ในเสียงทำลายล้าง เงาร่างที่ราวกับภาพลวงตาปรากฏในที่นั้น
นี่เป็นชายหนุ่มที่รูปร่างซูบผอมคนหนึ่ง สวมชุดคลุมแขนกว้างงดงามหรูหรา ใช้กระบี่บินเล่มหนึ่งเป็นปิ่น ใบหน้าไม่ถึงขั้นหล่อเหลา กลับให้ความรู้สึกเคร่งขรึมไร้สิ้นสุด
มีเพียงคนในเผ่าอีกาทองที่รู้ว่า ชายหนุ่มคนนี้แท้จริงแล้วเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ปิดด่านมานานหลายพันปีแล้ว
อูซิวทง!
ราชครูสวรรค์ที่อยู่ในอันดับที่สิบสามของเผ่าอีกาทอง ฐานะนี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นอริยะแท้คนหนึ่ง ควบคุมพลังกฎเกณฑ์อริยมรรค
“หนีไวกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์”
อูซิวทงกวาดมองในที่นั้นแวบหนึ่ง ก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็พลันหายไปกลางอากาศ
……
“มีกลิ่นอายอริยะปรากฏขึ้น”
ในบริเวณอันไกลโพ้น ชายคนสองเดินเคียงกันมา ต่างสวมเกี้ยวประดับสูงเข็มขัดใหญ่ แขนเสื้อกว้างสะบัดงามสง่า
จู่ๆ ชายวัยกลางคนที่ทรงผมเรียบร้อยสีหน้านิ่งสงบก็มองไปไกลๆ
“ศิษย์พี่ขู่หยา คงมีคนกำลังไล่ตามเป้าหมายเหมือนพวกเรา”
ชายกลางคนสายตาลึกล้ำ ไอสังหารน่าสะพรึงพวยพุ่ง
“อืม เป็นอริยะแท้คนหนึ่ง ดูจากกลิ่นอาย คงจะมาจากเผ่าอีกาทองแห่งหุบเขาตะวันคล้อย”
ข้างๆ ชายชราที่ใบหน้าซูบตอบ ท่าทางเชื่องช้านหนึ่งพูดด้วยเสียงแหบพร่า
“อริยะแท้หรือ”
ชายวัยกลางคนหัวใจสะท้าน
“ศิษย์น้องอวี๋ซิว พวกเราก็ควรเคลื่อนไหวแล้ว จะให้กระบี่เทียมฟ้าตกไปอยู่ในมือคนอื่นไม่ได้”
ชายชราพูดด้วยเสียงแหบพร่า
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว”
อวี๋ซิวพยักหน้า
ทันใดนั้นอริยะทั้งสองที่มาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้าก็เคลื่อนย้ายผ่านอากาศออกไป
“ขู่หยา… ที่แท้แม้แต่เขาก็นั่งไม่ติดแล้วหรือ…”
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ภิกษุชุดดำคนหนึ่งปรากฏตัว รูปลักษณ์ของเขาอ่อนเยาว์มาก แต่กลิ่นอายความมากประสบการณ์ในดวงตากลับมากล้นยิ่ง
“ดูเหมือนว่าคนที่จะเล่นงานเด็กนี่ ไม่ใช่แค่อาตมาคนเดียว…”
ภิกษุชุดดำถอนหายใจเบาๆ
เพียงแค่สังหารคนหนุ่มในมรรคาอมตะคนหนึ่ง กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ หากเผยแพร่ออกไปสุดท้ายก็ไม่สง่างามเท่าใดนัก
“ช่างเถอะ ข้าจะไปสักครั้ง ดูซิว่าเด็กนี่มีความสามารถระดับใด ถึงได้ป่วนจนเหล่าอริยะเคลื่อนไหว เป็นที่จับตามองทั่วหล้า”
เงาร่างของภิกษุชุดดำพริบไหว ลอยล่องออกไป
อารามกษิติครรภ์ ภายในอารามเก่าแก่ ภิกษุชราคนหนึ่งพึมพำเบาๆ “ศิษย์พี่ฝ่าเจิ้งเขา… คงจะเจอร่องรอยของคนนอกรีตคนนั้นแล้วกระมัง”
……
ห่างออกไปเค้าโครงเมืองที่ยิ่งใหญ่โออ่าปรากฏในสายตาหลินสวิน
สวบ!
หลินสวินเก็บยานขนส่งอวกาศ หันไปมองแวบหนึ่ง
หนึ่งเค่อก่อนหน้านี้ หลังจากสังหารอูเหิงหยาจู่ๆ ก็พบเจออันตรายอย่างที่สุด ทำให้เขาเลือกหนีอย่างไม่ลังเล
จนตอนนี้ย้อนคิดดูแล้ว หลินสวินสามารถเดาได้คร่าวใหญ่แล้วว่า คนที่ลงมือจะต้องเป็นอริยะแท้คนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!
เพราะกลิ่นอายนั่นยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์เกินไป พวกอูหลิ่วฉือ อูเหิงหยาเทียบไม่ติดสักนิด
ทว่าในใจหลินสวินกลับไม่ได้หวาดเกรงมากนัก
สายตาเขามองไปยังเมืองใหญ่โอ่อ่าที่ปรากฏรางๆ ห่างออกไปอีกครั้ง
พูดตามจริง หากไม่ใช่เพราะตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เขาก็อยากเข้าไปพักผ่อนในเมืองสักหน่อย
สิบปีมานี้ เขาไม่ได้สัมผัสไอแห่ง ‘โลกโลกีย์’ มานานมากแล้ว
‘ช่างเถอะ’
สุดท้ายหลินสวินก็ล้มเลิกความคิด
เพียงแต่ตอนที่เขากำลังจะอ้อมไปนั่นเอง เสียงที่ต่ำลึกเสนาะหูเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นกลางฟ้าดิน
“เจ้าหนุ่ม หากเจ้ากล้าเข้าเมือง ชีวิตนับล้านในเมืองก็จะสูญสิ้นเพราะเจ้าคนเดียว หยุดฝีเท้าที่นี่เถอะ”
ดวงตาดำของหลินสวินดอรัดลงเล็กน้อย ในการจิตรับรู้พลันมองเห็น ว่าเหนือห้วงอากาศขึ้นไปมีเกี้ยวสมบัติที่งดงามหรูหราคันหนึ่งปรากฏขึ้น
ในเกี้ยวสมบัติหญิงในชุดชาววังคนหนึ่งนั่งอยู่ ผิวขาวยิ่งกว่าหิมะ ผมดำราวกับหมึก รูปลักษณงดงามไร้ที่ติ บุคลิกโดดเด่น
“เจ้าเป็นใคร”
หลินสวินพูดเสียงเรียบเฉย
“ซางเย่ เผ่าวิญญาณสมุทร”
เสียงของหญิงชุดชาววังกังวาน ราวกับไข่มุกกระทบบนจานหยก ไพเราะน่าฟัง
หลินสวินขานรับว่าอ้อ เงาร่างลอยลงบนยอดเขาลูกหนึ่งข้างๆ ลมภูเขาพัดกรรโชก เป่าจนผมของเขาปลิวไสว เสื้อผ้าโบกสะบัดเกิดเสียงดัง
สายตาของเขากวาดมองแปดทิศสี่ด้าน กล่าวว่า “อริยะผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค ในเมื่อมาแล้วเหตุใดต้องหลบๆ ซ่อนๆ”
เสียงเรียบเฉยดังก้องกลางฟ้าดิน
“เหอะ พลังจิตวิญญาณของเด็กเมื่อวานซืนนี่ถือว่าไม่ธรรมดา”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นในเมฆ ก็เห็นชั้นเมฆตรงนั้นม้วนตลบกะทันหัน ปรากฏเงาร่างสูงผึ่งผาย กำยำร่างหนึ่ง
นี่คือชายที่สวมชุดคลุมสีขาวคนหนึ่ง ตรงหูซ้ายใส่ต่างหูสีทอง ดูแปลกประหลาดอย่างมาก
“เจ้าเป็นใครอีก”
หลินสวินถาม
“โม่คง เขาวิญญาณหมื่นอสูร”
ชายชุดคลุมขาวยิ้มน้อยๆ ดูศักดิ์สิทธิ์ไร้ใดเปรียบ
“จำคำของเจ้าเอาไว้”
หลินสวินเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วเคลื่อนสายตาไปมองอีกด้าน
ตรงนั้นมีรถศึกสำริดคันหนึ่งบดขยี้ห้วงอากาศดังครืนๆ เข้ามา เลือดสดไหลหลั่ง ไอเหี้ยมโหดกระทบหน้าเข้ามา บนรถศึกมีเงาร่างพร่ามัว หมอกดำลอยวนหนึ่งสายยืนอยู่
“สหายยุทธ์ทุกท่าน ข้าต้องการเพียงหัวใจของเดรัจฉานนี่ อย่างอื่นแล้วแต่พวกเจ้าจะจัดการ”
เงาร่างหมอกดำบนรถศึกเอ่ยปาก เสียงเย็นชาอย่างที่สุด
ครั้งนี้หลินสวินไม่ได้ถาม จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร อย่างไรก็ล้วนเป็นศัตรูทั้งสิ้น
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะสนใจไปไยว่าเป็นใคร
แต่หลินสวินไม่สนใจ คนอื่นๆ ในที่นั้นกลับไม่สามารถไม่สนใจได้ ต่างจำได้ว่าเงาร่างหมอกดำบนรถศึกสำริดนั่น คือผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของลัทธิบูชาจันทร์ในแดนเร้นอริยะ…
อริยะคุมกฎซย่าโหวเสวี่ย!
“มีอีกไหม”
ส1ายตาของหลินสวินกวาดมองตั้งแต่ซางเย่แห่งเผ่าวิญญาณสมุทร โม่คงแห่งเขาวิญญาณหมื่นอสูร จนถึงซย่าโหวเสวี่ยแห่งลัทธิบูชาจันทร์
นี่ คืออริยะสามคน!
หากพูดถึงกลิ่นอาย แน่นอนว่าน่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไม่เลว อายุน้อยขนาดนี้ก็มีพลังปราณระดับนี้ ทั้งยังเป็นอันดับหนึ่งแห่งแดนมกุฎ อยู่เหนือยอดฝีมือในรุ่นเดียวกัน น่าทึ่งมากจริงๆ”
จู่ๆ เสียงก้องกังวานราวกับกระบี่ดังขึ้น อริยะทั้งสองแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าอย่างขู่หยาและอวี๋ซิวปรากฏตัวในที่นั้น
คนพูดคือขู่หยา
“เพียงแต่น่าเสียดายมาก ตราบใดที่ยังไม่บรรลุอริยะก็ยังเป็นแค่มดปลวก ไม่ว่าจะโดดเด่นน่าทึ่งแค่ไหน ก็สู้นิ้วเดียวของระดับอริยะไม่ได้”
อวี๋ซิวสีหน้าเรียบเฉย
“ไม่ถึงขนาดนั้น”
มีคนเยาะเย้ย “ไม่นานนี้เด็กนี่ฆ่าราชครูสองคนของเผ่าข้ากับมือ ฝีมือร้ายกาจใช้ได้”
พร้อมกับเสียงนั้น เงาร่างของอูซิวทงปรากฏในที่นั้น แววตาดุจดั่งสายฟ้า จับจ้องหลินสวินที่ยืนอยู่บนยอดเขา
ประโยคเดียวทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งหมดต่างประหลาดใจ
พวกเขารู้ดีว่าราชครูระดับอริยะของเผ่าอีกาทองแม้เป็นอริยะเทียม แต่ก็ใช่ว่าผู้แข็งแกร่งที่ต่ำกว่าระดับอริยะจะสามารถท้าทายได้
แต่ตอนนี้กลับมีอริยะเทียมสองคนตายด้วยน้ำมือหลินสวิน นี่ย่อมพาให้คนตกใจแน่นอน
ชั่วขณะเดียวสายตาที่มองหลินสวินล้วนแฝงความแปลกประหลาดเสี้ยวหนึ่ง
“เป็นฝีมืออริยะหญิงลึกลับคนนั้นหรือ”
บนฟากฟ้า ซางเย่ในชุดชาววังเดินออกจากเกี้ยวสมบัติพลางส่งเสียงถาม
ครั้นคำพูดนี้ดังออกมา ทำให้ดวงตาของอริยะทั้งหมดหดรัดลงอย่างยากจะสังเกต ที่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เคยลงมือ ก็เพราะหวาดเกรงเรื่องนี้
ถึงอย่างไรเรื่องที่ ‘เปลี่ยนอริยะเป็นเดรัจฉาน’ เมื่อสิบปีก่อนก็เป็นเรื่องใหญ่เกินไปจริงๆ!
ในฐานะระดับอริยะ พวกเขาสามารถมองหลินสวินเป็นมดปลวก ดูถูกอย่างที่สุด แต่กลับไม่อาจไม่ระวังหญิงผู้นั้นที่อยู่เบื้องหลังเขา
“ไม่ เป็นฝีมือของเดรัจฉานน้อยนี่”
อูซิวทงถอนหายใจเบาๆ “ทุกท่าน ข้ามีเรื่องที่อาจดูไม่สมเหตุสมผลจะขอร้อง อีกเดี๋ยวหลังจากฆ่าเดรัจฉานน้อยนี่ตายแล้ว ข้าต้องการเพียงหนึ่งคันธนูและหนึ่งศรของเขา โปรดช่วยให้สมปรารถนาด้วย”
คนอื่นๆ ต่างสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ
อูซิวทงเห็นเช่นนี้ก็เยาะหยันในใจคราหนึ่งโดย ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาทักออกไปแล้ว อีกเดี๋ยวหากมีคนกล้าสอดมือเข้ามา ก็อย่าหาว่าเขาไม่เกรงใจ!
“ที่พวกเรามาครั้งนี้ ก็เพื่อเอากระบี่เทียมฟ้ากลับไปเท่านั้น”
จู่ๆ อวี๋ซิวก็เอ่ยปาก “หากทุกท่านคิดว่ากระบี่นี้ไม่ควรถูกพวกเราเอาไป อีกเดี๋ยวย่อมสามารถชี้แนะได้”
แม้น้ำเสียงจะราบเรียบ แต่กลับเต็มไปด้วยไอสังหาร
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อาตมาก็สามารถจับจองของสิ่งหนึ่งได้ใช่หรือไม่ มรดกวิชาหนึ่งของอารามกษิติครรภ์ตกอยู่ในมือเด็กคนนี้ อาตมาย่อมต้องเอาคืน”
เสียงอบอุ่นดังขึ้น ฝ่าเจิ้งในชุดภิกษุสีดำปรากฏตัวในที่นั้น และกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนทันใด
อารามกษิติครรภ์ เดิมก็เป็นแดนเร้นอริยะชั้นหนึ่งแห่งยุค และฝ่าเจิ้งก็เป็นถึงอริยสงฆ์ที่แท้จริงคนหนึ่ง!
เหล่าอริยะทยอยปรากฏตัว ปิดล้อมแปดทิศสี่ด้าน ระหว่างที่พูดล้วนมองข้ามหลินสวิน ถึงขั้นโต้ตอบกันเอง หารือเรื่องแบ่งสมบัติในตัวหลินสวิน
ทั้งยังเรียกว่าเด็กเมื่อวานซืน เดรัจฉานน้อยไม่ขาดปาก!
สถานการณ์เช่นนี้ทำเอาในใจหลินสวินเกิดไอสังหารแรงกล้าขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ เจ้าเฒ่าพวกนี้ คิดว่าหลังจากเหยียบย่างระดับอริยะแล้ว จะไม่ต้องเกรงกลัวฟ้าดินได้จริงๆ หรือ
“ไม่มีอะไรต้องพูด เจ้ามดปลวก ส่งสมบัติทั้งหมดในตัวมา เดี๋ยวข้าทำให้เจ้าตายอย่างสุขสม”
ซย่าโหวเสวี่ยแห่งลัทธิบูชาจันทร์เอ่ยเสียงเย็นชา
นี่เป็นการดูถูกอย่างไม่ต้องสงสัย
“เหอะๆ”
สายตาของหลินสวินแฝงความเย้ยหยัน กล่าวว่า “อริยะกลุ่มหนึ่งเคลื่อนไหวปิดล้อมข้า หน้าไม่อายก็ช่างเถอะ แต่กลับเก่งแต่ปาก ข้าอยากถามหน่อยว่าพูดจาไร้สาระมากขนาดนี้ เหตุใดพวกเจ้าไม่กล้าลงมือ”
สีหน้าของเหล่าอริยะต่างเย็นชาขึ้นมา
ถูกคนรุ่นเยาว์คนหนึ่งเย้ยหยันเช่นนี้ แน่นอนว่าทำให้พวกเขาไม่พอใจ สิ่งที่ยากรับที่สุดคือ ประโยคเดียวของหลินสวินยังสะกิดปมพวกเขา!
เหตุผลที่ถึงตอนนี้ยังไม่ลงมือ เพราะพวกเขาต่างหวาดเกรงและระแวงหญิงลึกลับเบื้องหลังหลินสวิน
เช่นเดียวกัน ระหว่างพวกเขาไม่ใช่พันธมิตรและไม่ใช่สหาย แน่นอนว่าใครก็ไม่ยอมลงมือเป็นคนแรก
“สิ่งที่น่าขันที่สุดคือ นอกจากพวกเจ้าที่เปิดเผยร่องรอยแล้ว เกรงว่าในมุมมืดคงยังมีเจ้าเฒ่าหน้าไม่อายอีกไม่น้อยที่ยังไม่ออกมาซ่อนตัวอยู่!”
ที่ริมหน้าผา หลินสวินหลุดขำ ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย “ต่างกังวลว่าหากกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานมาให้ไล่ต้อนจะทำอย่างไรใช่หรือไม่”
ประโยคนี้โหดร้ายเกินไปแล้ว!
ทันใดนั้นสีหน้าของเหล่าอริยะในที่นั้นต่างมืดทะมึน กลิ่นอายบนร่างแต่ละคนแผ่กว้างโดยพลัน ทำให้ฟ้าดินแถบนี้มืดสลัวลง
ฟ้าดินเงียบสงัด อานุภาพอริยะที่ไร้รูปแต่น่าตระหนกดุจดั่งภูเขาถล่มสมุทรคำราม รวมตัวในฟ้าดินฝั่งหนึ่ง เหตุการณ์ระดับนี้สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณคนใดก็ตามพังทลาย!
“ทุกท่าน พวกเราลงมือพร้อมกันเป็นอย่างไร”
อวี๋ซิวพูดเสียงเย็น
“ดี!”
“เช่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนแล้วกัน”
คนอื่นๆ ต่างตอบตกลง สายตาล้วนเย็นชาขึ้นมา มองหลินสวินราวกับคนตาย
ที่พวกเขากล้าเคลื่อนไหวมาโจมตีสังหารหลินสวิน แน่นอนว่าย่อมมีที่พึ่ง
แม้ต่างหวาดเกรงหญิงลึกลับคนนั้นไม่มากก็น้อย แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจที่จะฆ่าหลินสวินได้
ยิ่งไปกว่านั้น อริยะในที่นี้มากมาย ล้วนมาจากขุมอำนาจใหญ่ที่แตกต่างกัน แม้หญิงลึกลับคนนั้นเคลื่อนไหวจริงๆ แต่เมื่อเจอกับเหตุการณ์นี้ นาง…
จะขัดขวางได้หรือ
——