Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1352 ฟ้าส่งเสียงร่ำไห้

ตอนที่ 1352 ฟ้าส่งเสียงร่ำไห้

ฝ่ามือนั่น ราวกับภิกษุเทพมาเยือนโลก ตัดศีรษะของอริยะแท้คนหนึ่ง!

ทั้งลานตื่นตะลึง ตกใจอย่างควบคุมไม่อยู่

อริยะแท้ หลอมรวมกฎเกณฑ์อริยมรรค คงอยู่คู่กาลสมัย ส่องแสงคู่สุริยันจันทรา เป็นการดำรงอยู่ที่สูงที่สุดในโลกอย่างแน่นอน

แต่ตอนนี้ อริยะแท้อย่างอูซิวทงไม่เพียงแค่ถูกฉีกทึ้งปีก ศีรษะของเขาก็ถูกตัดไปด้วย!

ทว่าอริยะไม่ได้ฆ่าง่ายขนาดนั้น

ทันใดนั้นอูซิวทงมีแสงอริยะไหลเวียนทั้งตัว ศีรษะและปีกของเขางอกขึ้นมาอีกครั้ง มีเพียงสีหน้าที่ขาวซีดขึ้นมาก เห็นได้ชัดว่าพลังดั้งเดิมบาดเจ็บอย่างหนัก

นี่ก็คืออริยะ!

ระดับอริยะแทบจะฝึกรวมสามมรรคาอย่างการหลอมกาย หลอมปราณ หลอมจิต ความแข็งแกร่งของชีวิตใกล้เคียงอมตะไม่เสื่อมสลาย

เหตุใดโลกนี้จึงมีพลังแห่งเจตจำนงและพลังจิตวิญญาณของเมธีจำนวนนับไม่ถ้วนผ่านการกัดกร่อนของกาลเวลาแล้ว ยังสามารถคงอยู่ได้ถึงตอนนี้

เพราะพลังที่พวกเขาครอบครอง ไปถึงขั้นตะลึงโลกตั้งนานแล้ว!

“เจ้าเดรัจฉาน!”

อูซิวทงคำรามเดือดดาลอย่างที่สุด ถูกหลินสวินสังหารจนน่าอนาถเช่นนี้ภายใต้สายตาของทุกคน ทำให้เขาทำหน้าไม่ถูกแล้ว

“ตาย!”

สายตาเย็นเยียบของหลินสวินราวกับสายฟ้า พุ่งเข้ามาอีกครั้ง

ในระหว่างนั้นอริยะคนอื่นๆ ต่างลงมือ สำแดงวิชาอริยมรรคที่น่ากลัวปิดล้อมหลินสวิน แต่กลับไม่อาจขวางการเคลื่อนไหวของเขาได้

ก็เห็นการโจมตีอันหนาแน่นนั่นถูกพลังที่กระจายออกจากร่างหลินสวินทำลายล้างทั้งหมด แม้แต่สมบัติอริยะบางส่วนก็ล้วนสะเทือนลอยกลับไป

แข็งกร้าวจนน่าสับสน!

ส่วนอูซิวทงที่กำลังระเบิดความโกรธสีหน้าก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ในใจเต้นระทึก ลอบอุทานว่าแย่แล้ว

แต่ตอนนี้เองหลินสวินได้ชูหมัดสังหารเข้ามาแล้ว

ตูม!

ไอสังหารดั่งฟ้าดาราใหญ่ไพศาล รวบรวมไว้ในพลังหมัดสว่างไสว แข็งแกร่งจนเหลือเชื่อ ราวกับเทพไท้ยกภูเขาเทพขึ้นแล้วกระแทกลงมาอย่างหนัก

อูซิวทงสะบัดปีกทันที ลมคลั่งม้วนตัว หลบหนีอย่างรวดเร็ว แต่ร่างกายกลับเหมือนอยู่เหนือการควบคุม ยากจะเคลื่อนย้าย ถูกพลังหมัดอันน่ากลัวนั่นปกคลุม

“ไม่…” เขาคำราม หน้าตาบิดเบี้ยวไปหมด เสียอาการอย่างสิ้นเชิง รับรู้ได้ถึงความสิ้นหวังและหวาดกลัวอย่างหนึ่ง

ปัง!

หมัดเดียว โจมตีศีรษะของเขาจนระเบิดอีกครั้ง

สิ่งที่ทำให้คนหวาดกลัวและใจสั่นที่สุดคือ ภายใต้การปกคลุมของพลังหมัดนี้ ร่างกายของอูซิวทงล้วนระเบิดออกเป็นชุ่นๆ ตั้งแต่ศีรษะลงมา

เลือดกระจายซัดสาด

ต่อให้ร่างอริยะแท้ของอูซิวทงแทบจะเป็นอมตะไม่มีวันเสื่อมสลาย แต่ก็ต้านหมัดในตอนนี้ของหลินสวินไม่ได้!

ตูม! ไอลีนโนเวล

พลังหมัดของหลินสวินราวกับหินโม่ยักษ์ ทำให้ฟ้าดินแถบนั้นล้วนถูกลบล้าง ส่วนเลือดเนื้อ จิตวิญญาณ กลิ่นอายของอูซิวทง…

ทั้งหมดล้วนแปรเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่านภายใต้การบดขยี้น่าสะพรึง ไม่เหลือแม้แต่ซาก ตายอย่างหมดจด!

ทั้งลานเงียบกริบ

สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างมาก ยากจะเชื่อ

ตายแล้วหรือ

ในสายตาของคนโลก ระดับอริยะราวกับการดำรงอยู่ที่ไม่เสื่อมคลาย ในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมาน้อยมากที่จะมีผู้แข็งแกร่งระดับอริยะแท้ร่วงหล่น

เพราะอริยะ ฆ่าได้ยากเกินไป!

แม้เหลือความคิดเพียงเสี้ยวเดียว เลือดพิสุทธิ์หยดเดียว ล้วนสามารถหล่อหลอมร่างต้นแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้ง แข็งแกร่งจนเหลือเชื่อ

แต่ตอนนี้เวลานี้ ร่างกาย จิตวิญญาณและการรับรู้ของอูซิวทงล้วนถูกทำลาย!

ห่างออกไปเยี่ยจิ่วเซียว เซี่ยวปู้กุยและเหวยฉางอวิ๋นต่างอึ้งไป นี่… เหลือเชื่อเกินไปแล้ว…

ตูม!

และตอนนี้เองเหนือห้วงฟ้าปรากฏแสงเลือดสดชั้นหนึ่ง กลิ่นอายราวกับมหามรรคพังทลายโคจรอยู่รางๆ มีเสียงร่ำไห้โศกเศร้าดังสะท้อน

“เมื่ออริยะร่วงหล่น ฟ้าส่งเสียงร่ำไห้!”

ในเมืองที่อยู่ห่างออกไปไกล ผู้ฝึกปราณจำนวนนับไม่ถ้วน สิ่งมีชีวิตวิญญาณมากมาย ยามนี้ต่างสั่นไปทั้งตัว สายตาจ้องท้องฟ้าที่ถูกสีเลือดย้อมแดงโดยไม่คลาดสายตา

ผ่านไปกี่ปีแล้ว ก็วันนี้แหละที่มีบุคคลระดับอริยะแท้ร่วงหล่น!

“ตายแล้ว!”

ในสนามรบเหล่าอริยะก็สังเกตเห็นทันทีว่าฟ้าประทานปรากฏการณ์ประหลาด

สีหน้าของพวกเขามืดทะมึนไม่แน่วนิ่ง สายตาที่มองหลินสวินก็แฝงความประหลาดใจและหวาดกลัว การตายของอริยะแท้คนหนึ่ง ทำให้พวกเขาได้รับผลกระทบกระเทือนจิตใจไปด้วย

เป็นพลังที่ใครทิ้งเอาไว้กันแน่ ถึงกับทำให้มดปลวกระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดตัวหนึ่งมีอานุภาพสังหารอริยะ

“ทุกคนอย่าได้ลนลาน บนโลกนี้ไม่เคยมีระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดที่ก้าวข้ามระดับอริยะไปได้ เด็กนี่ยืนหยัดได้ไม่นานหรอก!”

ฝ่าเจิ้งแห่งอารามกษิติครรภ์เอ่ยเสียงขรึม เสียงธรรมดังก้องสะท้อนในฟ้าดิน

พวกขู่หยา ซางเย่ โม่คงเองก็รู้เรื่องนี้ดี ต่างสายตาวูบไหว ไม่ได้ถูกการตายของอูซิวทงข่มขวัญจนถอยหนี

“ลาหัวโล้น เริ่มจากฆ่าเจ้าก่อน!”

สีหน้าหลินสวินเย็นเยียบ เงาร่างพุ่งขึ้นกลางอากาศ เคลื่อนออกไปอย่างรวดเร็ว

“ข้าเอง!”

ซย่าโหวเสวี่ยแห่งลัทธิบูชาจันทร์หัวเราะเยาะ รถศึกสำริดบินล่องกลางอากาศ ไอมงคลพวยพุ่ง แสงเลือดท่วมท้น สภาพการณ์ผิดปกติจนน่าตกใจ

เคร้ง!

หลินสวินยื่นมือข้างหนึ่งออกไปตบใส่รถศึกสำริดผ่านห้วงอากาศ ซัดจนมันปลิวออกไป

นี่น่าอักอ่วนมาก

เพราะตั้งแต่เปิดศึกมา นี่เป็นครั้งที่สามที่ซย่าโหวเสวี่ยถูกซัดถอยออกไปแล้ว

ในเวลาเดียวกันหลินสวินก็โบกมือ ดาบหักโฉบพุ่ง ปรากฏอยู่ในฝ่ามือและกวาดเบาๆ คราหนึ่ง

เสียงปังดังสนั่น ลูกประคำสารีริกธาตุที่ฝ่าเจิ้งเรียกออกมาถูกฟันผ่าจนกระเด็น

นี่ทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลังแข็งแกร่งมาก!

“เจ้าเดรัจฉาน ยังกล้ากระทำการชั่วช้าอีกหรือ”

โม่คงตวาด แปลงเป็นมีมือนับพัน ราวกับตะขาบยักษ์อย่างไรอย่างนั้น แขนทุกข้างล้วนเงินยวง พรั่งพรูแสงอริยะ ก่อนประกบเข้าหากันส่งประทับฝ่ามือนับร้อยพันออกมา

ฟุ่บๆๆ!

ผลคือในชั่วพริบตานั้น ตอนที่ดาบหักวาดออกมา แขนร้อยพันข้างของโม่คงถูกเฉือนจนร่วงไปกว่าครึ่ง ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแขนขาดกระจัดกระจายลง เลือดไหลหรู น่าสยองอย่างที่สุด

ภาพนี้สะเทือนเหล่าอริยะอีกครั้ง

“ทุกท่าน ขืนยังออมมืออีก ไม่แน่ว่า… จะมีคนก้าวสู่จุดจบเช่นเดียวกับอูซิวทง!”

โก่วเจิ้นซานแห่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬพูดอย่างเย็นชา

“ฆ่า!”

ศึกใหญ่ปะทุ อริยะทุกคนต่างโจมตีอย่างไม่ออมมือพร้อมกัน เรียกใช้ไพ่ตาย ห้วงอากาศปั่นป่วนในชั่วขณะ ฟ้าดินราวกับถูกตีแตก

“ไม่ห่วงหน้าอย่างสิ้นเชิงแล้ว…”

ห่างออกไปเยี่ยจิ่วเซียวเองก็ทนมองไม่ได้แล้ว ในใจเดือดดาลถึงขีดสุด

“จะไปเสริมกำลังหรือไม่”

เซี่ยวปู้กุยถามอีกครั้ง

“พวกเจ้าลองดูอีกครั้ง”

นัยน์ตาของเหวยฉางอวิ๋นแฝงแววแปลกประหลาด

เยี่ยจิ่วเซียวและเซี่ยวปู้กุยมองไป ก็เห็นจุดที่ผิดปกติทันที

เหนือท้องฟ้า แม้หลินสวินอยู่ภายใต้สถานการณ์อลหม่านสู้ศึกรอบด้าน ทว่าไม่ได้ถูกกำราบ กลับดูห้าวหาญอย่างที่สุด

เขาประหนึ่งกลายเป็นเทพไท้ เงาร่างเบียดตัวเต็มห้วงฟ้า รุ้งเทพสีทองอร่ามวนล้อม เผยความรู้สึกยิ่งใหญ่สมบูรณ์และไร้ขอบเขตออกมา

ท่วงท่าของเขาราวกับมีพลังอันไร้เทียมทาน ดับสลายทุกการโจมตี!

อริยะทั้งกลุ่มกลับถูกพลังที่ปลดปล่อยออกมาม้วนพัน เหมือนอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรที่ลมพายุโหมกระหน่ำ

“นี่… เป็นพลังที่น่ากลัวระดับใด”

เซี่ยวปู้กุยพูดอึ้งๆ

“ข้าสงสัยว่า เจ้าหนูนี่มีความเป็นไปได้สูงมาก ว่าได้รับการเกื้อหนุนจากพลังต่อสู้ที่หลงเหลืออยู่ของอริยะลำดับชั้นราชัน มิฉะนั้นไม่มีทางมีความสามารถในการสังหารอริยะได้แน่”

เยี่ยจิ่วเซียวใคร่ครวญ

“ราชันอริยะหรือ นี่นับว่าเป็นไปได้…”

เหวยฉางอวิ๋นสายตาล่องลอย

สำหรับระดับอริยะ ก็แบ่งเป็นลำดับชั้นมากมาย

อริยะเทียมอยู่ในชั้นต่ำที่สุด เพราะชีวิตนี้พวกเขาไม่มีหวังที่จะบรรลุระดับที่สูงกว่านี้ได้แล้ว พลังต่อสู้ก็สิ้นสุดอยู่ที่ระดับอริยะแล้ว

อริยะแท้ กลับมีรากฐานพลังที่จะแสวงหาอริยมรรค สามารถหลอมรวมพลังกฎเกณฑ์อริยมรรค

สูงกว่าอริยะแท้ ก็คือมหาอริยะ สามารถสรรสร้างมหามรรคที่แท้จริงของตน มหามรรคนี้ก็เหมือนมหามรรคมากมายที่เผยแพร่อยู่ในโลก มีคุณสมบัติในการเผยแพร่สู่โลก และสืบทอดตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน

พูดง่ายๆ ก็คือ ‘เผยแพร่มรรคสู่ใต้หล้า!’

เหนือกว่ามหาอริยะ ก็คือราชันอริยะ ลำดับชั้นนี้ก็เหมือนกับจุดสูงสุดแห่งเหล่าอริยะ สัมผัสโชควาสนาแห่งฟ้าดิน เพียงหยิบจับลวกๆ ก็สามารถใช้พลังแห่งฟ้า ชี้หินเป็นทอง หล่อหลอมหมื่นลักษณ์ในจักรวาลขึ้นใหม่ เปลี่ยนความผุพังเน่าเปื่อยเป็นความมหัศจรรย์!

ราวกับเทพผู้สร้างที่ทำได้ทุกอย่าง

นี่ก็คือระดับอริยะ อริยะเทียม อริยะแท้ มหาอริยะ ราชันอริยะ ทุกลำดับชั้นล้วนคลุมเครือมหัศจรรย์ เพียงพอจะทำให้ผู้คนใช้ทุกอย่างในชีวิตไปแสวงหา!

ในสายตาพวกเซี่ยวปู้กุย เยี่ยจิ่วเซียว หากหลินสวินยืมพลังที่ราชันอริยะทิ้งเอาไว้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นที่เขาสามารถใช้พลังปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดไปสังหารอริยะได้อย่างง่ายดาย ก็สามารถอธิบายได้ง่ายแล้ว

ตูม!

ทันใดนั้นซางเย่ที่อยู่ในสนามรบสะบัดมือเปล่า พลันปรากฏมุกอริยะปักสมุทรสิบสองเม็ด เปลี่ยนเป็นกระบวนผนึกสายหนึ่งเข้ากำราบหลินสวิน

นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นไพ่ตายของนางแล้ว เป็นไพ่ใบสุดท้าย

คนอื่นๆ ก็โจมตีอย่างบ้าคลั่ง ไม่ได้เก็บงำใดๆ เช่นกัน ใช้วิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของตน

เพียงแต่มุกอริยะปักสมุทรสิบสองเม็ดนั้น กลับถูกเจดีย์สมบัติที่หลินสวินพลิกมือเรียกออกมากระแทกปลิว

เจดีย์สมบัติแปดเหลี่ยม ราวกับหลอมจากกระจกเทพทองศักดิ์สิทธิ์ มีศักยภาพกำราบสี่ทิศ เหยียดหยันทั่วหล้า พร่างพรมแสงมรรคทองนิลกาฬอันงดงามทะลวงฟ้า

เจดีย์สมบัติไร้อักษร!

เพียงแต่พอถูกหลินสวินในตอนนี้ใช้ เจดีย์นี่กลับแตกต่างจากที่ผ่านมาชัดเจน แผ่อานุภาพสุดยอด สว่างไสวไร้ขอบเขต

ตามที่ศิษย์พี่เสวียนคงแห่งคีรีแห่งดวงกมลพูด เจดีย์นี้ลึกลับอย่างที่สุด ราวกับคงอยู่นิรันดร์ มีนัยแห่งความยิ่งใหญ่ไม่เสื่อมสลาย จึงมีชื่อเรียกว่า ‘มหามรรคไร้สิ้นสุด’!

ครืนโครม!

เจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดจรัสแสง ระลอกคลื่นราวกับกระแสน้ำม้วนตัว

เสียงพรูดดังขึ้น ซางเย่กระอักเลือดถอยไป สีหน้าซีดเซียว ในแววตาเต็มไปด้วยความตกใจ มุกอริยะปักสมุทรสิบสองเม็ดนั่น เป็นสมบัติอริยะที่สืบทอดมานับแต่บรรพบุรุษของเผ่าวิญญาณสมุทร!

แต่ตอนนี้กลับถูกบดขยี้ภายในการโจมตีเดียว!

“ฟัน!”

ขู่หยาคำราม กระบี่มรรคสีเขียวเคลื่อนออกไป เพียงพอจะเฉือนฟันตะวันจันทราและดาราให้ร่วงหล่น ตอนที่เจตกระบี่นี้พุ่งขึ้นมา แม้แต่ท้องฟ้ายังถูกกรีดขาด!

ฉึก!

แทบจะในเวลาเดียวกัน กระบี่เทพเล่มหนึ่งโฉบออกจากมือหลินสวิน ยาวสองฉื่อสามชุ่น เก่าแก่ทึมเทา หนาหนักไร้ความคม

เป็นสมบัติชั้นยอดที่ช่วงชิงมาจากมืออวิ๋นชิ่งไป๋ กระบี่เทียมฟ้า!

ชิ้งๆ!

เจตกระบี่สองสายประชันกัน ส่งเสียงกึกก้องสะเทือนหู

หลังจากนั้นก็เห็นกระบี่เทียมฟ้าแทงทำลายการขวางกั้นทั้งหมด ซัดกระบี่มรรคสีเขียวของขู่หยาให้กระเด็นออกไป

ฟุ่บ!

จากนั้นกระบี่เทียมฟ้าใช้อานุภาพที่ไม่อาจขวางกั้นแทงใส่หน้าอกขู่หยา ตอกตรึงไว้กลางอากาศ ไวเกินไปแล้ว ทุกอย่างล้วนง่ายดาย!

คนแข็งแกร่งเช่นขู่หยา ในฐานะอริยะกระบี่ที่แท้จริงคนหนึ่งยังสกัดไว้ไม่อยู่ แสงอริยะคุ้มครองกายล้วนถูกโจมตียับเยิน

“กระบี่เทียมฟ้า…” ขู่หยาอึ้งงัน เขาคิดไม่ถึงว่ากระบี่พิทักษ์สำนักของสำนักตน จะสังหารตนด้วยวิธีเช่นนี้

“ศิษย์พี่!”

ห่างออกไปอวี๋ซิวเบิกตาถลน

ฟุ่บ!

ทันใดนั้นกระบี่เทียมฟ้าก็สั่นคราหนึ่ง ทั้งตัวขู่หยาระเบิดแตก หมอกเลือดลอยอวล ภายใต้การม้วนตัวของปราณกระบี่อันน่ากลัวนั่น เลือดเนื้อที่ระเบิดจากร่างของเขาล้วนถูกบดขยี้ดับสลาย

นี่ทำให้ทุกคนตะลึง กะทันหันเกินไปแล้ว!

ตอนนี้หลินสวินได้โจมตีไปยังฝ่าเจิ้งแห่งอารามกษิติครรภ์อีก หากว่ากันถึงผู้ที่เขาชิงชังที่สุด แน่นอนว่าย่อมเป็นผู้ฝึกปราณของอารามกษิติครรภ์

และในเวลาเดียวกัน เหนือท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยแสงเลือดอีกครั้ง มีเสียงราวกับเทพมารร่ำไห้ดังก้องอยู่กลางฟ้าดิน

อริยะแท้อย่างขู่หยาร่วงหล่น ทำให้เกิดเสียงครวญจากฟากฟ้าอีกครั้ง!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท