คนหนึ่งคน ต้องประสบความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดมากแค่ไหน ถึงจะชินกับความเจ็บปวด?
ถ้าเป็นคนอายุ 60-70 ปี คนแก่ที่มีประสบมาทั้งชีวิตพูดคำนี้ออกมา ก็ไม่มีใครรู้สึกว่ามันผิดปกติ
แต่ดันเป็น เย่เซิ่งเทียนที่เป็นวัยรุ่นคนหนึ่งอายุ 25 ปีเท่านั้น เขากลับพูดว่าตัวเองชินกับความเจ็บปวดแล้ว
แต่แค่คิดก็รู้ ในวัย 25 ปีอันแสนสั้นของเขา ความเจ็บปวดที่ประสบพบเจอ บางทีทั้งชีวิตของคนอื่นก็ยากที่จะจินตนาการ
ริมฝีบางปากของเย่จิงหงกระตุก สุดท้ายก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
เจียงลั่วเสินพูดอย่างแกล้งทำเป็นผ่อนคลาย “ทำตัวน่ารำคาญกันอยู่ทำไม? ดูสภาพของเสี่ยวเทียนสิ แล้วก็ดูสภาพของพวกคุณ แก่มาเปล่าๆเสียจริงๆ หรือว่าจะต้องทุกข์ทรมานอย่างยิ่งถึงจะดี? หรือว่าคุณจะร้องไห้โศกเศร้าแล้วสรวงสวรรค์จะปล่อยคุณไป? น่าขำจริงๆ เดินมาถึงวันนี้ พวกเราตายกันมาแล้วกี่คน? ครอบครัวของคนเหล่านั้นไม่เจ็บปวดหรือไง? เสแสร้งแกล้งทำอะไรกัน โดยเฉพาะคุณหยางทาว คุณเป็นถึงเจ้าเมือง คุณมีใบหน้าที่อมทุกข์อย่างนี้ คุณจะให้คนอื่นคิดยังไง? ฉันว่าคุณยังต้องโดนอบรมสั่งสอนสักที อายุ 50 กว่าปีแล้ว แม้แต่เรื่องนี้ก็มองไม่ทะลุปรุโปร่งหรือ?”
ผู้คนถูกอดีตจอมพลด่าจนทำหน้าไม่ถูก
เวลาอดีตจอมพลด่าใครก็ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น ถ้าพูดถึงวัยวุฒิ ใครมีวัยวุฒิมากกว่าเขาอีกล่ะ?
แม้แต่หยางทาว เมื่อก่อนก็เคยถูกเขาอัดมาไม่น้อย
อย่างที่รู้ พ่อของอดีตจอมพลก็คือเย่หลงเทพสงครามคนแรกแห่งประเทศต้าเซี่ย และอดีตจอมพลคือเทพสงครามคนที่สองแห่งประเทศต้าเซี่ย
ขณะที่อดีตจอมพลยังไม่เกษียณ หยางทาวไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน
และอีกอย่าง ด้วยความแข็งแกร่งของอดีตจอมพล ก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าใคร
หยางทาวกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ยังไงก็สู้หมอนี่ไม่ได้อยู่แล้ว ก็พูดพลางหัวเราะฮ่าๆ “อดีตจอมพลพูดถูก ฉันโลกทรรศเล็กเกินไปยังมองไม่ครอบคลุม อย่างที่อดีตจอมพลกล่าว ไม่ว่ายังไง สรวงสวรรค์ก็จะไม่ยอมวางมือยุติเรื่องราว พวกเราม้วนแขนเสื้อขึ้นร่วมมือกับพวกเขาเถอะ เสี่ยวเย่ ในเมื่อคุณตัดสินใจแล้ว งั้นก็ไปทำอย่างกล้าหาญ ทางด้านหลังมอบให้เป็นหน้าที่พวกเรา จะไม่เป็นตัวถ่วงให้คุณ”
จ้าวกั๋วจู้มองเย่เซิ่งเทียนตาปริบๆ ยักคิ้วหลิ่วตาไม่หยุด หวังว่าเย่เซิ่งเทียนจะพาเขาไปด้วย
ตอนนี้เขานั่งสั่งการอยู่ในดินแดนประเทศต้าเซี่ย ไม่มีเรื่องอะไร รู้สึกเบื่อจะแย่แล้ว
ในฐานะที่เป็นเทพสงคราม เป็นนักบู๊ ก็ต้องฝึกฝนตัวเอง และแข็งแกร่งขึ้นในการต่อสู้
ทุกวันนี้ภายในประเทศสงบสุข และก็ไม่มีใครกล้ามาวุ่นวาย
จ้าวกั๋วจู้ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่มีความรู้แต่ได้ทำงานในตำแหน่งต่ำๆ มองหาโอกาสที่จะก้าวไปข้างหน้ามาตลอด
กัวปิงเตะจ้าวกั๋วจู้และพูดว่า “มีอะไรก็พูด ใครจะไปรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ในใจ? คุณคิดว่านั่งสั่งการอยู่ในประเทศมันสบายนักหรือ?”
จ้าวกั๋วจู้จ้องมอง และไม่สนใจ ส่วนมากก็เป็นเพราะเขาสู้ไม่ได้
เมื่อก่อนเขาไม่กล้าขู่กัวปิง ตอนนั้นทุกคนที่ว่ากัวปิงคือนักบู๊ธรรมดาๆคนหนึ่ง
ต่อมาจ้าวกั๋วจู้เพิ่งจะรู้ แม่งเอ๊ย ไอ้เลวคนนี้มันเสแสร้ง เมื่อลงมือก็คือผู้แข็งแกร่งแดนเหนือโลกีย์
ที่แท้ยังเห็นพวกเขาเป็นคนโง่
โดยเฉพาะช่วงก่อนหน้านี้ กัวปิงเอะอะก็อัดเขาด้วยข้ออ้างในการสอนบำเพ็ญตนให้กับเขา
อะไรทำให้ขายหน้า ไร้สาระ กัวปิงไอ้เวรนี่เป็นคนคิดเล็กคิดน้อย ถือโอกาสล้างแค้นเป็นการส่วนตัว
เขายังทำอะไรไม่ได้ ก่อนหน้านี้ใครใช้ให้เขาเอะอะก็ขู่กัวปิงอยู่นั่น กรรมตามสนองจริงๆ
หยางทาวกลับพูดปลอบโยนว่า “กั๋วจู้ เวลาที่คุณลงมือ คุณก็ไม่ต้องไปสร้างปัญหาให้เสี่ยวเย่แล้ว”
อะไรนะ?
ฉันสร้างปัญหาเหรอ?
“ในสายตาพวกคุณ ฉันจ้าวกั๋วจู้ เป็นเทพสงครามกั๋วจู้ผู้สง่า ตอนนี้กลายเป็นคนสร้างปัญหาซะแล้วเหรอ?”
จ้าวกั๋วจู้รู้สึกกลัดกลุ้มอย่างยิ่ง ได้ยินก็รู้สึกเสียใจมาก เหมือนลูกสะใภ้ที่เพิ่งแต่งงานใหม่ได้รับความไม่เป็นธรรม จ้องมองผู้คนด้วยสายตาขุ่นเคือง
เย่เซิ่งเทียนยิ้มกล่าว “เหล่าจ้าว ปกป้องประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อไปคุณจะกดดันมาก ครั้งนี้ฉันไปเสี่ยงชีวิต มีเพิ่มมาอีกคนก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงอีก พอแล้ว ไม่พูดไร้สาระแล้ว ไปกันเถอะ ฉันอยู่กับครอบครัว ก็ต้องออกเดินทางแล้ว”
ผู้คนรู้สึกเป็นกังวลแล้ว
ที่จริงก็เข้าใจกันทั้งหมด จ้าวกั๋วจู้กำลังพยายามทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงบ้าง
เมื่อเย่เซิ่งเทียนไป เสี่ยงตาย และอาจจะตายเลยก็ได้
การจากลาครั้งนี้ บางทีอาจจะเป็นการจากลาตลอดไป
หยางทาวสูดหายใจเข้าลึกๆ กล่าว “ยุคของพวกเรา มีเราคอยควบคุมเอง ทุกคนที่อยากมากดขี่ข่มเหงเรา ก็จะต้องถูกกวาดไปในกองขยะแห่งประวัติศาสตร์ สุภาพบุรุษ สู้ไปด้วยกัน!”