Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1343 มองเหล่าราชันประหนึ่งไร้ตัวตน

ตอนที่ 1343 มองเหล่าราชันประหนึ่งไร้ตัวตน

หลินสวิน!

สิบปีก่อน ชื่อนี้เป็นที่ร่ำลือทั่วดินแดนรกร้างโบราณ ถือเป็นพวกโดดเด่นสะดุดตาคนหนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์

เขาถือกำเนิดในโลกชั้นล่าง ต่อสู้ฟันฝ่าเพียงลำพัง ผงาดขึ้นจากการกวาดล้างสังหาร ถูกคนทั่วหล้าขนานนามให้ว่า ‘เทพมารหลิน’

แม้จะเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ไม่ปรากฏตัวในโลกมานานปีอย่างพวกอูจินหวน ฮวาซิงฉวี่ ก็ยังเคยได้ยินชื่อของคนรุ่นหลังคนนี้ด้วยเช่นกัน

เพียงแต่ในฐานะพวกที่เหยียบย่างระดับอมตะเคราะห์ สิ่งที่พวกเขาสนใจไม่ใช่หลินสวิน แต่เป็นอริยะหญิงลึกลับที่อยู่เบื้องหลังหลินสวินต่างหาก!

สิบปีก่อนเคยมีเรื่องใหญ่สะเทือนใต้หล้าเรื่องหนึ่ง หญิงลึกลับผู้หนึ่งต้อนอริยะเหมือนเดรัจฉาน เหยียบทำลายหกขุมอำนาจใหญ่ที่รวมถึงสำนักกระบี่เทียมฟ้า เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ และแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์

จุดประสงค์ง่ายดายยิ่ง เพื่อออกหน้าแทนหลินสวิน!

และตอนนั้นจากรากฐานของขุมอำนาจใหญ่ทั้งหก กลับได้แต่ก้มหัวอยู่ต่อหน้าหญิงลึกลับคนนั้น ปล่อยให้นางจากไปโดยสวัสดิภาพ

ความครึกโครมของเรื่องนี้สามารถทำให้อริยะคนใดก็ตามในโลกต่างตกตะลึง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพวกอูจินหวน

เพียงแต่พวกเขากลับคิดไม่ถึง ว่าคนรุ่นหลังอย่างหลินสวินจะถึงกับฆ่าลูกหลานทั้งกลุ่มในขุมอำนาจของพวกเขาภายในแดนมกุฎ!

“เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่”

บนใบหน้าผอมแห้งของอูจินหวนเจือกลิ่นอายปะทุดุดัน นางใกล้จะอกแตกอยู่รอมร่อแล้ว

สัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างฮวาซิงฉวี่ ทั่วเฉิงจื่อก็เป็นเช่นนี้ด้วย

ไม่นานพวกเขาก็ล่วงรู้ความจริงของเรื่องราว หนำซ้ำความจริงเหล่านี้ก็ปกปิดไม่ได้แม้แต่น้อย

ภายในแดนเผาเซียน ใครบ้างไม่รู้ว่าในปีแรกที่เทพมารหลินเข้าสู่เมืองเผาเซียน ก็กวาดล้างถิ่นที่พำนักของขุมอำนาจใหญ่อย่างเผ่าอีกาทอง เผ่าวิญญาณสมุทร เขาวิญญาณหมื่นอสูรจนเกลี้ยง

ตอนนั้นเลือดอาบย้อมเมืองเผาเซียน กลิ่นคาวเลือดอบอวลไม่สร่างถึงสิบวัน!

“เจ้าเดรัจฉานแซ่หลินนี่สมควรตายหมื่นหน!”

อูจินหวนส่งเสียงกรีดร้องอย่างโกรธแค้นหาใดเปรียบออกมา

“แค้นนี้ไม่อาจปรานีได้แล้ว!”

