Mars เจ้าสงครามครองโลก บทที่ 810 พลังของสามัญชน
แดนลอยเมฆ
นี่คือเขตแดนเหนือโลกีย์
จ้านอู๋ซวงกับเหลิงเจว๋ซื่อและคนคนอื่นๆ แต่ละคนตาลุกเป็นไฟ
พวกเขารู้นานแล้ว เจ้าเทพอยู่เหนือกว่าแดนเทพบู๊ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจอะไร
ไม่สิ
น่าจะต้องพูดว่า ไม่ว่าเย่เซิ่งเทียนจะแสดงความสามารถอะไรออกมา พวกเขาไม่รู้สึกแปลกใจอะไร รู้สึกแค่ว่านี่เป็นเรื่องที่มีเหตุมีผลอยู่แล้ว
เพราะ นี่คือเจ้าเทพของพวกเขา
นำพาพวกเขาไปตลอดทาง ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน!
พวกเขาเชื่อมั่น ในตัวเองและคนอื่นๆ ไร้ซึ่งศัตรู!
ถึงอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขา ก็ไม่มีประโยชน์ พวกเขายังคงไร้ซึ่งศัตรูอยู่ดี
นี่ไม่ใช่การหลับหูหลับตาเชื่อมั่น แต่เป็นความเชื่อที่อยู่ยงคงกระพันที่สะสมมาจากการต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า!
ทหารของต้าเซี่ย ไม่เคยกลัวใครหน้าไหน!
สำหรับความตายแล้ว ยังไงเสียความตายก็คือความตาย ตราบใดที่ตายยังมีคุณค่า
ไม่มีใครกลัวตาย ถึงแม้จะกลัวตาย ก็ต้องลุยไปข้างหน้า ด้านหลังยังมีประเทศชาติและเพื่อนพ้องคนที่ตัวเองรัก
แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบเจอคนกล้าแดนลอยเมฆ
ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากอีกฝ่าย ลมหายใจก็ยังคงเพิ่มขึ้น
นัยน์ตานั้น ยังคงเดือดพล่านอยู่
ผู้ไร้ศัตรู ก็ควรที่จะชักดาบให้คนที่แกร่งกว่า!
ดังนั้นวินาทีนี้ พวกเขากำลังโหยหา ถ้าตัวเองไปถึงแดนลอยเมฆก็คงจะดีสินะ เจ้าเทพจะได้ไม่ต้องสู้เพียงลำพัง
พี่น้องที่อยู่รอบข้าง จะได้ตายน้อยลง
ครอบครัวและเพื่อนฝูงที่อยู่ข้างหลัง คงจะปลอดภัยมากขึ้น
โลกที่แจริญรุ่งเรืองนี้ จะมั่นคงมากยิ่งขึ้น
“ฆ่ามัน!”
เหลิงเจว๋ซื่อคำรามเสียงดัง ลงมือต่อไป
คนของตระกูลฉินไม่เพียงแต่ไม่ยอมจำนน ยังกล้าต่อต้านอีกด้วย งั้นก็ฆ่ามันซะ
เขาเป็นคนมืดมน กระบวนท่าของเขาก็เช่นกัน ไร้เสียงไร้สัญญาณใดๆ ราวกับงูพิษร้าย งับอย่างเงียบๆ แบบไม่ทันได้ตั้งตัว
จ้านอู๋ซวงที่อยู่อีกด้านหนึ่ง มีอำนาจเหนือกว่าและไม่มีใครเทียบได้ เขาลุยไปข้างหน้า จู่โจมอย่างเดียวไม่เฝ้ารอ ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายตัวเองได้หรือไม่ สู้สุดใจขาด
เขาเป็นคนที่โหดเหี้ยมที่สุดในบรรดาสามเทพสงครามแห่งหอเทพมังกร ตอนนี้รังสีอำมหิตแผ่ซ่าน รอบตัวราวกับมีหมอกสีเลือดปรากฏขึ้น
ในเมื่อคนของตระกูลฉินไม่ยอมจำนน
งั้นก็ไม่มีอะไรให้คุยกันอีก
เนื้อร้ายของต้าเซี่ย จะต้องกำจัดทิ้ง
ในเวลานี้เอง การสู้กันระหว่างเย่เซิ่งเทียนกับฉินมิ่งได้มาถึงจุดเดือดแล้ว
ในเมื่อแดนของเย่เซิ่งเทียนต่ำกว่าฉินมิ่ง ได้รับผลกระทบต่อแดนเทพ และมีอิทธิพลบางอย่าง ถึงแม้จะไม่มาก แต่ระหว่างความเป็นความตาย ก็เพียงพอที่จะเอาชีวิตได้แล้ว
เย่เซิ่งเทียนไม่กล้าได้ใจ
เขาถูกฝ่ามือของฉินมิ่งตบกลางอากาศ เขาเช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก แต่กลับยิ่งบ้าคลั่งขึ้น
“แดนลอยเมฆ ไม่ธรรมดาจริงๆ”
ฉินมิ่งเองก็รู้สึกแย่เช่นกัน เขาหัวเราะอย่างเย้ยหยัน และมีเมฆสีเทาควบแน่นอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
นี่คือคุณลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของแดนลอยเมฆ
คนเหนือโลกีย์ถึงแม้จะเดินบนอากาศได้ แต่ก็อยู่ได้ไม่นานนัก
แต่เมื่อถึงแดนลอยเมฆก็จะแตกต่างกัน สามารถลอยเหาะเหินได้ สามารถลอยตัวเหนือเมฆได้เป็นเวลานาน
ฉินมิ่งมองลงมาจากท้องฟ้าและพูดอย่างห่างเหิน“เย่เซิ่งเทียน แกอ่อนเกินไปแล้ว คิดว่าร่างกายแข็งแกร่ง เลยคิดว่ามีสิทธิ์ต่อกรกับฉันอย่างงั้นหรอ!แดนลอยเมฆ ไม่ใช่สิ่งที่แกจะจินตนาการได้หรอกนะ”
เย่เซิ่งเทียนเช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก แล้วเผยให้เห็นรอยยิ้มสดใส“แดนลอยเมฆแข็งแกร่งจริงๆนั่นแหละ แต่แกก็เป็นแค่เศษสวะ ตอนนั้นถูกเย่หลงกดหัวไว้ ตอนนี้ยังถูกคนแซ่เย่กดหัวไว้อีก ฉันเกลียดคนแบบพวกแกที่คิดว่าตัวเองสูงส่ง!คิดจริงๆหรอว่าความสามารถแค่นี้จะทำอะไรก็ได้?ถามสิว่าพวกเรายอมรับกันรึเปล่า!”
ฉินมิ่งเหมือนจะจัดการเย่เซิ่งเทียนได้แน่ๆ จึงไม่ได้จู่โจมต่อไป
พูดอย่างไม่ยอมแพ้ไปว่า“การยืนหยัดที่น่าขันของพวกแก ไม่มีค่าต่อหน้าพลังความสามารถที่อยู่ตรงหน้าหรอกนะ แค่ต้าเซี่ยเล็กๆ ล่มสลายได้ก็ล่มไปซะเถอะ ไม่มีผลกระทบต่อเราหรอก ชาติบ้านเมืองอะไรกัน สำหรับผู้กล้าระดับเราแล้ว ไม่มีความหมายอะไรใดๆทั้งสิ้น เย่เซิ่งเทียน แกมันน่าสงสารจริงๆ!”
เย่เซิ่งเทียนยังคงยิ้มอยู่“ใช่หรอ?คนต่ำต้อยอย่างฉัน จะให้คนอย่างพวกแกที่อยู่สูงส่งข้างบนถึง พลังของคนต่ำต้อยอย่างพวกฉัน!”
จู่ๆก็คำรามด้วยเสียงเย็นชา“เอาดาบมา!”