Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1356 เรียกได้ว่าวันแห่งอริยะร่วงหล่น

ตอนที่ 1356 เรียกได้ว่าวันแห่งอริยะร่วงหล่น

กลางหุบเขาที่เขียวชอุ่มแห่งหนึ่ง

วู้ม!

พร้อมๆ กับห้วงอากาศไหวกระเพื่อม ปรากฏเงาร่างของหลินสวินและท่านเมี่ยวเสวียน

ก่อนหน้านี้ยังอยู่ในสนามรบสังหารอริยะที่กำลังนองเลือดไร้ทัดเทียม พริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวในหุบเขาที่ประหนึ่งตัดขาดจากโลกแห่งนี้ ทำเอาหลินสวินอดอึ้งงันเล็กน้อยไม่ได้เช่นกัน

“ยังดี ไป๋อวี้จิงนี่ไม่ใช่พวกไม่มีเหตุผล จึงไม่ได้ลงมือต่อ”

นัยน์ตาท่านเมี่ยวเสวียนลึกล้ำ ทอดมองเวิ้งฟ้าอันไกลโพ้น เผยรอยยิ้มผ่อนคลายออกมาคล้ายยกภูเขาออกจากอก

ไป๋อวี้จิง?

หลินสวินเองก็อดตกใจไม่ได้ นึกถึงคำกลอนบทหนึ่งขึ้นมา

สรวงสวรรค์นครหยกขาว สิบสองหอห้าเมือง

เซียนโอบศีรษะข้า ผูกเกศาประทานอมตะ

ปีนั้นเขาเคยมุ่งหน้าไปยังนครหยกขาว เข้าสู่หอหลายแห่งในสิบสองหอเพื่อทำการทดสอบ

กระทั่งใน ‘หอหลอมจิตวิญญาณ’ ของสิบสองหอ เคยพบเห็นชื่อของไป๋อวี้จิงนี้ถูกสลักไปบนป้ายศิลาของอันดับที่หนึ่ง

อันดับที่สอง คือบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าผู้บุกเบิกสำนักกระบี่เทียมฟ้า

อันดับที่สาม ก็คืออวิ๋นชิ่งไป๋

แต่ว่าตอนนั้นหลินสวินได้ทำลายสถิติของหอหลอมจิตวิญญาณทิ้งนานแล้ว สลักชื่อของตนไว้บนป้ายศิลาที่เป็นตัวแทนของอันดับหนึ่ง!

หลินสวินจำได้แม่น ตอนนั้นยามตนผ่านบททดสอบกลายเป็นที่หนึ่งหอหลอมจิตวิญญาณ ชื่อที่เป็นตัวแทนของ ‘ไป๋อวี้จิง’ ยังเคยส่งเสียงหัวเราะกึกก้องและเป็นอิสระออกมาสายหนึ่ง…

‘มรรคข้าไม่เดียวดาย สหายน้อย วันที่เจ้ากลายเป็นอริยะ หลุดออกจากกรงมหามรรค ก็จะเป็นเวลาที่เจ้ากับข้าได้พบกัน…’

จากนั้นเสียงก็เลือนหายไป

หลังออกจากหอหลอมจิตวิญญาณ หลินสวินเคยเอ่ยถึงถึง ‘ไป๋อวี้จิง’ กับเซียวชิงเหอ เซียวชิงเหอเองก็ทำท่าว่าไม่รู้จัก แต่กลับพูดถึงข่าวลือที่เป็นตำนานน่าตื่นตาอย่างหนึ่งออกมา

ตำนานเล่าว่า ก่อนหน้าที่บรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าจะบุกเบิกสำนักในนครหยกขาว สิบสองหอห้าเมืองก็มีมาก่อนแล้ว

และสิบสองหอห้าเมืองนี้ เป็นไปได้ว่าจะเป็นเซียนคนหนึ่งรังสรรค์ขึ้นเองกับมือ

หนำซ้ำคนทั่วหล้าต่างรู้กันว่า แม้แต่ยามที่บรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าอยู่ระดับกระบวนแปรจุติ ก็เคยเข้าไปทดสอบในสิบสองหอห้าเมืองด้วยเช่นกัน!

ตอนนั้นเซียวชิงเหอสงสัยว่า ‘เซียน’ คนนี้ก็คือไป๋อวี้จิง

แต่หลินสวินกลับแย้งการคาดเดาข้อนี้ ในมุมมองของเขาหากไป๋อวี้จิงเป็นเซียนในตำนานคนนั้น เหตุใดต้องไปทดสอบในหอหลอมจิตวิญญาณของสิบสองหออีก

และเป็นตอนนั้นที่หลินสวินคาดเดาอย่างใจกล้าอย่างหนึ่ง ไป๋อวี้จิงนี้ เป็นไปได้สูงว่าอาจเป็นผู้สืบทอดของเซียนคนนั้น!

เพราะในคำกลอนนั้นมีประโยคหนึ่งที่ว่า ‘เซียนโอบศีรษะข้า ผูกเกศาประทานอมตะ’

“เจ้ารู้จักไป๋อวี้จิงด้วยหรือ”

ท่านเมี่ยวเสวียนเหลือบมองหลินสวินปราดหนึ่ง

“ข้าเคยเห็นชื่อนี้ในหอหลอมจิตวิญญาณในนครหยกขาว”

หลินสวินตอบตามจริง

“ไม่ผิด นั่นก็คือสิ่งที่ไป๋อวี้จิงเหลือทิ้งไว้”

ท่านเมี่ยวเสวียนพยักหน้า “เมื่อครู่ในสนามรบ คิดว่าเจ้าก็รับรู้ถึงพลังอันน่ากลัวถึงขีดสุดวูบหนึ่งแล้ว พลังนั่นก็เป็นของไป๋อวี้จิง”

“เป็นเขา?”

หลินสวินเลิกคิ้วขึ้น

“เจ้าอย่าเข้าใจผิด ต่อให้เขาลงมือ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าคนรุ่นหลังอย่างเจ้า”

เมี่ยวเสวียนกล่าวอธิบาย “ไป๋อวี้จิงเป็นอัครบุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้นานมาแล้วก็มุ่งสู่แนวหน้าดินแดนรกร้างโบราณ เข่นฆ่าศัตรูแปดดินแดน คอยพิทักษ์แนวป้องกันของดินแดนรกร้างโบราณร่วมกันกับผู้เก่งกาจคนอื่นๆ ของดินแดนรกร้างโบราณอย่างเงียบๆ”

“สรุปง่ายๆ คนผู้นี้เป็นยอดวีรชนโดดเด่นแห่งยุค ยักษ์ใหญ่เทียมฟ้าคนหนึ่ง ปณิธาน จิตวิญญาณ บุคลิกล้วนเหนือกว่าคนธรรมดา”

“จากที่ข้าคาดเดา เหตุที่เขาออกมือ เกรงว่าคงเป็นเพราะไม่อยากมองดูเจ้าฆ่าอริยะมากมายขนาดนั้นตาปริบๆ ยังผลให้เสียพลังระดับอริยะของดินแดนรกร้างโบราณ”

หลินสวินร้องอืมหนึ่งครา ไม่ได้ออกความเห็น

เขาไม่เคยใช้จุดนี้มาตัดสินความดีร้ายของคนผู้หนึ่ง

บางทีในสายตาของท่านเมี่ยวเสวียน ไป๋อวี้จิงอาจเป็นผู้อาวุโสที่ควรค่าแก่การเคารพเลื่อมใสและน่าเกรงขามคนหนึ่ง

แต่หลินสวินไม่อาจประเมินส่งเดช

“ขอบังอาจถามผู้อาวุโส เขากับสำนักกระบี่เทียมฟ้ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร”

จู่ๆ หลินสวินก็เอ่ยถาม

ตอนนี้ ชื่อของไป๋อวี้จิง (นครหยกขาว) นี้ยังเป็นตัวแทนของชื่อเขตแคว้นหนึ่งด้วย ในนั้นมีสิบสองหอห้าเมือง ถูกสำนักกระบี่เทียมฟ้าปกครองอยู่

“ความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา”

ท่านเมี่ยวเสวียนกล่าว “พูดให้ถูกคือ บรรพจารย์บุกเบิกสำนักของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ก็คือศิษย์น้องของไป๋อวี้จิง เพียงแต่ต่อมาบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าแยกตัวบุกเบิกสำนัก เปิดภูเขาก่อตั้งสำนักใหม่ นับตั้งแต่กลายเป็นบรรพจารย์แห่งสำนัก ไป๋อวี้จิงก็ใช้กระบี่สัญจรเพียงลำพัง อยู่อย่างสันโดษเรื่อยมา”

ในใจหลินสวินสั่นสะเทือน ศิษย์พี่ของบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้า? นี่ไม่ได้หมายความว่า ไป๋อวี้จิงเป็นบุคคลยุคบรรพกาลที่ยังมีชีวิตอยู่คนหนึ่งหรือ

“เจ้าวางใจได้ ต่อให้ไป๋อวี้จิงรู้ว่าเจ้ากับสำนักกระบี่เทียมฟ้าผูกแค้นกัน ก็คงไม่ลงมือจัดการเจ้าด้วยตัวเองอย่างแน่นอน”

เห็นได้ชัดว่าท่านเมี่ยวเสวียนมั่นอกมั่นใจยิ่ง “ต่อไปขอเพียงเจ้ามีโอกาสมุ่งหน้าสู่สนามรบแนวหน้าของดินแดนรกร้างโบราณ ก็จะเข้าใจเองว่าไป๋อวี้จิงเป็นคนอย่างไร หากไม่ใช่เพราะมีเขาและอัครบุคคลทั้งกลุ่มช่วยกันพิทักษ์สนามรบแนวหน้า แนวป้องกันของดินแดนรกร้างโบราณนี้… เกรงว่าคงถูกกองกำลังของแปดดินแดนอื่นๆ บุกโจมตีตั้งนานแล้ว”

หลินสวินขมวดคิ้วกล่าว“สนามรบแนวหน้าของดินแดนรกร้างโบราณไม่เหมือนกันกับสมรภูมิเก้าดินแดนหรอกหรือ”

ท่านเมี่ยวเสวียนกล่าวยิ้มๆ “ทั้งเหมือนและไม่เหมือน พูดให้ถูกคือ สนามรบแนวหน้ามีเพียงผู้แข็งแกร่งสูงกว่าระดับอริยะจึงจะมีคุณสมบัติมุ่งหน้าไป ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ไปมีแต่ไปตายเปล่า”

“พูดง่ายๆ คือสนามรบแนวหน้า เป็นสถานที่เข่นฆ่าของผู้แข็งแกร่งที่ปราณสูงกว่าระดับอริยะ”

“ส่วนสมรภูมิเก้าดินแดน ก็ตั้งอยู่ในเขตแดนอื่นๆ บางส่วน เขตแดนเหล่านี้ตั้งอยู่ระหว่างดินแดนรกร้างโบราณและแปดดินแดนอื่น”

“เพราะข้อจำกัดของกฎเกณฑ์ฟ้าดิน สมรภูมิเก้าดินแดนสามารถรองรับมากสุดได้แค่ระดับอริยะแท้ ส่วนผู้แข็งแกร่งต่ำกว่าอริยะแท้ กลับไม่ได้มีจำกัดมากมายนัก”

“เจ้าเคยมุ่งหน้าสู่ภูเขาไร้มรณะ เข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ก็น่าจะรู้ดี บนภูเขาเทพไร้มรณะก็มีช่องทางมุ่งสู่สมรภูมิเก้าดินแดนสายหนึ่ง”

“แต่โดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกปราณต่ำกว่าระดับราชันนั้นยากยิ่งที่จะเอาชีวิตรอดในสมรภูมิเก้าดินแดนได้”

“ดังนั้นสมรภูมิเก้าดินแดน โดยส่วนใหญ่ก็เป็นสถานที่ต่อสู้ดุเดือดของผู้แข็งแกร่งที่อยู่ระดับราชันขึ้นไป และต่ำกว่าอริยะแท้”

“อีกทั้งที่ต่างจากสนามรบแนวหน้า คือสมรภูมิเก้าดินแดนเปิดใช้งานน้อยครั้งยิ่ง เว้นแต่ประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จึงจะมีโอกาสเปิดใช้งาน”

ท่านเมี่ยวเสวียนเห็นได้ชัดว่ามีความอดทนยิ่ง โดยเฉพาะตอนที่อธิบายเรื่องราวของ ‘สนามรบแนวหน้า’ และ ‘สมรภูมิเก้าดินแดน’ ไม่ปิดซ่อนแต่อย่างใด

หลินสวินย่อมรู้ความคิดความอ่านของอีกฝ่ายดี จึงประสานมือกล่าวว่า “ผู้อาวุโสวางใจ เรื่องที่ข้ารับปากย่อมไม่เปลี่ยนแปลงแน่ หากวันใดการต่อสู้ของเก้าดินแดนปะทุขึ้นมาจริงๆ ข้าย่อมไม่ปลีกตัวหนีปณิธานแน่”

ท่านเมี่ยวเสวียนกล่าวอย่างปลื้มใจ “เช่นนี้ดีที่สุด”

หลินสวินตระหนักได้อย่างว่องไว ว่าท่านเมี่ยวเสวียนจากหอฤทธิ์เทพผู้นี้คล้ายให้ความสำคัญกับตนถึงที่สุด นับตั้งแต่ปรากฏตัวจนถึงตอนนี้ก็ระบายยิ้มโอบอ้อมมาโดยตลอด

สิ่งนี้ทำให้หลินสวินแปลกใจและซึ้งใจยิ่ง ถูกคนชื่นชมและให้ความสำคัญ แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะท่านเมี่ยวเสวียนหาใช่คนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งด้วย

“สหายน้อย การเข่นฆ่าครั้งนี้ก็ควรปิดม่านได้แล้ว ต่อไปเจ้ามีแผนอย่างไร”

จู่ๆ ท่านเมี่ยวเสวียนก็เอ่ยถาม

“ข้าตั้งใจว่าจะไปตัดขาดบุญคุณความแค้นบางส่วนในอดีต จากนั้นค่อยกลับสู่โลกชั้นล่างสักเที่ยว”

หลินสวินกล่าวถึงตรงนี้ในใจก็กระตุกไหว เอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้จะกลับสู่โลกชั้นล่างอย่างไร”

ท่านเมี่ยวเสวียนขมวดคิ้ว นิ่งเงียบเนิ่นนานก่อนส่ายหน้ากล่าวว่า “ก่อนมหายุคจะมาเยือน หอฤทธิ์เทพของข้าเคยคาดคำนวณไว้ พลังกฎระเบียบฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงน่าตะลึง ช่องทางที่มุ่งหน้าสู่โลกชั้นล่างทั้งหมดล้วนล่มสลายพังลงพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงของพลังกฎระเบียบ”

“ตอนนี้หากเจ้าอยากกลับสู่โลกชั้นล่าง มีเพียงสองวิธีเท่านั้น”

ใจหลินสวินสั่นไหว กล่าวว่า “หวังว่าผู้อาวุโสจะชี้แนะ”

“อย่างแรก คือสัญจรเส้นทางเดิมก่อนหน้านี้ ถึงแม้เพราะการเปลี่ยนแปลงของพลังกฎระเบียบ ทำให้ช่องทางที่มุ่งสู่โลกชั้นล่างพังทลาย แต่ในมือของสำนักส่วนหนึ่งยังครอบครองพิกัดของโลกที่ข้ามผ่านห้วงความว่างเปล่าอยู่ สามารถทำการเคลื่อนย้ายระหว่างห้วงอากาศว่างเปล่าได้”

เมื่อได้ยินวิธีการแรก ในใจหลินสวินก็ปฏิเสธแล้ว จากสถานการณ์ในปัจจุบันของเขา เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้วิธีนี้เป็นจริงขึ้นมา

“อย่างที่สองกก็คือไปเผ่าทอเมฆา เชิญ ‘ผู้นำทาง’ ในเผ่าของพวกเขาเสาะหาช่องทางเส้นหนึ่งในห้วงความว่างเปล่าให้เจ้า”

เมื่อท่านเมี่ยวเสวียนกล่าวถึงตรงนี้ หลินสวินก็นึกถึงไฉไฉ่ขึ้นมาทันที อดลอบถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ ไม่ได้ หรือว่าสุดท้ายมีแต่ต้องไปขอความช่วยเหลือที่เผ่าทอเมฆาจริงๆ

จู่ๆ ท่านเมี่ยวเสวียนก็ระบายยิ้มบางๆ คล้ายมองความลำบากใจในใจหลินสวินออก ก่อนล้วงกล่องสำริดที่ปิดผนึกลายมรรคแน่นขนัดกล่องหนึ่งออกมาและยื่นให้หลินสวิน “สหายน้อย ข้าแนะนำให้เจ้ามุ่งหน้าไปขอความช่วยเหลือที่เผ่าทอเมฆา ขอแค่พกกล่องนี้ไปด้วย พวกเขาจะต้องตอบรับคำขอของเจ้าแน่นอน”

หลินสวินตกใจอยู่บ้าง

ท่านเมี่ยวเสวียนยิ้มละไมกล่าวว่า “รับไว้เถิด ถือเสียว่าเป็นบุญสัมพันธ์ที่ข้าสั่งสมมาเพื่อสรรพชีวิตในดินแดนรกร้างโบราณ หวังว่าภายหน้าสหายน้อยจะไม่ลืมเรื่องที่เคยรับปากไว้”

หลินสวินยิ้มขื่น “ผู้อาวุโส ต่อให้ท่านไม่นำของสิ่งนี้ออกมา เรื่องที่ข้ารับปากย่อมต้องทำให้สำเร็จอยู่แล้ว”

ท่านเมี่ยวเสวียนหัวเราะลั่นอย่างเบิกบาน

ท้ายที่สุดหลินสวินก็ยังรับน้ำใจครานี้ไว้

“สหายน้อย ขอตัวลา”

ไม่นานท่านเมี่ยวเสวียนก็สะพายตะกร้าหนังสือ ก่อนลอยล่องจากไป

“ผู้อาวุโสโปรดรักษาตัวด้วย”

หลินสวินมองส่งอีกฝ่ายจากไป ในใจก็อดทอถอนใจไม่ได้ บนโลกนี้อาจจะมีพวกชั่วช้าสามานย์มากมาย แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ขาดแคลนอริยบุคคลแท้จริงเหมือนอย่างท่านเมี่ยวเสวียน!

ฟู่!

หลินสวินถอนหายใจอัดอั้นเฮือกยาว กวาดสายตามองทั่วสี่ทิศ จากนั้นก็เสาะหาถ้ำภูเขาละแวกใกล้เคียงแห่งหนึ่ง เริ่มนั่งสมาธิสงบจิต

ภายในกายของเขาพลังจิตสถูปปลิดชีพจวนเหือดแห้งเต็มที ซ้ำผ่านการต่อสู้สังหารอริยะมาฉากหนึ่ง พาให้เขาเองก็รู้สึกเหนื่อยล้าหาใดเปรียบเช่นกัน

สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณแห่งตนบังเกิดความรู้สึกอ่อนล้าที่ยากจะแบกรับอย่างหนึ่ง จำเป็นต้องทำการปรับลมหายใจ

……

และในเวลาเดียวกันนี้ ท่านเมี่ยวเสวียนกลับสู่สนามรบอีกครั้ง ทอดมองสีเลือดเข้มข้นไร้ทัดเทียมบนบนเวิ้งฟ้า ได้ยินเสียงมรรคโหยไห้ที่วังเวงเนิ่นนานไม่หยุดหย่อนนั่น ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้

“หวังว่า ข้าจะมองคนไม่ผิด…”

จากนั้นท่านเมี่ยวเสวียนก็นั่งขัดสมาธิอยู่ใต้เวิ้งฟ้า หยิบหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์และพู่กันวสันต์สารทในตะกร้าหนังสือออกมา บันทึกลงไปว่า

‘มหายุคปีที่สิบ อริยะมากมายร่วงหล่น กลางฟ้าดินเสียงหวนไห้ไม่ว่างเว้น เลือดชโลมผืนฟ้าคราม การต่อสู้ระดับนี้ นับแต่โบราณกาลไม่เคยมีมาก่อน ใคร่ขอจารึกไว้เป็นเครื่องเตือนจิตแก่ชนรุ่นหลัง’

‘จากความเห็นข้า หลินสวินผู้นี้มีจิตใจไม่ย่อท้อต่อหมื่นยุค อานุภาพไม่ผันเปลี่ยน ความลุ่มลึกแห่งรากฐานของเขาทำให้ข้าเองก็ยังมองตื้นลึกไม่ออก ภายใต้มหายุคที่เรียกกัน จะต้องมียอดอัจฉริยะปรีชาแห่งยุคเป็นผู้นำสมัย หวังเพียงแต่วันหน้าคนผู้นี้จะมีจิตใจห่วงใยปวงชีวิตในดินแดนรกร้างโบราณก็เพียงพอ’

‘นอกจากนี้ วันนี้เวลานี้ มีอริยะเก้าคนร่วงหล่นอยู่ที่นี่ เรียกได้ว่าเป็น ‘วันแห่งอริยะร่วงหล่น’’

เขียนเสร็จท่านเมี่ยวเสวียนก็หยัดตัวขึ้น ชุดบัณฑิตพลิ้วไหว หายลับไปกลางอากาศ

ในเมืองหม่อนหิมะที่ห่างจากที่แห่งนี้แปดพันลี้ ฝนห่าใหญ่ที่แดงฉานราวกับเลือดตกลงมาเก้าวันเต็มๆ เจิ่งนองฟ้าดินแถบนี้จนกลายเป็นสีแดงโลหิตบาดตาทั้งผืน

ในวันนี้เหล่าอริยะถูกสังหาร ใต้หล้าล้วนแตกตื่น!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท