อันที่จริงหากนับรวมพวกเจ้าคางคก อาหลู่ด้วย ยามนี้ในที่นี้มีผู้แข็งแกร่งที่มีคุณสมบัติท้าดวลหลินสวินไม่ใช่แค่สามคนในตอนนี้
แต่ทุกคนต่างรู้ดี ในเวลานี้พวกเจ้าคางคกไม่มีทางเข้าร่วมประลองเป็นอันขาด ดังนั้นทุกคนต่างพากันเพิกเฉยต่อพวกเขาตั้งนานแล้ว
“ทั้งสองท่าน ใครจะมาก่อน”
เสียงหลินสวินเริ่มแหบพร่าเล็กน้อย เสื้อผ้าของเขาเปื้อนคราบเลือดเป็นริ้ว ใบหน้าขาวซีด เห็นชัดว่าเป็นธนูแกร่งหมดแรงบินไปเรียบร้อยแล้ว แต่น้ำเสียงและสีหน้ายังคงเยือกเย็นอยู่มาก
ผู้แข็งแกร่งสองคนนั้น คนหนึ่งเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณเผ่ากางเขนวิญญาณ อีกคนเป็นนายน้อยของเผ่าเถาวัลย์ทองเพลิง ล้วนเป็นบุคคลเหี้ยมโหดในระดับนายเหนือหัวแห่งยุคกันทั้งนั้น
เพียงแต่เวลานี้ ทั้งคู่ต่างพากันละล้าละลังอย่างมาก
“ข้าก่อนแล้วกัน!”
พักหนึ่งผู้แข็งแกร่งเผ่ากางเขนวิญญาณก็สูดหายใจลึก เงาร่างพริบไหวเข้าสู่สนามประลอง
เขาคือชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเป็นที่สุดคนหนึ่ง นัยน์ตาแหลมคมประหนึ่งนกอินทรี ด้านหลังมีปีกเจ็ดสีสดสวยพร่างพราวงอกอยู่คู่หนึ่ง
กางเขนวิญญาณ ได้รับขนานนามว่าเป็นไก่ฟ้าทมิฬ เป็นเผ่าใหญ่สามอันดับแรกในบรรดานกปีศาจบรรพกาล ชายหนุ่มคนนี้นามว่าเวิงเจิง พลังต่อสู้ย่อมแกร่งกล้าอย่างไม่ต้องสงสัย
“เชิญ!”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เรียกดาบหักออกมา
“พี่หลิน ล่วงเกินแล้ว”
นัยน์ตาเวิงเจิงทอแววเย็นเยียบสายหนึ่ง ก่อนโถมทะยานขึ้นไป เงาร่างส่องรัศมีวาบ ปีกเจ็ดสีด้านหลังกระหน่ำยิงรุ้งวิเศษเจิดจ้าออกมาสายแล้วสายเล่า
ประหนึ่งทวนศึกร้อยพันเล่ม ส่งเสียงเคร้งคร้างแผ่ครอบลงไป
วู้ม!
ดาบหักส่งเสียงใส ประกายดาราขาวเจิดจ้าดุจดั่งมายาพวยพุ่ง กลิ่นอายดุกร้าวแผ่ครอบฟ้าคลุมดิน
ชั่วขณะนั้นทั้งคู่ต่างโหมสังหารพร้อมกันอย่างดุเดือด
เวลาหนึ่งถ้วยชาให้หลัง
ฉัวะ!
บนปีกข้างหนึ่งของเวิงเจิงถูกกรีดเฉือนจนเกิดรอยแผลชุ่มเลือดสายหนึ่ง เงาร่างซวนเซ ส่งเสียงร้องอู้อี้อย่างเจ็บปวด
“ขอบคุณพี่หลินมากที่ยั้งมือ ข้าน้อยยอมจำนน”
เวิงเจิงสีหน้าขมขื่น น้ำเสียงกลับเจือความเลื่อมใสจากจริงใจ
เขารู้ดี หากหลินสวินใช้แรงเต็มกำลังในการโจมตีครั้งนี้ ก็เพียงพอจะสังหารตนให้ตายคาที่ได้!
“ออมมือแล้ว”
หลินสวินเก็บดาบหัก เพียงแต่เพิ่งสิ้นเสียงเขาก็กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง หว่างคิ้วฉายแววอิดโรยที่ยากจะปกปิด
อาการบาดเจ็บของเขาก็ใช่ว่าจะร้ายแรง แต่ประเด็นสำคัญคือต่อสู้มาจนป่านนี้ทำให้พลังกายของเขาหดหายไปมหาศาล เป็นตะเกียงที่ไร้น้ำมันตั้งนานแล้ว
แต่หลินสวินไม่คิดจะยอมรับความพ่ายแพ้!
ครั้งนี้ เขาหมายจะต่อสู้อย่างสะใจ กรำศึกให้ถึงที่สุด เพื่ออริยะนำพาเท่านั้น
เนื่องจากเขาเคยรับปากจ้าวจิ่งเซวียนว่าจะนำของสิ่งนี้ไปมอบให้
ไกลออกไปจ้าวจิ่งเซวียนตั้งท่าจะพูดแล้วหยุดไป ท้ายที่สุดก็ยังกลั้นไว้อยู่
นางรู้ สู้มาจนถึงตอนนี้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่หลินสวินจะเลือกยอมแพ้
หากไปห้ามปราม กลับจะทำให้เขาผิดหวังเอาได้
ก็เพราะเข้าใจ แม้ว่าภายในจะร้อนรุ่มหาใดเปรียบและหวั่นวิตกอย่างที่สุดก็ตาม แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้ส่งเสียงออกไป
“เหลือแค่สองคนแล้ว ไม่นานก็จะสิ้นสุดเสียที…”
เจ้าคางคกบ่นงึมงำในปาก เขา อาหลู่และนกทมิฬต่างตึงเครียดหาใดเปรียบ และไหวหวั่นอย่างที่สุดด้วย
เพราะความแข็งแกร่งของเจตจำนงต่อสู้ที่หลินสวินแสดงออกมา อยู่เหนือจินตนาการของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
ไหนเลยจะแค่พวกเขา ยามนี้ผู้แข็งแกร่งในที่นี้ไม่มีใครไม่หวั่นไหวกับเจตจำนงต่อสู้ของหลินสวิน ภายในใจมีความสะเทือนไร้รูปลุกลามแผ่ขยาย
ตัวคนเดียวถูกเหล่านายเหนือหัวแห่งยุคท้าดวลต่อสู้ติดต่อกัน สู้มาจนถึงตอนนี้โดยไม่ยอมร้องจำนน ท่าทางผงาดผยองและแน่วแน่เช่นนั้น ใครจะไม่สะทกสะท้านได้กันเล่า
“ข้ายอมแพ้”
เหนือความคาดหมายของทุกคน ผู้แข็งแกร่งเผ่าเถาวัลย์ทองเพลิงเลือกจะยอมแพ้หลังจากใคร่ครวญ “ข้าหวังเพียงพี่หลินจะสามารถยืนหยัดจนถึงที่สุด!”
หลินสวินประสานมือคารวะ ไม่ได้พูดอะไรมาก
ในที่นั้นเงียบกริบไร้สุ้มเสียง ในใจรู้สึกทอดถอนใจขึ้นมาโดยธรรมชาติ
ต่อสู้จนถึงยามนี้ แม้แต่คู่ต่อสู้ยังเลือกยอมแพ้เพราะนับถือ นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติกาล
ควรรู้ว่าการยอมแพ้เช่นนี้ไม่ได้หมายถึงแค่การต่อสู้ แต่ยังมีความหมายว่าจะพลาดโอกาสยื้อแย่งอริยะนำพาไปด้วย!
“พี่เซ่าเฮ่า เชิญ!”
สายตาหลินสวินมองไปทางองค์ชายเซ่าเฮ่า
ชั่วขณะนั้นสายตาทุกคู่ในที่นั้นต่างก็เคลื่อนไปยังเซ่าเฮ่าด้วยเช่นกัน
หากเอ่ยถึงบรรดาบุคคลแห่งยุคที่พราวตาที่สุดในแดนเก้าบน มีอวิ๋นชิ่งไป๋ มีหลินสวิน เช่นนั้นก็ต้องมีพื้นที่สำหรับองค์ชายเซ่าเฮ่าด้วยเช่นกัน
ความแข็งแกร่งของเขาเป็นที่ประจักษ์ต่อทุกคนมานานแล้ว จากผลงานน่าภาคภูมิอย่างการครองอันดับหนึ่งบนกระดานทองคำผู้กล้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของเขา ก็เป็นหลักฐานชั้นดีแล้ว
และยามนี้ในที่นี้ก็เหลือเขาเพียงคนเดียว ซ้ำยังอยู่ในสถานะเหนือสุดอย่างแท้จริง ขอเพียงออกสนาม ชัยชนะแทบไม่ต้องพะวงเลยสักนิด
อย่างไรเสียไม่ว่าใครก็ดูออก ว่าสภาพของหลินสวินในตอนนี้ย่ำแย่มากจริงๆ
ที่สำคัญคือจนป่านนี้อริยะนำพายังไม่เคยปรากฏ นี่ก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนี้สิ้นสุดลง เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอริยะนำพาอาจจะถูกองค์ชายเซ่าเฮาคว้าไป!
ในที่นั้นเงียบกริบ บรรยากาศบีบคั้น
เซาเฮ่านิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เอ่ยถามว่า “พี่หลิน บังอาจถามสักข้อ เจ้ามุ่งหน้ามาแดนยอดมรดกครั้งนี้ ย่อมต้องเคยร่วมการทดสอบกระดานทองคำผู้กล้าอย่างแน่นอน ไม่ทราบว่าชื่อเจ้าอยู่อันดับที่เท่าไหร่”
ประโยคเดียวพาให้ผู้แข็งแกร่งทั่วลานต่างหัวใจสะท้าน สงสัยใคร่รู้ไม่สิ้น
นั่นสิ เทพมารหลินในตอนนี้ติดอันดับที่เท่าไหร่บนกระดานทองคำผู้กล้ากันแน่
หลินสวินยิ้ม “ไว้ข้าค่อยบอกเจ้าอีกทีหลังการต่อสู้”
ต่อให้จะเป็นธนูแกร่งหมดแรงบินแล้ว เขาก็ยังผ่าเผยไม่ถดถอย ไม่เกรงกลัวสิ่งใด ท่าทางพูดจาหน้ายิ้มนั้นพาให้ทุกคนต่างหันมอง
เซ่าเฮ่ากล่าวงึมงำ “หากดวลกับเจ้าในตอนนี้คงเอาเปรียบเจ้าเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย หากแพร่ออกไปก็จะถูกคนทั่วหล้าหาว่าข้าเซ่าเฮ่านอนกินผลประโยชน์ แต่หากข้ายอมแพ้เสียตอนนี้ ก็เห็นชัดว่าปลิ้นปล้อนและไร้เหตุผล”
กลุ่มคนต่างสบตากันไปมา สถานการณ์ในปัจจุบัน หากวิเคราะห์จากมุมของเซาเฮ่าก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
“พวกเราแข่งขันชิงชัย ไหนเลยต้องถือสามากความเช่นนี้ พี่เซ่าเฮ่า หากไม่สู้วันนี้ วันหน้าก็ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสทำนองนี้มาอีกนะ”.ไอรีนโนเวล.
หลินสวินกล่าวยิ้มๆ
เซ่าเฮ่าอึ้งไป จากนั้นก็กล่าวหัวเราะเยาะตนเอง “ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ”
จากนั้นเขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่น กล่าวว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าผนึกปราณตัวเองแปดส่วนต่อสู้กับพี่หลิน!”
พูดจบเงาร่างเขาพริบไหวพุ่งปราดสู่สนามประลอง เห็นได้ชัดเจนว่ากลิ่นอายรอบตัวเขาพลันจางลงไปช่วงใหญ่
เหล่าผู้กล้าในที่นั้นเห็นดังนี้ต่างอดไหวหวั่นไม่ได้ สายตาที่มองเซ่าเฮ่าล้วนเจือแววเลื่อมใส
กระทำการโปร่งใส ฉ่ำวาวดุจหยก ครอบครองพลังแห่งยุค แต่กลับไม่ใช้สิ่งนี้วางอำนาจ ท่าทีระดับนี้พาให้ผู้คนสรรเสริญจริงๆ
แม้แต่พวกเจ้าคางคกยังไม่อาจไม่ยอมรับ องค์ชายเซ่าเฮ่าเป็นบุคคลร้ายกาจที่น่าทึ่งมากคนหนึ่ง คิดอยากให้คนต่อต้านและเคียดแค้นล้วนเป็นไปได้ยาก
เพียงแต่ขณะที่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายนี้กำลังจะเริ่มขึ้น จู่ๆ เหนือเวิ้งฟ้าก็ปรากฏละอองแสงแพรวพราวงดงามขึ้นแถบหนึ่ง
ภายใต้สายตาตกตะลึงของทุกคน ละอองแสงแถบนั้นกลายเป็นเงาร่างกำยำ พร่าตาร่างหนึ่ง ประหนึ่งวิญญาณเทพก็ไม่ปาน
เขาสวมชุดผ้าป่าน เงาร่างสูงยาว ด้านหลังพิทักษ์ด้วยแสงระเรื่อนับร้อยล้าน ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นประหนึ่งนายเหนือหัวแห่งกาลนิรันดร์ มีท่วงท่าผงาดกร้าวเหยียดหยันปวงสวรรค์!
ชั่วขณะนั้นทั่วลานสั่นสะเทือน ล้วนบังเกิดความรู้สึกเล็กจ้อยเหมือนมดตัวน้อย
ในสนามประลองหลินสวินและเซ่าเฮ่าต่างพากันหยุดการเคลื่อนไหว แหงนมองเวิ้งฟ้า สีหน้าแตกต่างกันออกไป
“จักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียน!”
หลินสวินมองปราดเดียวก็จำตัวตนของอีกฝ่ายได้ จิตใจไหวสะเทือน
“ดังคาด…”
องค์ชายเซ่าเฮ่าเองก็ไม่รู้ว่าคิดถึงอะไร ดวงตาหรี่ลงน้อยๆ
“คลื่นยักษ์ซัดเซาะ คัดกรองทองแท้ ในเมื่อพวกเจ้าเคยพิชิตกระดานทองคำผู้กล้า ย่อมเป็นยอดฝีมือชั้นเลิศที่สุดในยุคปัจจุบัน”
จักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนเอ่ยปาก น้ำเสียงกังวานไพศาลกึกก้องทั่วฟ้าดิน อึกทึกจนหูแทบหนวก พุ่งตรงเข้าไปในจิตใจผู้คน
“เรื่องวสันตสารทนิรันดร์กาล บ่าเหล็กแบกมหามรรค แดนมกุฎเป็นเพียงจุดเริ่มต้นการเดินทางของท่านทั้งหลาย หวังว่าวันหน้าท่านทั้งหลายจะสามารถปีนสู่หนทางมกุฎอริยะ ห้อทะยานผงาดง้ำ ตั้งจิตเพื่อฟ้าดิน สร้างชีวิตเพื่อสรรพสัตว์ ร่ำเรียนเพื่อมุ่งหน้าสู่อริยะ สร้างสันติสุขเพื่อใต้หล้า!”
ทุกคำทุกประโยคกึกก้องอยู่ในหัวใจของผู้แข็งแกร่งในที่นั้น ประหนึ่งฟ้าคำรามสะเทือนเลื่อนลั่น
ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งครัดราวกับสดับฟังเสียงมรรค
ตูม!
ก็เห็นเหนือเวิ้งฟ้า จักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนโบกแขนเสื้อหนึ่งครา รุ้งวิเศษเจิดจ้าสายแล้วสายเล่าพุ่งยิงออกไป พุ่งไปทางผู้แข็งแกร่งทุกคนในที่นั้น
ชั่นขณะนั้นผู้แข็งแกร่งทั่วลานไม่มีใครไม่ตื่นเต้น ใบหน้าฉายแววดีใจแทบคลั่ง
“นะ… นี่คืออริยะนำพา!”
“ใช่จริงๆ ด้วย ข้ารับรู้ได้ ข้ารับรู้ได้…”
“เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน ขะ… ข้าเองก็ได้กับเขาด้วยหรือ”
เหล่าผู้กล้าต่างฮือฮา แทบไม่อยากเชื่อ
พวกเขาทุกคนล้วนได้รับกันถ้วนหน้า รู้สึกถึงพลังของการบรรลุมกุฎอริยะอันเร้นลับ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาแทบไม่กล้าเชื่อ
ก่อนหน้านี้ต่างนึกว่าต้องแข่งขันชิงชัยกันครั้งแล้วครั้งเล่า มีเพียงผู้ชนะคนสุดท้ายเท่านั้นจึงจะได้รับมรดกอริยะนำพา
ไหนเลยจะคาดคิด ว่ายามนี้ถึงกับเกิดการเปลี่ยนแปลงน่าทึ่งเช่นนี้!
“นี่ถึงกับเป็นเรื่องจริง…”
พวกเจ้าคางคก นกทมิฬ อาหลู่ต่างมองหน้ากันไปมา ล้วนถูกความแปลกใจเหนือคาดนี้พุ่งโจมตีจิตใจให้ไหวสั่น
เมื่อมองดูคนอื่นในที่นั้นอีกหน พวกเทพธิดารั่วอู่ หยวนฝ่าเทียน ราชันเผิงปีกทองน้อย หมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอ ต่างก็มีอาการกระโดดโลดเต้นผิดธรรมดา
นี่… น่าเหลือเชื่อจริงๆ
แม้จะเป็นหลินสวินและองค์ชายเซ่าเฮ่าก็ยังอึ้งงันอยู่ตรงนั้น อริยะนำพา ถึงกับปรากฏขึ้นด้วยวิธีนี้ในตอนสุดท้าย ก่อนหน้านี้ใครเล่าจะคาดคิดถึง
เพียงแต่สีหน้าหลินสวินกลับดูแปลกไปเล็กน้อย
อริยะนำพาที่เขาได้รับ ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ!
เขาเคยเห็นของสิ่งนี้ เป็นกล่องสำริดขนาดราวๆ ฝ่ามือใบหนึ่ง ถูกปิดผนึกอย่างแน่นหนา เคยถูกจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนถือไว้บนมือ
และยามนี้ ของสิ่งนี้กลับปรากฏขึ้นในห้วงนิมิตของเขา!
มันเหมือนกับกระบี่บินสำริด แผ่กลิ่นอายเวิ้งว้างและลึกลับออกมา
ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินไม่ได้มีการเตรียมพร้อมใดๆ สักนิด ของสิ่งนี้ร่วงหล่นมาเองทั้งอย่างนี้ พาให้เขาอดอึ้งงันไม่ได้
“นี่เป็นใจความและประสบการณ์การบรรลุมกุฎอริยะที่เหล่าสหายยุทธ์เหลือทิ้งไว้ในยุคดึกดำบรรพ์ มอบให้ท่านทั้งหลาย ณ ที่แห่งนี้ ด้วยความแตกต่างของจิตใจ การหยั่งรู้ที่ได้รับย่อมแตกต่างกัน”
บนเวิ้งฟ้าเสียงของจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนดังก้องขึ้นอีกครา พาให้ทั่วลานเงียบกริบขึ้นมาอีกครั้ง
ในห้วงคิดของทุกคนล้วนผุดความเลื่อมใสและเคารพเกรงขาม
พวกเขาเข้าใจแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนถูกจัดเตรียมไว้เป็นอย่างดีตั้งแต่ต้น การแข่งขันชิงชัยครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นการขัดเกลาและทดสอบจิตใจของพวกเขา!
เช่นนี้ถึงทำให้พวกเขาได้รับใจความและประสบการณ์การบรรลุมกุฎอริยะที่แตกต่างกันออกไปในตอนนี้!
“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่ง”
ในที่นั้นมีคนค้อมกายคารวะ
“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่ง!”
ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างพากันโค้งคารวะ สีหน้าล้วนฉายแววขึงขัง กลางฟ้าดินเปี่ยมกลิ่นอายยิ่งใหญ่ไพศาล
ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว มีอริยะเคยใช้สิบหกคำนี้มานิยามท่วงท่าบารมีแห่งมหาจักรพรรดิ ‘แหงนเงยยิ่งสูง ขุดค้นยิ่งลึก มองเห็นอยู่หน้า พลันโผล่เบื้องหลัง’
ตอนนี้ทุกคนต่างแหงนมองท่วงท่าบารมีของจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียน ล้วนมีความรู้สึกเช่นนี้
เงยหน้าแหงนมอง ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าเขาสูงยิ่งขึ้น
พยายามค้นคว้า ยิ่งขุดค้นยิ่งรู้สึกถึงความไร้สิ้นสุดแห่งจักรพรรดิวิถี
ปรารถนาไล่ตาม ทั้งที่อยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไล่ตามไม่ทัน ยากจะเห็นแผ่นหลังของเขา
นี่ ก็คือความหมายของอักษรสิบหกคำนี้
และเป็นพลังที่บรรจุอยู่ในคำว่า ‘มหาจักรพรรดิ’ ทั้งหมด!
ผู้เป็นจักรพรรดิ เหลือบแลห้วงฟ้า ควบคุมโลกหล้า นำหน้าเหล่าอริยะ ตระหง่านง้ำเหนือนภาคราม!
………..