ฮวาซิงฉวี่หน้าดำคล้ำเขียว จิตใจช้ำชอก

“แล้วตัวเขาล่ะ”

จากนั้นไอสังหารของพวกเขาพวยพุ่ง สายตาจับจ้องไปยังอุโมงค์อากาศ กลิ่นอายทั่วร่างแต่ละคนระเบิดปะทุ เหมือนรอจับคนมาเขมือบ

ในที่นั้นบรรยากาศเงียบกริบ เหล่าผู้กล้าใจสั่นสะท้าน

มีเพียงเสียงลมพัดหวิวๆ บนสนามรบโบราณ ยิ่งเพิ่มบรรยากาศเงียบสงัดให้ดูวังเวงขึ้นมาอีก

‘เจ้าเฒ่าพวกนี้ดูท่ายังไม่รู้สภาพตัวเองแน่ชัด พวกเขายังคิดว่านี่คือเมื่อสิบปีก่อนอยู่จริงๆ หรือ’

ในที่นั้นมีคนแค่นหัวเราะในใจเช่นกัน

นี่เป็นผู้แข็งแกร่งขอบเขตมกุฎระดับราชันกลุ่มหนึ่ง ทันทีที่ปรากฏตัวก็ได้รับการต้อนรับอย่างเอิกเกริกจากผู้อาวุโสในสำนัก

และมีแต่พวกเขาที่รู้ดี ว่าหลินสวินในตอนนี้น่าสะพรึงปานใด

เพียงแต่พวกเขาไม่ได้เอ่ยเตือน ด้วยไม่เกี่ยวข้องกับตนจึงไม่สนใจ และไม่อยากเข้าไปเอี่ยวในการต่อสู้นี้

ถึงอย่างไรโลกภายนอกสุดท้ายก็ต่างจากแดนมกุฎอยู่ดี

เบื้องหลังสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างพวกอูจินหวนล้วนมีขุมอำนาจใหญ่แต่ละแห่งหนุนอยู่ ไม่อาจไม่ทำให้ผู้คนกริ่งเกรง

ขณะเดียวกันมกุฎราชันเหล่านี้ก็มีบางส่วนไม่ได้มองสถานการณ์ของหลินสวินในแง่ดีเท่าไร

หากให้ขุมอำนาจใหญ่เหล่านั้นรู้เรื่องราวที่เขาก่อขึ้นในแดนมกุฎ เกรงว่าคงโกรธจนอริยะออกโรงโจมตีเอง!

หลินสวินอาจจะแข็งแกร่งอย่างที่สุด ถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นที่หนึ่งแห่งแดนมกุฎ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของอริยะ

“หลินสวินออกมาแล้ว!” มีคนตะโกนดังลั่น

สวบ!

และพร้อมกันนั้นฟากฟ้าเหนือเมืองนำทางนั่น เงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งเดินออกมาจากอุโมงค์อากาศ อาภรณ์โบกพลิ้ว บุคลิกปราศจากมลทิน เป็นหลินสวินนั่นเอง

ชั่วขณะเดียวสายตาทั่วลานต่างมองไป บรรยากาศก็ยิ่งเงียบกริบและกดดันมากขึ้น

อากาศดุจดั่งจะควบแข็ง

“เจ้าก็คือเด็กเหลือขอแซ่หลิน?”

ยามนี้อูจินหวนทนไม่ไหวเป็นคนแรก ส่งเสียงเย็นเยียบออกไป ไอสังหารน่าสะพรึงก็แผ่ออกจากร่างของนางประหนึ่งครอบคลุมฟ้าดินก็ไม่ปาน

สีหน้าหลินสวินราบเรียบ กวาดสายตามองทั่วลาน สุดท้ายก็มองไปที่ร่างสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันอย่างพวกอูจินหวน ฮวาซิงฉวี่ทั้งกลุ่ม

“แค่พวกเจ้าเหล่านี้เองหรือ” เขาขมวดคิ้ว คล้ายแปลกใจอยู่บ้าง

สิ่งนี้พาให้ทั่วลานตะลึงอึ้งค้าง สมกับเป็นเทพมารหลิน ตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงระดับนี้ยังหน้าไม่เปลี่ยนสี อาจหาญเปี่ยมล้น

“เจ้าเดรัจฉานนี่ ยังกล้าปากดีอีก!”

พวกฮวาซิงฉวี่ ทั่วเฉิงจื่อ ซางฮูหยินต่างยบันดาลโทสะแล้ว “คิดจริงๆ หรือว่ามีอริยะหญิงลึกลับคนนั้นคอยหนุนหลังเจ้า แล้วพวกข้าจะไม่กล้าฆ่าเจ้า”

หลินสวินกล่าวเรียบเฉย “พวกเจ้าพูดผิดแล้ว ตอนนี้ข้าเองก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชันคนหนึ่ง ต่อกรกับพวกเจ้า… ข้าคนเดียวก็พอแล้ว”

ประโยคเดียวเผยท่าทางเหยียดหยันเต็มเปี่ยม

บุคคลขอบเขตมกุฎส่วนหนึ่งต่างลอบทอดถอนใจในใจ นี่ก็คือหลินสวิน ต่อให้ตกอยู่ในสถานการณ์แบบใดล้วนอาจหาญเต็มเปี่ยม

แต่สำหรับพวกอูจินหวนแล้ว นี่ก็คือการท้าทายความน่ายำเกรงของพวกเขาอย่างใหญ่หลวง!

คนรุ่นหลังคนหนึ่ง เคี่ยวกรำในแดนมกุฎสิบปีก็กล้ามองข้ามหัวพวกเขาเหล่านี้เสียแล้ว?

และการกระทำในเวลานี้ของหลินสวิน ก็เป็นการมองข้ามพวกเขาจริงๆ!

เขาเพียงทอดสายตามองฟ้าดินทั่วสี่ทิศครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหยียบย่างบนห้วงอากาศ เดินมุ่งหน้าไกลออกไป

ตั้งแต่ต้นจนจบไม่สนใจเสียงร้องโหวกเหวกของพวกอูจินหวนอีกเลย

ท่าทางเพิกเฉยมองข้ามเช่นนี้ของเขา พริบตาเดียวก็จุดชนวนไอสังหารที่ระงับไม่อยู่ตั้งแต่ต้นของพวกอูจินหวนทันที

“เจ้าเดรัจฉาน! ไปตายซะ!”

อูจินหวนกรีดร้อง ทั่วร่างเปล่งแสงพลางพุ่งกระโจนออกไป ฝ่ามือหนึ่งยื่นคว้ารุนแรง กรงเล็บยักษ์สีทองเจิดจ้าไร้ทัดเทียมสายหนึ่งควบรวม แหวกอากาศตะปบไปทางหลินสวิน

ตูม!

ห้วงอากาศล้วนแตกทลายเป็นเสี่ยงๆ

ผู้แข็งแกร่งละแวกใกล้เคียงไม่มีใครไม่ถอยหลบ ไม่ยินยอมถูกหอบม้วนเข้าไปในการเข่นฆ่านี้

น่าเสียดาย เผชิญหน้ากับการโจมตีน่าสะพรึงยิ่งเช่นนี้ หลินสวินยังคงเพิกเฉยเหมือนไม่รู้สึกรู้สา เพียงแค่มุ่นหัวคิ้วมองไปไกลๆ ในใจไม่เข้าใจยิ่ง

เขาย้อนกลับมาดินแดนรกร้างโบราณครั้งนี้ สิ่งที่ควรค่าให้เขาสนใจก็คืออริยะ ทว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่พบกลิ่นอายของอริยะคนใดเลย

นี่เห็นได้ชัดว่าออกจะผิดปกติ

ปัง!

กรงเล็บยักษ์สีทองนั่นยังไม่ทันเฉียดใกล้หลินสวินก็ถูกพลังไร้รูปสายหนึ่งสลายทิ้ง ละอองแสงระเบิดแตก

สิ่งนี้ทำให้อูจินหวนอึ้งงันสีหน้าเคร่งขรึม พลันตระหนักได้ว่าหลินสวินคงจะไม่ใช่พวกระดับราชันทั่วไป มิน่าถึงได้กล้ามั่นใจไร้กลัวเกรงเช่นนี้

“ฆ่า!”

อีกด้านหนึ่งฮวาซิงฉวี่เองก็อดไม่อยู่ลงมือแล้ว โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง เงามายาสัตว์ปีศาจนับพันหมื่นพุ่งทะยานขึ้นฟ้า เบียดเสียดแน่นขนัด แปรเปลี่ยนเป็นสายน้ำหลากพุ่งใส่หลินสวิน

ตูมโครม!

รอบกายหลินสวินแสงมรรคเคลื่อนโคจร การโจมตีที่ดูเหมือนน่ากลัวอย่างที่สุดนี้ก็แตกสลายท่ามกลางเสียงสนั่นหวั่นไหว มลายหายไปในห้วงอากาศ

ทอดมองจากไกลๆ ทั้งตัวเขาประดุจหมื่นวิชาไม่อาจกล้ำกราย!

สัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างพวกอูจินหวน ฮวาซิงฉวี่ต่างหัวใจสะท้าน ในสมองได้สติขึ้นมาไม่น้อย ตระหนักได้ว่าคู่ต่อสู้ชักเริ่มไม่ชอบมาพากล

แต่จากสายตาของพวกเขาที่มองไป กลับไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายคุกคามใดๆ จากตัวหลินสวินสักนิด ราบเรียบเกินไปแล้ว

นี่มีเพียงความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งคือความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว

อีกอย่างก็คือ ปราณของอีกฝ่ายหนาแน่นและน่าสะพรึงเกินไป ทำให้พวกเขามองตื้นลึกไม่ออก!

“ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้ก็ต้องรั้งตัวเจ้าเดรัจฉานนี่ไว้ให้ได้”

ซางฮูหยินออกโจมตีแล้ว เรียกดาบบินสีเขียวมรกตเล่มหนึ่งออกมา เสียงวู้มดังขึ้นหนึ่งคราก็กรีดเฉือนห้วงอากาศประหนึ่งกรีดกระดาษ ฉีกทึ้งห้วงอากาศออกเป็นทางยาวสายหนึ่ง คมกริบจนน่าสยดสยอง

นี่คืออาวุธราชันประจำตัวนาง ถูกฟูมฟักนานถึงพันปี อานุภาพย่อมเหนือธรรมดา

สวบ!

ดาบบินเขียวมรกตบั่นเฉือนลงมา เร็วประหนึ่งสายฟ้าสีเขียว แสบตาจนผู้คนต่างลืมตาไม่ขึ้น

การโจมตีนี้ทำเอาผู้แข็งแกร่งมากมายในที่นั้นต่างหวาดผวา

พลังของราชันระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด มีหรือจะธรรมดาทั่วไป

ทว่าสิ่งที่ทำให้คนนับไม่ถ้วนปากอ้าตาค้างก็คือ หลินสวินยกมือขึ้นเหมือนเด็ดดอกไม้ คว้าดาบบินเขียวมรกตเล่มนั้นไว้ในมือ

การเคลื่อนไหวสบายๆ เป็นธรรมชาติ เรียบง่ายธรรมดา กลับพาให้ทั่วลานต้องหันมอง สูดหายใจเฮือก

วู้ม!

ดาบบินเขียวมรกตนั่นดิ้นขลุกขลักอย่างรุนแรงอยู่ในฝ่ามือหลินสวิน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหลุดพ้น

ไกลออกไปซางฮูหยินหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่แล้ว

“พวกเจ้า รู้หรือไม่อะไรที่เรียกว่ามกุฎราชัน”

หลินสวินหันตัวไป เอ่ยถามราบเรียบ

พวกอูจินหวนตกใจแกมสงสัย หยั่งเชิงจนถึงตอนนี้ทำให้พวกเขาเยือกเย็นลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว ตระหนักได้ว่าท่าไม่ดีสักเท่าไร

ผู้ที่สามารถฝึกปราณจนถึงระดับพวกเขา ไม่มีใครโง่งมสักคน

โดยเฉพาะตอนที่เห็นหลินสวินคว้ามือสบายๆ หนึ่งครา ก็ควบคุมอาวุธราชันประจำตัวของซางฮูหยินได้อย่างแน่นหนา พวกเขาก็เข้าใจในทันที

หลินสวินในตอนนี้ไม่ใช่คนรุ่นหลังที่พวกเขาจะเหยียดหยันกดข่มได้อีกแล้ว แต่เป็นตัวตนในขอบเขตมกุฎระดับราชันที่แท้จริงคนหนึ่ง!

สิ่งที่ทำให้ในใจพวกเขากลัดกลุ้มที่สุดคือ ถึงแม้ช่วงเวลาฝึกปราณของพวกเขาจะเนิ่นนาน แต่กลับไม่รู้และไม่เคยได้สัมผัสอย่างแท้จริง ว่าอะไรที่เรียกว่าพลังของขอบเขตมกุฎระดับราชัน

และเพราะเป็นเช่นนี้ จึงทำให้ก่อนหน้านี้พวกเขากล้าลงมืออย่างห้าวหาญไร้เกรงกลัว

“หลินสวิน เจ้าฆ่าศิษย์ทั้งหมดในขุมอำนาจพวกข้า ต่อให้เจ้าเป็นคนที่เหยียบย่างระดับมกุฎราชันคนหนึ่ง ก็ยากจะพ้นความตายไปได้!”

ทั่วเฉิงจื่อเอ่ยปากเยียบเย็น “หากตอนนี้เจ้ายอมโดยดี บางทีพวกเราอาจจะให้โอกาสเจ้ากลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่อีกครั้ง”

ถึงแม้น้ำเสียงจะเลือดเย็น แต่ใครต่างก็ฟังออก ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปแล้ว ไม่กล้ายโสโอหังอีก กล้าเพียงแค่พูดจาข่มขู่เช่นนั้น

แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้อง ต่อให้หลินสวินจะเป็นระดับมกุฎราชัน แต่เขาจะเอาอะไรไปสู้กับขุมอำนาจใหญ่พวกนั้น

“ก็จริง พวกเจ้าฝึกปราณจนป่านนี้ยังไม่เคยพบเห็นขอบเขตมกุฎระดับราชันมาก่อน ย่อมไม่รู้ว่าขอบเขตนี้หมายถึงอะไรเป็นธรรมดา ข้าช่างถามเหลวไหลนัก”

หลินสวินหัวเราะหยันตัวเอง

แต่ประโยคนี้พอตกถึงหูพวกอูจินหวน กลับเสมือนกำลังหัวเราะเยาะความเบาปัญญาของพวกเขา ทำให้สีหน้าพวกเขาไม่น่าดูถึงขีดสุด

มีเพียงราชันที่อยู่ในขอบเขตมกุฎเช่นเดียวกันพวกนั้น ถึงจะเข้าใจความรู้สึกของหลินสวินที่สุด ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้

เจ้าเฒ่าพวกนี้เกรงว่ายังไม่ทันตระหนักได้ ว่ายุคสมัยที่พวกเขาเป็นตัวแทนนั้น นับแต่นี้ต่อไปจะกลายเป็นอดีตและถูกพัดเลือนหายไป

ดินแดนรกร้างโบราณในภายภาคหน้า จะต้องมีบุคคลขอบเขตมกุฎมาคอยชี้นำอย่างแน่นอน!

“เจ้าเดรัจฉานน้อย ในอาณาเขตเผ่าอีกาทองของข้ายังกล้าจองหองปานนี้ ข้าว่าเจ้าคร้านจะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ!”

ความมั่นใจของอูจินหวนเปี่ยมล้น เพราะหุบเขาตะวันคล้อยที่เป็นแหล่งพำนักของเผ่าอีกาทองก็อยู่ห่างออกไปแปดพันลี้เท่านั้น

และเป็นเวลานี้ที่หลินสวินลงมือแล้ว

ชิ้ง!

กลางฝ่ามือดาบบินเขียวมรกตเล่มนั้นส่งเสียงหึ่งๆ พุ่งโฉบออกมาโดยพลัน เร็วจนน่าเหลือเชื่อ และดุดันถึงขั้นเกินกว่าจินตนาการ

พรวด!

ต่อมาหัวของหญิงชราอย่างอูจินหวนก็ลอยคว้างขึ้นกลางอากาศ เลือดดั่งน้ำพุสาดกระเซ็น

พริบตานั้น สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดคนหนึ่งก็ถูกสังหารทั้งอย่างนี้!

เรียบง่ายสบายๆ บั่นเฉือนศัตรูในพริบตา ภาพนองเลือดที่เหนือความคาดหมายระดับนี้ซัดสะเทือนทั่วลานโดยพลัน

“เจ้า…”

ฮวาซิงฉวี่จากเขาวิญญาณหมื่นอสูรหน้าเปลี่ยนสีทันควัน เพียงแต่เขาเพิ่งคิดจะพูดอะไรก็รู้สึกเจ็บปวดที่ลำคอ เบื้องหน้าดำมืด สูญเสียสติครองตัวโดยพลัน

และหัวของเขาก็ลอยคว้างขึ้นกลางอากาศ ลากเป็นเส้นโค้งที่งดงามสยดสยองสายหนึ่ง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท