ตูม!
เหนือเวิ้งนภาฟ้าแลบฟ้าร้อง แสงมรรคสะเทือนเลื่อนลั่น
เหล่าผู้กล้าที่อยู่ไกลออกไปใจสั่นระรัว ก่อนหน้านี้พวกเขากำลังติดตามการต่อสู้ของพวกเจ้าคางคกกับอาหลู่ แต่ตอนนี้กลับถูกการประลองหายากตรงหน้านี้ดึงดูดใจไปแล้ว
ไป๋เฉียนถือทวนวงเดือนทองคำขาว ประหนึ่งเทพสังหารมาเยือนโลกา
อวี๋ซีควบคุมประทับมรรคสีเขียว กดข่มสิบทิศ
เงาร่างเหยาหลีไหววูบลอยท่องหนี ผลุบโผล่เหมือนผีสาง
นี่ยังมีเพียงสามคนลงมือเท่านั้น หวั่นอินกับสองพี่น้องเหยียนซาน เหยียนไห่ยังคงสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ!
“ทำลาย!”
พร้อมกับเสียงตะโกนอย่างสงบนิ่งเสียงหนึ่ง ก็เห็นว่าดาบหักส่งเสียงใสกังวาน ดังไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ส่วนสามคนที่กำลังล้อมโจมตีหลินสวินต่างถูกซัดจนถอยหลังซวนเซ
แต่ละคนสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ
เทพมารหลินคนนี้ เมื่อเทียบกับตอนพบกันที่สุสานจักรพรรดิคราวก่อน ไม่เพียงแค่พลังปราณบรรลุไปหนึ่งระดับ แม้แต่พลังต่อสู้ยังเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“เหยียนซาน เหยียนไห่ พวกเจ้าก็ไปด้วย”
เสียงเลื่อนลอยยากจับต้องราวเสียงสวรรค์นั้นของหวั่นอินดังขึ้น
เปรี้ยง!
ก็เห็นเหยียนซานชิงเคลื่อนตัวออกไปก่อน ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งกดลงไป
ฝ่ามือนั้นแปรเปลี่ยนเป็นแสงมรรคหลั่งไหลขนาดเท่าหินโม่ ดั่งหล่อขึ้นจากทองเทพ ประหนึ่งมือของทวยเทพกำราบโลกา
เปรี๊ยะๆ!
พลังฝ่ามือยังไม่ทันร่วงลงมา ห้วงอากาศบริเวณใกล้เคียงต่างส่งเสียงระเบิดเพราะไม่อาจแบกรับได้ ต่อให้เป็นบริเวณใกล้กับหลินสวิน ห้วงอากาศก็ยังบิดเบี้ยวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงคล้ายจะรับไม่ไหว
นี่ก็คือผู้หลอมกาย!
กายเนื้อดุจที่เก็บวิญญาณ พลังสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
เหยียนซานผู้นี้บรรลุอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดแล้ว มรรควิถีหลอมกายในตัวอัดแน่นหาใดเทียบ เดิมตัวเขาก็เป็นลูกหลานเผ่ามารพิฆาต กายเนื้อเปรียบได้กับโลหะพิสุทธิ์หยกเทพแต่กำเนิด ที่สืบทอดยังเป็นวิชาลับมรรคมารฟ้าประทานบรรพกาล ความแข็งแกร่งด้านพลังต่อสู้ของเขาจึงไม่อาจเทียบกับทั่วไปได้
“ไสหัวไป!”
ในที่นั้นดวงตาหลินสวินปะทุสายฟ้าเย็นเยียบ ปล่อยหมัดออกมาเช่นกัน
พลังหมัดดิบหยาบธรรมดาสายหนึ่งปรากฏขึ้นรางเลือนกลางอากาศ สำแดงแสงสีเขียวอ่อนๆ ห้วงอากาศใกล้กันนั้นพลันยุบตัวลงทันใด
หมัดนี้รวมพลังของมรรคดับดารากลืนกินไว้ โคจรพลังมหามรรคนานาชนิดในตัวหลินสวินรวมกัน ประหนึ่งเทพไท้แล้ว ยามยกมือวาดเท้าก็สามารถปลดปล่อยพลานุภาพที่สามารถทลายฟ้าดิน
ดูเหมือนธรรมดาสามัญ แต่ความจริงแล้วหมื่นลักษณ์ไร้รูป!
ปึง!
มือใหญ่เท่าหินโม่นั้นมาถึงครึ่งทางก็ระเบิดสะเทือน
ส่วนไกลออกไปเหยียนซานที่เพิ่งกระโจนเข้ามาในสนามรบสั่นโคลงไปทั้งร่างทันใด เพียงเห็นว่าหมัดเทียมเทพของหลินสวินนั้นได้กดทับลงมาบนร่างของเขาแล้ว
เปรี๊ยะๆ!
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงที่จับจ้อง เสื้อผ้าทั้งตัวของเหยียนซานระเบิดปลิวว่อนเหมือนประทัด ส่วนตัวเขาก็ถูกซัดให้กระเด็นถอยหลังไป
มาอย่างว่องไว แต่ถอยไวยิ่งกว่า!
หากไม่ใช่เหยียนไห่รีบเข้ามาทำให้เงาร่างของเขามั่นคงได้ทันเวลา เพียงแค่หมัดนี้คงทำให้เขากระเด็นออกไปอย่างรุนแรง
“แข็งแกร่งจริง!”
นัยน์ตาของเหยียนซานกับเหยียนไห่ล้วนหดเกร็ง ในใจสั่นสะท้าน
ควรรู้ว่าผู้หลอมกายอย่างพวกเขามีพลังแกร่งกล้าหาใดเทียบ ดุจดั่งคชสารมังกรดึกดำบรรพ์ ที่ไม่กลัวที่สุดก็คือการประมือซึ่งหน้า ในรุ่นเดียวกันสามารถกำราบผู้หลอมปราณอย่างสบายโดยสิ้นเชิง
แต่พลังของหลินสวินกลับแข็งแกร่งกว่าเหยียนซานมากเกินไป น่ากลัวจนเหนือความคาดหมาย
“เทพมารหลินกำลังประลองกับสามคนนั้นอยู่ แต่กลับซัดเหยียนซานผู้นั้นให้ถอยไปด้วยหมัดเดียว นี่… จะร้ายกาจไปแล้วกระมัง”
ไกลออกไปมีคนร้องขึ้นอย่างตื่นตระหนก
“ฆ่า!”
เหยียนซานกับเหยียนไห่สีหน้าถมึงทึง เข้าร่วมต่อสู้ด้วย
การจู่โจมของพวกเขาดุดันบ้าระห่ำ หนักแน่นมั่นคงและอหังการ ประหนึ่งมหาคีรีสองลูกกำลังเคลื่อนทับห้วงอากาศ หมายจะบดขยี้ศัตรูทั้งมวล
พลังเลือดลมไพศาลคับฟ้านั่น ทำให้ทั้งที่นั้นต่างประหวั่นพรั่นพรึง
หลินสวินประสบกับการล้อมโจมตีของคนร้ายการชั้นยอดห้าคนในคราวเดียว!
แต่ที่เหนือความคาดหมายของทุกคน ในเวลาเช่นนี้หลินสวินพลันหัวเราะเสียงดังขึ้นมา “พวกเจ้า ก็ได้เท่านี้ล่ะ!”
โครม!
เสียงเพิ่งเงียบลงกลิ่นอายของหลินสวินยิ่งน่ากลัวขึ้น ตัวเขาดุจดั่งหุบเหวลึกที่ปรากฏขึ้นกลางฟ้าดินหลุมหนึ่ง ห้วงอากาศรอบกายมีภาพดาราดวงแล้วดวงเล่าถูกทำลายอุบัติขึ้น
ทั่วสิบทิศทุกสิ่งล้วนถูกกลืนกินไปสิ้น กำลังทรุดตัวครวญคราง!
อย่างไรเรียกว่าความสง่างามของเทพมาร
หลินสวินก่อนหน้านี้เรียบง่ายไม่ซับซ้อน ทำให้คนไม่อาจรู้สึกได้ แต่ตอนนี้ยามเขาเผยคมประกายของตัวเองออกมา ทุกคนต่างมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง
เทพมาร ก็เป็นเช่นนี้!
“เฉือน!”
ดาบหักดุจรุ้งพาดผ่าน พุ่งโจมตีดุจวัวกระทิง พอเสียงปึงดังขึ้นก็เฉือนประทับมรรคสีเขียวนั่นให้สั่นระรัวปั่นป่วน รอยแตกปรากฏขึ้นบนพื้นผิว
ตูม!
ในขณะเดียวกันพลังหมัดของหลินสวินไร้ที่สิ้นสุด แปรเปลี่ยนเป็นมัจฉายอดเอกอุหยินหยาง ทำลายการโจมตีของทั้งเหยียนซานเหยียนไห่ไปสิ้น
ส่วนร่างของหลินสวินกลับกระโจนไปข้างหลังในชั่วพริบตา แผ่นหลังเหมือนมีมังกรใหญ่ออกมาจากหุบเหว กระแทกใส่ทันที
เหยาหลีที่ผลุบโผล่เหมือนผีสางมาถึงเบื้องหลังหลินสวินได้อย่างกะทันหัน แต่ยังไม่ทันได้ลงมือตัวเขาก็ถูกกระแทกกระเด็นออกไป
“อ๊าก!”
เขาร้องโหยหวน ชั่วพริบตานี้เขาถึงขั้นสงสัยว่าถูกคชสารมังกรดึกดำบรรพ์กระแทกเข้าให้ ร่างกายรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงแทบจะระเบิดออก
สวบ!
ทว่าในขณะเดียวกันกลับมีทวนวงเดือนของไป๋เฉียนฝ่ามา มองเห็นว่ากำลังจะฟันโดนหลินสวิน แต่ก็ถูกโล่เก่าแก่เปื้อนเลือดชิ้นหนึ่งรับเอาไว้กลางทาง
กึง!
เสียงดังกึกก้องสั่นสะเทือนจนหูแทบดับปะทุขึ้น โล่มีประกายไฟกระเซ็นกระสาย ถูกกระแทกกระเด็นออกไป
แต่อาศัยจังหวะนี้หลินสวินถลาตัวออกไป ปล่อยหมัดราวสายฟ้า ชั่วพริบตาก็ซัดพลังหมัดออกมานับร้อย ปกคลุมตัวไป๋เฉียนไว้
ปึงๆๆ!
ไป๋เฉียนรู้สึกเพียงสี่ด้านแปดทิศล้วนมีแต่พลังหมัดน่าหวาดหวั่นราวภูเขาถล่มทะเลหวีดร้อง เล่นงานเขาจนแขนชา ร่างกายสั่นไหว เลือดลมปั่นป่วน
ต่อให้ใช้พลังทั้งหมดต้านทานก็ถูกซัดจนได้รับบาดเจ็บ เลือดไหลออกปากจมูก
และตอนที่พวกอวี๋ซี เหยียนซาน เหยียนไห่เข้ามาช่วยนี้เอง ถึงทำให้เขาหลุดออกจากการโจมตีเช่นนี้
ทว่าเขาเลือดไหลไปทั้งตัวแล้ว ผิวหนังก็เกิดรอยแผลแตกระแหงเป็นริ้วๆ ดูยับเยินหาใดเทียบ
ในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจสั้นๆ อานุภาพของการล้อมโจมตีก็แทบถูกหลินสวินทำลายสิ้น คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อย ส่วนเขากลับเหี้ยมหาญไม่อาจสู้ได้!
ทุกคนที่อยู่ไกลออกไปเหม่อลอยโดยสิ้นเชิงอยู่เช่นนั้น พวกเขาสามารถจินตนาการได้ว่าหลินสวินแข็งแกร่งนัก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะแข็งแกร่งจนถึงขั้นน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ไปแล้ว!
“เจ้า… ระยำ!”
ไป๋เฉียนดวงตาเต็มไปด้วยเลือด ส่งเสียงคำราม เบื้องหลังเงาร่างของเขาดุจมีเสือขาวผุดขึ้นมา เท้าเหยียบลงบนฟ้าดารา ปรากฏการณ์ประหลาดสะเทือนโลก
ไอสังหารไร้สิ้นสุดแผ่กระจายออกจากร่างของเขาราวกระแสธาร ม้วนตลบมืดฟ้ามัวดิน
พวกอวี๋ซี เหยาหลี เหยียนซานและเหยียนไห่ก็ต่างหน้าคล้ำเขียว ขุ่นเคืองโดยสมบูรณ์
พวกเขาแต่ละคนต่างมีรากฐานพลังและพลังต่อสู้ที่หาไม่ได้ในหมื่นคน แม้ในอดีตไร้ชื่อเสียง แต่ไม่เคยเห็นคนธรรมดาในกระดานทองคำผู้กล้าอยู่ในสายตา
ทว่าตอนนี้พวกเขาร่วมมือกัน กลับกำราบแม้แต่เทพมารหลินคนเดียวไม่ได้ นี่ทำให้พวกเขารู้สึกใบหน้าหมองสี อัปยศหาใดเทียบ
“ฆ่า!”
พวกเขาไม่ลังเลแต่อย่างใด สำแดงอานุภาพทั้งหมดของตัวเอง
อวี๋ซีเรียกวงแหวนหนามนองเลือดวงหนึ่งออกมา
เหยาหลีมีนัยน์ตาซึ่งมีรูม่านตาซ้อนกันอันแปลกประหลาดดวงหนึ่งปริแยกออกมากลางหว่างคิ้ว ฉายแสงสีมรกตอันพิสดาร
ส่วนเหยียนซานกับเหยียนไห่ขยับตัวครั้งหนึ่งก็แปลงร่างให้สูงร้อยจั้ง ดุจดั่งเทพมารบรรพกาล เลือดลมทั้งกายถาโถมไพศาล
ในชั่วพริบตานั้น ผู้แข็งแกร่งที่สามารถใช้อานุภาพกำราบแดนดินแถบหนึ่งห้าคนก็ออกโจมตีอย่างไม่ออมมือแล้ว พลานุภาพอันรุ่งโรจน์ที่ปลดปล่อยออกมาเหมือนดั่งเมฆทมิฬมืดฟ้ามัวดินกำลังปลุกปั่น
ทั้งคล้ายจักรวาลธารดาราถูกทำลาย หลักการฟ้าดินปั่นป่วนยุ่งเหยิง สุริยันจันทราอับแสง ภายในบริเวณนั้นมีแต่ทิวทัศน์ภัยพิบัติโลกาวินาศทั้งสิ้น
ทวนวงเดือน วงแหวนหนามสีเลือด ดวงตาม่านตาซ้อน สายอสนี เลือดลม…
พลังทั้งห้าชนิดราวกับเคราะห์สังหารไร้เทียมทานห้าสาย เจืออานุภาพไม่อาจเทียบเทียมได้ และทั้งหมดเข้าปกคลุมหลินสวินเพียงผู้เดียว
ขณะนี้หลายคนที่อยู่ไกลออกไปต่างจิตใจหวั่นไหว หลับตาลงอย่างอดไม่ได้
ระดับห่างกันมากนัก ฝืนดูการต่อสู้ก็รู้สึกหวาดผวา
ส่วนหลินสวินที่อยู่ภายในนั้นเวลานี้ดวงตาดำเหมือนคบเพลิงคู่หนึ่งกำลังลุกโชน นั่นคือจิตต่อสู้ที่เดือดพล่านกำลังฉายแสงกล้า
ต่อสู้มาถึงตอนนี้ถึงทำให้เขาถูกกระตุ้นจิตต่อสู้ทั้งหมด ก่อนหน้านี้ไม่ได้น่าสนใจเลย!
ครืน!
พลังราวภูเขาถล่มทะเลหวีดร้องโลดแล่นในร่างของเขา อวัยวะตันห้ากลวงหกส่งเสียงโครมครามเหมือนฟ้าร้อง ชั่วพริบตานั้นตัวเขาปลดปล่อยอานุภาพดั่งเทพเผาสวรรค์ ราวกับเตาทองแดงกลียุคเตาหนึ่ง
“เปิด!”
ประกายเย็นเยียบเพิ่มขึ้นฉับพลันในตาหลินสวิน ดาบหักส่งเสียงดังชิ้งทะยานตัดห้วงอากาศ
กระบวนเฉือนนี้มีนามว่าเกิดดับ
เปิดเส้นทางแห่งการเกิดตายท่ามกลางการถือกำเนิดและดับสูญ เป็นครั้งแรกที่สำแดงขึ้นโดยใช้พลังมหามรรคทั้งมวล หลังจากหลินสวินหลอมมรรค
ฟ้าดินเหมือนรับไม่ไหว ห้วงอากาศฉีกขาดพันลี้เหมือนผืนแพร มีเพียงดาบหักเปล่งประกายบดบังแสงเงาทั้งหมด กลายเป็นประกายคมเพียงหนึ่งเดียว
ตูมโครม!
ชั่วพริบตานี้ทุกคนในที่นั้นเพียงรู้สึกว่าเบื้องหน้าเป็นสีขาวโพลนไปหมด การรับรู้ภาพและเสียงมลายไปสิ้น จิตวิญญาณตกอยู่ในความหวาดผวา
ทำได้เพียงอาศัยสัญชาตญาณรับรู้ สังเกตเห็นความไหวคลอนของฟ้าดิน สรรพสิ่งระเบิดกระจุย รวมถึงพลังม้วนตลบกวาดราบยุ่งเหยิง
ผ่านไปครู่ใหญ่ยามทุกคนได้สติกลับมาต่างมีท่าทางเหม่อลอยเหมือนตื่นตระหนกเกินไป ในการโจมตีนี้ตกลงใครชนะกันแน่
จากนั้นพวกเขาก็เห็นว่าเงาร่างสูงตระหง่านของหลินสวินยืนเด่นอยู่เหนือเวิ้งฟ้า
ในขณะเดียวกันพวกอวี๋ซี ไป๋เฉียน เหยาหลีกลับสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ไม่ว่างเว้น ท่าท่างยับเยินไม่มากก็น้อย
การโจมตีนี้กลับไม่ได้ชี้ชัดถึงผลแพ้ชนะ!
หลินสวินไม่ได้ถูกกำราบ!
“หลินสวิน พลังต่อสู้ของเจ้าเรียกได้ว่าเลิศล้ำจริงๆ ในรุ่นเดียวกันแทบไม่มีใครสู้ได้ แต่ว่าการจู่โจมทำนองนี้เจ้าจะรับไว้ได้อีกกี่ครั้งกัน”
ทันใดนั้นหวั่นอินที่อยู่ไกลออกไปก็เอ่ยปาก เสียงพร่าเลือนยากสัมผัสได้
“พี่หลิน หยุดลงมือเถอะ แม่นางหวั่นอินไว้หน้ามาตลอด ไม่เคยลงมือกับเจ้า หากเจ้ายังดื้อดึงหลงผิด จะไม่มีที่ให้ถอยกลับอีกแล้วนะ”
อวี๋ซีเอ่ยปาก
พวกอวี๋ซี ไป๋เฉียน เหยาหลี เหยียนซานและเหยียนไห่สีหน้าเหี้ยมเกรียมเย็นชา
ทุกคนต่างตกตะลึง หวั่นอินผู้นั้นเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย หากนางเข้าร่วมในการต่อสู้ด้วย เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องคาดเดาได้ยากแน่
“เพื่อหนอนกินเทพตัวหนึ่ง ควรค่าขนาดไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือ”
หวั่นอินถอนใจเบาๆ
“น่าขัน! เพื่อหนอนกินเทพแล้วพวกเจ้าก็ไม่เสียใจที่จะเป็นศัตรูกับข้าหลินสวินไม่ใช่หรือ ทำไมถึงไม่กลัวว่าจะทิ้งชีวิตไปเล่า”
หลินสวินแค่นหัวเราะ ประกายคมในดวงตาปรากฏอยู่รางๆ กลิ่นอายโอหังไร้รูปกำลังพุ่งสูงขึ้น “ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เพิ่มเจ้าเข้ามาด้วยแล้วจะเป็นอย่างไร”
“โง่งมไม่รู้เรื่องราว”
ไป๋เฉียนแค่นหัวเราะหยัน
“เหอะๆ”
ใบหน้าหลินสวินเจือแววเสียดสี ทั้งร่างเขาพลันอบอวลไปด้วยกลิ่นอายน่ากริ่งเกรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ส่งผลให้พลานุภาพของเขาก็ยิ่งน่าครั่นคร้าม
หือ?
พวกหวั่นอินพลันหน้าเปลี่ยนสี เจ้าหมอนี่ กลิ่นอายถึงกับเปลี่ยนไปอีกแล้ว!
นี่เป็นไปได้อย่างไร
หรือก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดที่มี
หากเป็นเช่นนี้จริงก็น่าหวาดผวาเกินไปแล้ว!
ชั่วขณะนั้นแม้แต่หวั่นอินยังสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมตึงเครียด
“ข้าเคยพูดแล้วว่า คราวนี้จะทำให้พวกเจ้าเข้าใจว่าอย่างไรเรียกว่ารนหาที่ตาย!”
ท่ามกลางเสียงอันเฉยชาราบเรียบ หลินสวินเก็บความรู้สึกบนใบหน้า เฉยชานิ่งเรียบ ดวงตาไร้ซึ่งระลอกคลื่นใดๆ อีกแม้แต่น้อย
ที่มี ก็เพียงความเย็นเยียบถึงที่สุด
พูดจบเขาก็เหยียบย่างไปในห้วงอากาศ และพลันหายไปจากที่เดิม
ขณะนี้ในที่สุดหลินสวินก็ไม่ออมมือ ลงมือเต็มกำลังแล้ว
——