ชายชราชุดบัณฑิตหนวดผมขาวดั่งหิมะ มีไอความยิ่งใหญ่ทั่วตัว ทันทีที่มาถึงก็กลายเป็นจุดสนใจของทั้งสนาม
เหล่าอริยะจำฐานะของอีกฝ่ายได้ ในใจต่างสะท้าน หว่างคิ้วเผยความตกใจเสี้ยวหนึ่ง
ราวกับคิดไม่ถึงว่าเฒ่าชราที่ราวกับซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตคนนี้ จะปรากฏตัวในวันนี้
“คำนับท่านเมี่ยวเสวียน”
สิ่งที่ทำให้คนตกใจยิ่งกว่าคืออริยะไม่น้อยต่างก้มคำนับเล็กน้อย แสดงความเคารพ
เพียงแต่หลินสวินกลับขมวดคิ้วอย่างอดไม่อยู่
ก่อนหน้านี้ตอนที่ตนถูกปิดล้อมโจมตี ชายชราคนนี้ไม่ปรากฏตัว ครั้นเห็นว่าตนกำลังได้เปรียบกลับเข้ามาแทรกแซง หมายคลี่คลายสถานการณ์ บนโลกนี้มีเรื่องดีขนาดนี้ด้วยหรือ
และตอนนี้เองจู่ๆ ข้างหูของเขาก็มีเสียงสื่อจิตของเซี่ยวปู้กุยดังขึ้น ‘เจ้าหนู นี่คือท่านเมี่ยวเสวียนที่มาจากหอฤทธิ์เทพแห่งแดนเร้นอริยะ เฒ่าชราที่มีชีวิตมาแล้วไม่รู้นานเท่าไหร่ รากฐานพลังน่าทึ่งอย่างมาก แม้แต่พวกข้า อยู่ต่อหน้าเขายังเป็นได้แค่คนรุ่นหลัง”
หอฤทธิ์เทพ!
หลินสวินเองก็เคยได้ยินว่าแดนเร้นอริยะแห่งนี้ ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในแดนอริยะที่ลึกลับที่สุดของดินแดนรกร้างโบราณ น้อยมากที่จะปรากฏตัวบนโลก
สิ่งที่หอฤทธิ์เทพชำนาญที่สุดคือคาดการณ์แนวโน้มฟ้าดิน ทำนายดีร้าย
อย่างเช่นความขัดแย้งหลังจากมหายุคมาเยือน การปรากฏของแดนมกุฎ รวมถึงการสิ้นสุดของแดนมกุฎ หอฤทธิ์เทพล้วนเคยคาดการณ์ไว้ และเผยแพร่ข่าวสู่โลกภายนอก
เช่นเดียวกัน ผู้สืบทอดหอฤทธิ์เทพก็ถูกมองว่าเป็น ‘เสมียนของโลกผู้บำเพ็ญ’ ครอบครองของศักดิ์สิทธิ์สองอย่างคือพู่กันวสันต์สารท หนังสือบันทึกประวัติศาสตร์ คอยบันทึกประวัติศาสตร์ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน จารึกการเปลี่ยนแปลงแห่งกาลเวลา
บุคคลใดที่สามารถถูกหมึกเข้มของพวกเขาจารึกชื่อไว้ได้ ก็แทบจะเป็นบุคคลน่าทึ่งในประวัติศาสตร์ ชื่อเสียงโด่งดังสะท้านโลก
ลือกันว่าในหอฤทธิ์เทพมี ‘บันทึกหมู่ดารา’ เล่มหนึ่ง ด้านในบันทึกบุคคลที่แทบจะเป็นดั่งตำนานตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน
ต่อให้ดินแดนรกร้างโบราณจะสูญสลาย บันทึกหมู่ดารานี้ก็จะคงอยู่ในกาลเวลาชั่วนิรันดร์ ไม่ถูกทำลาย ขอเพียงแค่ถูกค้นพบอีกครั้ง ก็จะถูกผู้คนจดจำได้อีก!
ตอนนี้ชายชราที่ถูกเรียกว่า ‘ท่านเมี่ยวเสวียน’ ถึงกับมาจากหอฤทธิ์เทพ ก็ไม่แปลกที่จะทำให้เหล่าอริยะในที่นี้เคารพ
แม้รู้เรื่องพวกนี้ ท่าทีของหลินสวินกลับไม่เปลี่ยนสักนิด เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสท่านนี้ หากมาเพื่อหยุดยั้งการเข่นฆ่า เช่นนั้นก็ขออภัยด้วย วันนี้ไม่ว่าใครมา ก็ไม่มีประโยชน์”
เหล่าอริยะแค่นเสียงอย่างเย็นเยียบ สีหน้าอึมครึม เจ้าหมอนี่ ช่างอวดดี!
เมี่ยวเสวียนกลับถอนหายใจพูดว่า “สหายน้อย ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจ แต่ว่า… วันนี้มีอริยะแท้ร่วงหล่นสี่คนแล้ว สำหรับทั้งดินแดนรกร้างโบราณเป็นความสูญเสียที่ไม่น้อย หวังว่าเจ้าจะถอยสักก้าว หยุดเพียงเท่านี้เถอะ”
หลินสวินสีหน้าไม่เปลี่ยน “พวกเขาตายเรียกว่าความสูญเสียของดินแดนรกร้างโบราณ วันนี้หากข้าตายเล่า จะถือว่าอะไร ผู้อาวุโสท่านมีใจเมตตา ข้ามีจิตมุ่งสังหาร ท่านไม่ต้องเกลี้ยกล่อมแล้ว”
คำพูดนี้พูดอย่างไม่เกรงใจมาก ทำให้พวกเซี่ยวปู้กุยที่อยู่ห่างออกไปหวั่นใจ ในดินแดนรกร้างโบราณ คนที่กล้าพูดกับท่านเมี่ยวเสวียนเช่นนี้มีไม่กี่คนหรอก!
“สหายน้อย เจ้าเข้าสู่แดนมกุฎ ก็คงรู้ว่าในสมัยดึกดำบรรพ์มีเมธีนับไม่ถ้วนต่อสู้เพื่อต้านศัตรูแปดดินแดน ตอนนี้แม้ดินแดนรกร้างโบราณอยู่ในมหายุคอันรุ่งเรือง แต่ก็มาพร้อมกับอันตรายอันยิ่งใหญ่ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเกิดสงครามกับแปดดินแดนอีกครั้ง”
ท่านเมี่ยวเสวียนกลับไม่โกรธสักนิด เสียงอ่อนโยนเกลี้ยกล่อมซ้ำๆ
“ถึงตอนนั้นคนที่สามารถก้าวออกมาหนุนหลังผู้คนในดินแดนรกร้างโบราณได้ มีเพียงผู้ฝึกปราณรุ่นข้า และอริยะที่ถูกมองว่าเป็นการดำรงอยู่สูงสุดแห่งยุค ก็สามารถแสดงพลังที่เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้”
“ทุกครั้งที่สูญเสียคนหนึ่ง ก็หมายความว่าพลังที่จะต่อต้านศัตรูภายนอกในภายภาคหน้าของดินแดนรกร้างโบราณอ่อนลงไปด้วย หวังว่าสหายน้อยจะใคร่ครวญให้ดี”
คำพูดนี้ไม่ได้เป็นการข่มขู่ เพียงแค่โน้มน้าวด้วยเหตุผล ไม่เคยเอาฐานะมากดข่มหลินสวิน
เพียงแต่นี่กลับทำให้หลินสวินขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม เอ่ยว่า “เดรัจฉานเฒ่าที่เห็นแก่ตัว อวดดีไร้ยางอายกลุ่มนี้ แม้แต่คนรุ่นหลังอย่างข้ายังยอมให้ไม่ได้ ยังหวังว่าต่อไปพวกเขาจะสามารถออกหน้าแทนผู้คนทั่วหล้าอีกหรือ”
ประโยคเดียวด่าเหล่าอริยะอย่างซางเย่ ซย่าโหวเสวี่ยที่อยู่ในที่นั้นจนไม่เหลือซาก!
นี่ทำให้พวกเขาต่างเดือดดาล สีหน้ายิ่งมืดมนและไม่เป็นมิตร
“ไอ้หนู พวกเราเคารพท่านเมี่ยวเสวียนหรอกนะถึงได้คร้านจะถือสาเด็กอย่างเจ้า คิดว่าพวกเรากลัวเจ้าจริงๆ หรือ”
ซย่าโหวเสวี่ยสีหน้าเหี้ยมโหด
“ระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดเท่านั้น พลังที่เจ้ายืมมาอย่างไรก็ต้องมีวันเสื่อมสลาย ถึงตอนนั้นข้าจะดูซิว่าใครจะช่วยเจ้าได้!”
โม่คงคำพูดรุนแรง แต่ละคำราวกับดาบ
คนอื่นๆ เองก็ไอสังหารพลุ่งพล่าน พวกเขาวางใจอย่างสิ้นเชิงแล้ว เพราะการมาเยือนของท่านเมี่ยวเสวียนทำให้พวกเขามองเห็นโอกาสหนึ่ง
เพียงแค่ยื้อเวลานานออกไปเท่าไหร่ พลังที่หลินสวินยืมใช้ก็อาจจะเสื่อมสลายไวเท่านั้น นี่ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา!
เช่นเดียวกัน ในเมื่อท่านเมี่ยวเสวียนมาแล้ว จะทนมองหลินสวินเหิมเกริมต่อโดยไม่ทำอะไรได้อย่างไร
หลินสวินกวาดสายตามองคราเดียวก็อ่านความคิดของอริยะเหล่านั้นออก เขายิ้มเยาะทันที พูดเรียบๆ “ผู้อาวุโส ท่านก็เห็นแล้วว่าสีหน้าของสุนัขเฒ่าเหล่านี้เป็นอย่างไร ขืนท่านยังขวางข้าอีกก็จะถือว่าเป็นศัตรูกับข้า!”
เสียงกังวานทรงพลังหนักแน่น
เพิ่งจะสิ้นเสียงหลินสวินพลันง้างธนูอย่างไม่ลังเล เล็งไปยังโม่คงที่อยู่ห่างออกไป
“เจ้ากล้า!”
เหล่าอริยะในที่นั้นต่างเดือดดาล ต่อหน้าท่านเมี่ยวเสวียน เจ้าเด็กนี่ยังกล้าลงมือ ช่างไม่เกรงกลัวฟ้าดินจริงๆ
ส่วนพวกเยี่ยจิ่วเซียวและเซี่ยวปู้กุยเองก็มองหน้ากัน ความกล้าของหลินสวินเหนือจินตนาการของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
หลินสวินสีหน้าเย็นเยียบ ธนูวิญญาณไร้แก่นสารที่สร้างขึ้นจากกระดูกขาวเหี้ยมโหดและดุร้ายอย่างที่สุด ถูกเขาง้างจนตึง
ศรนิรันดร์ที่ไอฟ้าครามสาดซัดพายุสายฟ้าก็พาดอยู่บนนั้นแล้ว
กลางฟ้าดิน บรรยากาศอันสันติพลันถูกไอสังหารรุนแรงน่ากลัวเข้าแทนที่
ทุกอย่างแสดงให้เห็นว่าหลินสวินไม่คิดจะหยุดมือ ปฏิเสธข้อเสนอของท่านเมี่ยวเสวียน!
“สหายน้อย ข้าถามเพียงประโยคเดียว เมื่อการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนมาเยือน ผู้คนในโลกตกอยู่ท่ามกลางน้ำลึกเพลิงร้อน มีความเป็นไปได้สูงมากที่ทุกคนจะตกอยู่ในทุกข์ขื่นขม เจ้าจะเลือกอย่างไร!”
ทันใดนั้นท่านเมี่ยวเสวียนถามขึ้น เสียงก้องกังวานกระแทกใจคน
“เมื่อโลกประสบพิบัติเคราะห์ ใครเล่าจะหนีพ้น ถึงตอนนั้นข้าจะใช้วิชาทั้งหมดที่ร่ำเรียนมา สังหารเก้าชั้นฟ้า ฆ่าศัตรูแปดดินแดนที่มารุกราน”
หลินสวินพูดอย่างไม่ลังเลสักนิด
ตอนนั้นหลังจากเขาเห็นสิ่งที่เหล่าเมธีอย่าง ‘จักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียน’ ‘ราชันผีเสวียนคง’ ‘จักรพรรดิสงครามอู๋ยาง’ ‘อริยพุทธซิงเจีย’ ทำ ก็ประทับใจอย่างลึกซึ้ง และได้ตั้งปณิธานไว้แล้ว
หากมีมหันตภัยมาเยือนจริงๆ เขาย่อมไม่มีทางนิ่งดูดาย!
“น่าขัน แค่มดปลวกอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดอย่างเจ้า ก็กล้าคุยโวโอ้อวดเช่นนี้หรือ”
เหล่าอริยะต่างหัวเราะเยาะ เหลวไหลเกินไปแล้ว หากศัตรูภายนอกจากแปดดินแดนมาเยือน จะต้องมีศัตรูระดับอริยะมากมายมาเยือนอย่างแน่นอน
ศักยภาพของเด็กนี่ไม่เพียงพอ กลับคุยโวว่าจะสังหารเก้าชั้นฟ้า ฆ่าศัตรูที่มารุกราน ช่างไม่รู้จักประมาณความสามารถตนเองเกินไปแล้ว
สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ ยามนี้ท่านเมี่ยวเสวียนกลับพยักหน้า “ดี สหายน้อยโปรดจำคำของเจ้าในวันนี้เอาไว้ ข้าเชื่อเจ้า”
พูดจบเขาในชุดบัณฑิตก็ลอยพลิ้ว เงาร่างจากไปจากสนามรบแล้ว นั่งอยู่กลางอากาศห่างออกไปไกลโพ้น หยิบหนังสือหนึ่งเล่มกับพู่กันหนึ่งด้ามในตะกร้าหนังสือที่แบกอยู่ออกมา นั่งตัวตรงไม่พูดอะไรอีก
แย่แล้ว!
เหล่าอริยะหัวใจกระตุกวูบ จะไม่เข้าใจได้อย่างไร เพราะคำพูดประโยคเดียวของหลินสวิน ท่านเมี่ยวเสวียนตัดสินใจจะไม่สอดมือเข้ายุ่งเรื่องนี้!
หรือในใจเขา ความสำคัญของหลินสวินเด็กคนนี้ มีมากกว่าเหล่าอริยะที่อยู่ในที่นี้อย่างพวกเขา
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่สนับสนุน!”
หลินสวินในตอนนี้เชื่อแล้วจริงๆ ว่าท่านเมี่ยวเสวียนเป็นห่วงคนในใต้หล้าจริงๆ ไม่ได้มาเพราะเข้าข้างอริยะเหล่านั้น!
มีเพียงผู้อาวุโสเช่นนี้ที่ควรค่าได้รับการเคารพจากเหล่าอริยะทั่วหล้า!
ความองอาจระดับนี้ ทำให้หลินสวินเชื่อว่าบนโลกยุคปัจจุบัน มิได้ขาดบุคคลอย่างเหล่าเมธีสมัยดึกดำบรรพ์เหล่านั้น!
ปึง!
ไม่มีความลังเลใดๆ ศรที่หลินสวินรวบรวมพลังไว้เนิ่นนานแล้วพุ่งออกไปโดยพลัน
การต่อสู้ที่ถูกหยุดกลางคันปรากฏขึ้นอีกครั้งในตอนนี้
ในที่นั้นฟ้าดินมืดสลัว สุริยันจันทราหม่นแสง ไอสังหารราวกับธารดาราเก้าฟ้า ทะลวงพุ่งกลางจักรวาล
“ฆ่า!”
อริยะเหล่านั้นมีหรือจะนั่งรอความตาย พลันออกโจมตีอย่างไม่ลังเล
ที่น่าเสียดายคือพวกเขายังรอไม่ถึงตอนที่หลินสวินอ่อนแรง หรือพูดอีกอย่างว่า ตั้งแต่ตอนที่เริ่มต่อสู้ พวกเขาก็ดูถูกพลังที่หลินสวินยืมใช้เกินไปแล้ว
พวกเซี่ยวปู้กุยที่อยู่ห่างออกไปต่างเดาเรื่องทุกอย่างผิด นึกว่าพลังที่หลินสวินยืมใช้คือพลังของราชันอริยะ
ปลิดชีพเหมือนดั่งจิตสถูป เหตุใดต้องกลับไปเป็นฝุ่นผงชั่วนิรันดร์!
พลังของจิตสถูปปลิดชีพนี้ เป็นพลังที่ทิ้งไว้โดยอริยพุทธดึกดำบรรพ์ผู้หนึ่งซึ่งครอบครองพลังแห่งมหาจักรพรรดิ อานุภาพระดับนี้จะธรรมดาได้อย่างไร
ราชันอริยะ อยู่ในอันดับสูงสุดของเหล่าอริยะ
ทว่าจักรพรรดิ กลับอยู่เหนือเหล่าอริยะทั้งปวง!
การบรรลุจักรพรรดิ คือภูเขาที่ราชันอริยะนับไม่ถ้วนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันปรารถนาจะปีนป่ายขึ้นไป สูงส่งและเลือนราง แทบจะใกล้เคียงกับตำนาน
หากแม้แต่อริยะแท้ส่วนหนึ่งยังฆ่าไม่ได้ จะเรียกว่าพลังแห่งจักรพรรดิได้อย่างไร
มีเพียงฝ่าเจิ้งที่เดาออกก่อนหน้านี้ มองพลังที่หลินสวินยืมใช้ออกจากการโจมตีของเมืองพุทธในฝ่ามือ แต่ตอนที่เขาจะเตือนก็ถูกสังหารเสียแล้ว
ฟุ่บ!
ในสนามรบ เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นโม่คงถูกยิงสังหาร หนึ่งศรทะลุลำคอ ร่างกายระเบิดแหลก กายหยาบและจิตวิญญาณดับสลาย ก่อนตายยังส่งเสียงคำรามอย่างเดือดดาลและไม่จำยอม
ห่างออกไป ท่านเมี่ยวเสวียนที่อยู่กลางอากาศถอนหายใจในใจ จับพู่กันวสันต์สารทเขียนลงบนหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์
‘ปีที่สิบแห่งมหายุค ห่างจากเมืองหม่อนหิมะยักษ์แปดพันลี้ เหล่าอริยะเคลื่อนทัพ หมายจะสังหารหลินสวิน ทำให้เกิดการต่อสู้นองเลือดที่สะเทือนนิรันดร์กาล’
‘ในการต่อสู้ มีอริยะแท้อย่างอูซิวทงแห่งเผ่าอีกาทอง ขู่หยาแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า ฝ่าเจิ้งแห่งอารามกษิติครรภ์ โก่วเจิ้นซานแห่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬร่วงหล่นต่อเนื่อง สิ้นชีพภายใต้พลังมรรคจักรพรรดิที่หลินสวินยืมใช้ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดเสียงร่ำไห้แห่งสวรรค์’
‘ข้าหมายคลี่คลายความขัดแย้ง คิดไม่ถึงว่าจิตสังหารของหลินสวินแน่วแน่แล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนใจได้ ข้าจึงทำได้เพียงตัดสินใจเลือก’
‘หวังเพียงว่ามหาเคราะห์ในภายภาคหน้า เด็กคนนี้จะแสดงความองอาจอย่างเมธีดึกดำบรรพ์ สร้างอนาคตให้กับดินแดนรกร้างโบราณ’
เขียนถึงตรงนี้ท่านเมี่ยวเสวียนถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่งแล้วจึงเขียนต่อ ‘ภายหลัง ยังมีโม่คงแห่งเขาวิญญาณหมื่นอสูรร่วงหล่นอีกคน…’
เขามองไปในที่นั้นก็เห็นหลินสวินถือเจดีย์สมบัติไร้อักษร ห้าวหาญไร้ที่เปรียบ ลงมาเยือนจากฟ้า กระแทกซย่าโหวเสวี่ยแห่งลัทธิบูชาจันทร์จนระเบิดทั้งเป็น ร่างกายปริแตก เป็นภาพที่นองเลือดอย่างที่สุด
เขาก้มศีรษะลง สีหน้าไม่แสดงความดีใจหรือเสียใจ หลังเอวหยัดตรง ปลายพู่กันตวัดฉับไว เขียนลงบนหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์ว่า ‘ซย่าโหวเสวี่ยแห่งลัทธิบูชาจันทร์ร่วงหล่นตามกัน’
ห่างออกไปศึกใหญ่ยังคงดำเนิน ฟ้าดินอลหม่าน
และที่นี่ หนังสือบันทึกประวัติศาสตร์เล่มหนึ่ง พู่กันวสันต์สารทด้ามหนึ่ง กำลังบันทึกเรื่องราวทั้งหมดนี้
จู่ๆ ในใจท่านเมี่ยวเสวียนก็นึกขึ้นมาว่า หากคนรุ่นหลังได้รับรู้การต่อสู้ที่บันทึกอยู่ในหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์นี้ จะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร
——