุมอำนาจใหญ่มากมาย

ก่อนหน้านี้นิ่งเงียบไร้ชื่อเสียง ทั้งชื่อยังไม่เคยอยู่บนกระดานทองคำผู้กล้า แต่กลับมีพลังต่อสู้เทียบได้กับผู้แข็งแกร่งระดับไป๋หลงถิง

นี่ ย่อมทำให้ผู้อื่นไม่อาจไม่ให้ความสำคัญ!

พวกเขาเป็นใคร

และผู้ที่ถูกพวกเขายกให้เป็น ‘องค์ชาย’ จะเป็นอริยเทพจากไหนอีก

และเป็นตอนนี้เช่นกัน ที่หลายคนถึงตระหนักได้โดยพลันว่าสายตาไม่อาจจับจ้องอยู่ที่กระดานทองคำผู้กล้าเท่านั้น และไม่อาจใช้อันดับของกระดานทองคำผู้กล้ามาวัดเหล่าผู้กล้า

เพราะในที่ลับ ยังมีบุคคลแข็งแกร่งถึงที่สุดมากมายที่ยังไม่เคยไปทะลวงกระดานทองคำผู้กล้า

เช่นหลินสวิน

เช่นพวกอวี๋ซี ไป๋เฉียนและเหยาหลีที่เพิ่งเป็นที่รู้จักในช่วงใกล้ๆ นี้

นี่ทำให้ทุกคนคาดเดาอย่างอดไม่ได้ว่า ในแดนเก้าบนยังมีคนร้ายกาจที่ยังไม่พาตัวเองขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้าเช่นนี้อีกกี่คนกันแน่

……

แดนอัคคีทักษิณ

เขาฝนดาวตก ยามช่องทางสู่แดนเก้าบนเปิดออกครั้งแรก เขาแดนมงคลแห่งนี้ก็ถูกยึดครองโดยเผ่าอีกาทอง

เพียงแต่หลายปีผ่านไป เผ่าอีกาทองร่วงโรยไปนานแล้ว แทบจะล่มสลาย

เขาฝนดาวตกที่ถูกทำลายด้วยไฟศึกควันสงครามแปรเปลี่ยนเป็นรกร้างมานานแล้ว ไม่มีบรรยากาศภูเขาแดนมงคลลือชื่อให้พูดได้อีก

วันนี้เงาร่างของพวกหลินสวินปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขาฝนดาวตก

“ข้าจำได้ว่าใต้ภูเขาลูกนี้มีชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดอยู่สายหนึ่ง หากเสาะหามันออกมาได้ ใช้ค่ายกลใหญ่กระตุ้นขึ้นมา ก็จะเป็นแดนมงคลฝึกปราณชั้นเลิศแห่งหนึ่งได้”

หลินสวินเงยหน้ามองเขาฝนดาวตกที่รกร้างราวซากปรักหักพังมานานแล้วนั้น นึกถึงตอนที่ตนเหยียบบนเขาลูกนี้ครั้งแรก เผ่าอีกาทองยังเป็นขุมอำนาจใหญ่แห่งหนึ่ง กองกำลังทรงพลังราวสุริยันกลางเวหา

แต่ตอนนี้เพิ่งผ่านไปไม่กี่ปีเท่านั้น ความรุ่งเรืองในวันวานของเผ่าอีกาทองก็ถูกลมฝนกรรโชกซัดสาดไป ความอหังการ ความทะเยอทะยาน ต่างแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท