ซางเทียนเกอชนะสิบครั้งติด ถอยออกจากสนามประลองชั้นยอดแล้ว
ทันใดนั้นจู่ๆ บรรยากาศในที่นั้นก็ละเอียดอ่อนขึ้นมา ทุกสายตาล้วนมองมาทางหลินสวินโดยมิได้นัดหมาย
อีกเพียงไม่กี่ชั่วยามก็จะสิ้นสุดการแข่งขันรอบแรกแล้ว แต่หลินสวินกลับปรากฏตัว ตอนนี้ใครจะกล้าเข้าสู่สนามประลองโดยพลการ
หากเจอหลินสวินเข้าจะทำอย่างไร
สามวันมานี้บุคคลชั้นนำอย่างพวกองค์ชายเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่ ต่างชนะสิบครั้งติดไปนานแล้ว กำลังหยั่งรู้มรดกอยู่ตรงหน้ารูปปั้นหินโบราณนั่น
นี่ก็หมายความว่า บริเวณรอบๆ สนามประลองชั้นยอดในตอนนี้ ตัวตนของหลินสวินเพียงพอจะกดลมหายใจของทุกคน
“เจ้าไปเข้าร่วมหรือไม่”
หลินสวินมองไปที่จ้าวจิ่งเซวียน
“ข้าไม่ร่วมแล้วล่ะ”
จ้าวจิ่งเซวียนรู้ตัวดี แม้ในหลายปีที่ผ่านมานางจะสั่งสมมรรควิถีที่หนาแน่นไร้ที่เปรียบ แต่ระดับยังคงอยู่ในอมตะเคราะห์ด่านสอง พลังต่อสู้ที่สามารถสำแดงออกมาได้มีจำกัด
แม้ก้าวสู่สนามประลอง ก็แทบไม่มีความหวังที่จะชนะต่อเนื่องสิบครั้ง
“เจ้ารีบไปเถอะ ขืนยื้อเวลาต่อไปก็เท่ากับกำลังทำลายโอกาสของคนอื่น”
จ้าวจิ่งเซวียนเร่ง
หลินสวินขานรับว่าอืม เขาเองก็ดูออกว่าหากตนไม่เข้าสู่สนามประลอง คนอื่นๆ คงไม่มีใครกล้าเข้าไป
พรึ่บ!
ครู่ต่อมาเงาร่างของหลินสวินเคลื่อนมาสู่สนามประลองชั้นยอด กวาดสายตามองเหล่าผู้กล้ารอบๆ พร้อมพูดว่า “สหายยุทธ์ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ ใครยินดีดวลกับข้าสักตาบ้าง”
เสียงราบเรียบกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน
แต่รอบๆ กลับเงียบสนิท เหล่าผู้กล้ามองหน้ากัน ไม่มีใครตอบรับ ในที่นั้นพลันดูแปลกประหลาดอย่างมาก
ในใจหลายคนต่างอดโอดครวญไม่ได้ ระดับหนายเหนือหัวแห่งยุคที่ตายในมือเทพมารหลินมีไม่รู้เท่าไหร่ อวิ๋นชิ่งไป๋แข็งแกร่งใช่หรือไม่ ราวกับตำนาน แต่ก็ถูกเทพมารหลินสังหารมิใช่หรือ
ตอนนี้ใครจะกล้าเข้าไปดวลกับเจ้า นี่มันหาเรื่องอับอายใส่ตัวมิใช่หรือ
เวลาล่วงเลยไปก็ยังไม่มีคนตอบรับเสียที มีเพียงเงาร่างโดดเดี่ยวของหลินสวินที่ยืนตระหง่านอยู่ในสนาม ดูเหงาอย่างมาก
แม้จ้าวจิ่งเซวียนยังอดตะลึงไม่ได้ อำนาจบารมีของเจ้าหมอนี่ในตอนนี้ แข็งแกร่งจนถึงขั้นไม่ต้องสู้ก็กำราบคนได้แล้วหรือ
“เพียงแค่แลกเปลี่ยนกันเท่านั้น ทุกท่านไม่ต้องกังวลอะไร เข้ามาได้เลย ข้ารับประกันว่าจะไม่ผูกพยาบาทเพราะเรื่องนี้”
หลินสวินรออยู่นานก็จนคำพูดบ้างแล้ว อดพูดด้วยเสียงอบอุ่นไม่ได้ ท่าทางจริงใจอย่างมาก
ทุกคนต่างทำท่าทางเหมือนว่าข้าไม่ตกหลุมพรางเจ้าหรอกนะ ใครไม่รู้บ้างว่าเจ้าเทพมารหลินอาละวาดตามอำเภอใจ มือเปื้อนเลือด
ถูกเจ้าเอาชนะไม่เท่าไหร่ ประเด็นคือหากล่วงเกินเจ้าขึ้นมา จะถูกผูกพยาบาทหรือไม่นั้นพูดยาก
ชั่วขณะหนึ่งในที่นั้นยิ่งแปลกประหลาดและเงียบขรึม
ผู้แข็งแกร่งหลายคนอดนึกถึงเมื่อหลายวันก่อนไม่ได้ ยามที่องค์ชายเซ่าเฮ่าเข้าสู่สนามประลอง ก็เกิด ‘ความเงียบ’ เช่นกัน
แต่สุดท้ายก็ยังมีบุคคลระดับนายเหนือหัวขึ้นไปดวลกับเขา เกิดการต่อสู้อันยอดเยี่ยมที่น่าสนใจอย่างหาที่สุดไม่ได้รอบแล้วรอบเหล่า
แต่สถานการณ์ในตอนนั้นคือ นอกจากองค์ชายเซ่าเฮ่า ที่นี่ยังมีบุคคลระดับนายเหนือหัวแห่งยุคอีกมากมายที่ไม่กลัวที่จะสู้กับเซ่าเฮ่า
แต่ตอนนี้กลับแตกต่าง ในที่นี้นอกจากหลินสวิน แทบไม่มีนายเหนือหัวที่มีพลังระดับเดียวกันเช่นเดียวรอต่อสู้อยู่แล้ว!
“ทุกท่าน เพียงแค่แลกเปลี่ยนฝีมือกันจริงๆ”
หลินสวินพูดอย่างจริงจัง สีหน้าท่าทางจริงใจอย่างที่สุดแล้ว
ผู้แข็งแกร่งหลายคนเริ่มลังเลแล้ว นี่… จะตอบรับเขาดีหรือไม่
“ใต้เท้าหลิน ข้าน้อยไม่มีความสามารถ แต่ชื่นชมและนับถือท่านที่สุด หากวันนี้ได้ดวลกับท่านสักสนาม ข้าก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว!”
ทันใดนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งพุ่งเข้าสนามประลอง นี่เป็นยอดฝีมือเผ่าวิญญาณโลหิตคนหนึ่ง นามว่าเซวี่ยอู๋ซิว แผ่นหลังของเขามีปีกโลหิตคู่หนึ่ง ตลอดร่างเปล่งประกายสีเลือด มือถือกระบองสีทองอร่ามคู่หนึ่ง
ทุกคนผิดคาด ต่างลอบพูดในใจ เจ้าหมอนี่หน้าไม่อายเกินไปแล้ว ยังไม่ทันเริ่มสู้ก็ประจบสอพลอยกใหญ่ ชื่นชมเอาใจหลินสวินอย่างแนบเนียน น่ารังเกียจจริงๆ!
แต่ก็มีคนนับถือ ลอบชมว่าเยี่ยม เช่นนี้เทพมารหลินยังจะทำให้อีกฝ่ายแพ้อย่างย่ำแย่อีกหรือไม่
“เชิญ” หลินสวินอมยิ้ม
เซวี่ยอู๋ซิวสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา พูดเสียงดังทรงพลัง “ใต้เท้าหลิน ดวลกับท่านก็เป็นเกียรติของข้าน้อยเช่นกัน เพื่อแสดงความเคารพ ข้าจะสู้อย่างสุดความสามารถ ขอท่านโปรดชี้แนะให้ข้าด้วย”
การประจบสอพลอนี้ แม้แต่หลินสวินยังกระตุกมุมปากอย่างยากจะสังเกตเห็น
พูดจบเซวี่ยอู๋ซิวส่งเสียงตะโกน ปีกสีแดงเลือดกระพือทะยานขึ้นฟ้า กระบองในมือพาดขวาง แผ่แสงประกายน่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ตูม!
ห้วงอากาศถล่มทลายกะทันหัน ถูกแสงประกายที่รุนแรงสะดุดตาท่วมท้น
ต้องยอมรับว่าเซวี่ยอู๋ซิวคนนี้ก็มีศักยภาพมาก ทันทีที่ลงมือก็เผยฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา
เพียงแต่สำหรับหลินสวินกลับไม่ถึงขั้นเป็นการข่มขวัญอะไร เห็นแก่ว่าความเคารพของอีกฝ่าย หลินสวินไม่ได้ลงมือรุนแรงในทันที เก็บศักยภาพไว้ส่วนหนึ่ง
ทันใดนั้นการต่อสู้ปะทุขึ้นในสนาม ดึงดูดความสนใจของทุกคน
แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ เพิ่งจะไม่กี่สิบกระบวนท่าเท่านั้น เซวี่ยอู๋ซิวก็เก็บมือ ไม่สู้แล้ว
เขาประสานหมัดคำนับอย่างชื่นชมพร้อมเอ่ย “ใต้เท้าหลินมรรควิถีมหัศจรรย์ ข้าน้อยยังไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ แพ้อย่างเลื่อมใสสุดจิตสุดใจ”
ทั้งสนามสีหน้าอึมครึมทันที
ไร้ยางอายเกินไปแล้ว!
เจ้าหมอนี่ไปต่อสู้ซะที่ไหน ไปประจบสอพลอเพื่อเอาใจเทพมารหลินชัดๆ!
บนโลกนี้มีคนที่หน้าด้านและไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร
“เจ้า…”
หลินสวินตั้งตัวไม่ติดนัก กำลังจะพูดอะไรสักหน่อยกลับเห็นเซวี่ยอู๋ซิวโค้งตัวถอยออกจากสนามประลองไปแล้ว
อีกทั้งเขาทำสีหน้าทอดถอนใจ ปากส่งเสียงออกมาว่า “วันนี้ได้ดวลกับใต้เท้าหลินที่ข้าเคารพนับถือที่สุด ไม่ใช่โชคดีหรอกหรือ แม้จะแพ้แต่ก็เป็นเกียรติ!”
ทุกคนจำยอมอย่างสิ้นเชิงแล้ว พูดถึงความไร้ยางอาย เซวี่ยอู๋ซิวคนนี้เป็นบุคคลที่บรรลุจุดสุดยอดอย่างแน่นอน แสดงแก่นพิสุทธิ์ของความไร้ยางอายออกมาอย่างตรงไปตรงมา พูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ ใครจะสู้ได้
หลินสวินเองก็อดทึ่งไม่ได้
เจ้าคนที่หน้าหนาไร้ยางอายเช่นนี้ ถึงกับสามารถเข้าสู่แดนยอดมรดกได้ ช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ
“ทุกท่านยังมีคนอยากสู้อีกหรือไม่”
หลินสวินถาม
ทุกคนต่างลังเลอย่างที่สุด เซวี่ยอู๋ซิวเปิดสนามได้เลวร้ายอย่างที่สุด ต่อให้พวกเขามีใจจะไปดวลกับหลินสวินสักตา แต่ถ้าถูกมองว่าไปประจบสอพลอด้วยจะทำอย่างไร
เงียบ
ความเงียบคือเสียงจากหัวใจของทุกคนในตอนนี้
หลินสวินเองก็จนหนทางอย่างสิ้นเชิงแล้ว หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ในใจเองก็กำลังใคร่ครวญว่า หากไม่มีคนท้าทายจะชนะสิบครั้งติดได้อย่างไร
โหม่ง!
จู่ๆ ตรงส่วนลึกของห้วงฟ้าก็มีเสียงระฆังที่เคร่งขรึมและทรงพลังดังก้องขึ้น
จากนั้นท่ามกลางสายตายากจะเชื่อของทุกคน ในสนามประลองชั้นยอดปรากฏแสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้าไหลเข้าสู่ร่างกายหลินสวิน
และนี่ก็หมายความว่าหลินสวินได้ผ่านการทดสอบรอบแรกแล้ว.ไอลีนโนเวล.
เพียงแต่ทุกคนต่างงงงัน ตกตะลึงอ้าปากค้าง เช่นนี้ก็ได้หรือ ยังไม่ได้ชนะสิบครั้งติดเลยนะ!
พลันเห็นพื้นดินข้างสนามปรากฏพลังกฎระเบียบ แปรเป็นตัวอักษรบรรทัดหนึ่ง…
‘ผู้ชำนาญการรบ ย่อมไม่ออกแรงโดยใช่เหตุ สามารถทำลายกฎระเบียบผ่านด่านได้!’
ทันใดนั้นสีหน้าของผู้แข็งแกร่งทั้งที่นั้นต่างชะงัก
สามวันมานี้พวกเขาเพิ่งจะรู้ว่า ในสนามประลองชั้นยอดยังสามารถทำลายกฎผ่านด่านได้ และเหตุการณ์เช่นนี้ก็ปรากฏขึ้นจริงจากตัวเทพมารหลิน ณ ตอนนี้!
คำว่าผู้ชำนาญการรบ ก็คือแข็งแกร่งจนถึงขั้นไม่มีใครสู้ได้และไม่มีใครกล้าสู้ด้วยแล้ว ในเมื่อไม่มีการต่อสู้ แล้วจะมีผลการรบได้อย่างไร
นี่เรียกว่าผู้ชำนาญการรบ ย่อมไม่ออกแรงโดยใช่เหตุ!
หลินสวินอึ้งไป จากนั้นรับรู้ได้อย่างฉับไวว่าแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลเข้าสู้ร่างกายสายนั้น เกิดการตอบสนองมหัศจรรย์บางอย่างกับรูปปั้นหินโบราณนับพันที่ห่างออกไปนั่นรางๆ
เขารับรู้ได้ว่า การแข่งขันในรอบแรกนี้ตนผ่านด่านแล้วจริงๆ เพียงแต่กระบวนการกลับดูคาดไม่ถึง
เห็นท่าทางมึนงงของหลินสวิน จ้าวจิ่งเซวียนอดหัวเราะไม่ได้ ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่งดงามสะอาดสะอ้านนั่นราวกับดอกตูมที่เบ่งบานท่ามกลางแสงอาทิตย์หลังฝนตก งดงามอย่างมาก
หลินสวินเองก็อดยิ้มไม่ได้ ส่ายหน้าออกจากสนามประลองชั้นยอดไป
แต่พอเห็นภาพนี้ทุกคนในที่นั้นต่างถอนหายใจยาวโดยมิได้นัดหมาย ในที่สุดเทพมารหลินก็ผ่านด่านไปแล้ว ต่อไปก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะเข้าสู่สนามไปแข่งขันแล้ว!
ทันใดนั้นเหล่าผู้กล้าในที่นั้นต่างฮึกเหิมขึ้นมา
“ฮ่าๆๆ ตาข้าแล้ว!”
แต่ตอนนี้เองอาหลู่ส่งเสียงหัวเราะลั่นออกมา ชิงพุ่งเข้าสนามประลองไปก่อนก้าวหนึ่ง พลันทำให้ผู้แข็งแกร่งหลายคนรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาระลอกหนึ่ง
ลืมไปได้อย่างไรว่ายังมีเจ้าคนเถื่อนคนนี้!
เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหลินสวินแล้ว เขาเดินตรงไปยังบริเวณที่รูปปั้นหินโบราณนับพันรูปตั้งอยู่
รูปปั้นหินโบราณตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นราวกับอริยะแต่ละคนที่มองลงมายังฝูงชน แผ่กลิ่นอายที่แตกต่างกัน
มองรูปปั้นหินเหล่านี้ก็เหมือนมองยักษ์เทียมฟ้ามากมายที่เคยคุมอำนาจในสมัยบรรพกาล ทำให้ในใจเกิดความตะลึง
พอเดินเข้าไป หลินสวินเห็นองค์ชายเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่ หยวนฝ่าเทียน ราชันเผิงปีกทองน้อย หวังเสวียนอวี๋ เย่หมัวเฮอ…
และเห็นเจ้าคางคก นกทมิฬ เยี่ยเฉิน เซี่ยวชางเทียน จี้ซิงเหยา…
ทุกคนล้วนนั่งขัดสมาธิอยู่หน้ารูปปั้นหินรูปหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึม แสงมรรคทั่วตัวหมุนเวียน กำลังรับสัมผัสพลังมรดก
‘รูปปั้นหินนับพัน ก็หมายความว่ามีมรดกนับพันอย่างประทับอยู่ภายในมิใช่หรือ’
‘แดนยอดมรดกแห่งนี้ไม่ธรรมดาตามคาด มีความเป็นไปได้สูงมากที่สิ่งที่บุคคลเทียมฟ้านับพันคนร่วมมือกันสร้างขึ้นในตอนนั้น พวกเขาเก็บมรดกของตนไว้ที่นี่ เหมือนทิ้งเพลิงมรรคสายหนึ่งเอาไว้ เพลิงมรรคไม่ดับ มรดกก็ไม่สลาย…’
‘ก็ไม่รู้ว่ามีมรดกประเภทไหนเหมาะกับข้า’
หลินสวินเดินพลางสงบใจสัมผัส
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น
หลินสวินชะงักฝีเท้า ขมวดคิ้ว
รูปปั้นหินโบราณนับพัน พลังมรดกนับพัน นอกจากพวกที่ถูกยึดครองไปแล้ว กลับไม่มีอันไหนเลยที่เกิดการตอบสนองต่อการสัมผัสรับรู้ของหลินสวิน
‘นี่เป็นการไม่ยอมรับในตัวข้าหรือ หรือว่าในพลังมรดกนับพันประเภทนี้ ไม่มีที่เหมาะกับข้าเลยแม้แต่อันเดียว’
หลินสวินใคร่ครวญ
ในเวลาเดียวกันผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยห่างออกไปก็สังเกตเห็นว่า เงาร่างของหลินสวินได้เดินจนทั่วบริเวณรูปปั้นหินแล้ว แต่กลับยังไม่ได้รับมรดกเสียที นี่ทำให้ผู้คนอดหันมอง ฉงนและประหลาดใจไม่ได้
ด้วยรากฐานพลังของเทพมารหลิน จะไม่ได้มรดกแม้อันเดียวเลยหรือ
จ้าวจิ่งเซวียนเองก็ขมวดคิ้วไม่เข้าใจนัก
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ ไม่นานหลินสวินกลับนั่งหลับตาลงตรงขอบพื้นที่รูปปั้นหินอย่างลวกๆ
เหมือนกำลังพยายามสัมผัสอะไร
ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่มีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นกับตัวเขาเลย แน่นอนว่าก็หมายความว่า ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้สัมผัสถึงมรดกที่เข้ากับตนเลย
ภาพที่ไม่คาดคิดนี้ดึงดูดสายตาจำนวนไม่น้อยทันที
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หรือเทพมารหลินถูกมรดกทั้งหมดปฏิเสธ
สีหน้าของหลายคนแปลกประหลาดขึ้นมาแล้ว
เป็นถึงเทพมารหลิน ด้วยฐานะ ‘ผู้ชำนาญการรบ ย่อมไม่ออกแรงโดยใช่เหตุ’ ทำลายกฎระเบียบผ่านการแข่งขันรอบที่หนึ่ง ใครจะคิดว่าเขาที่ผ่านด่านมา กลับไม่ได้รับมรดกเลยแม้แต่อันเดียว
——