เสียงเอะอะโวยวายดังออกมา จากนั้นเจ้าดำกัดเนื้อชิ้นใหญ่ วิ่งออกมาก่อน
ตามมาด้วยคนสามคน วิ่งออกมา แต่ละคนถือตะเกียบในมือ เปลือยท่อนบน สวมกางเกงขาสั้น ดูทุเรศทุรัง
โดยเฉพาะชายหนุ่มด้านหน้า ยังเคี้ยวเนื้อชิ้นใหญ่ในปาก มือซ้ายมีกระบี่ฟ้าคราม ด้านบนเต็มไปด้วยคราบมัน
“ไอ้เจ้าสุนัข ฉันจะดูสิว่าแกจะหนีไปไหน……”
ทันใดนั้น ชายหนุ่มหยุดลง เงยหน้ามองอาจารย์อี้ชิง อ้าปากค้าง พูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “อา……อาจารย์!”
สีหน้าอาจารย์อี้ชิงโมโหมาก มองทั้งสามคน และมองกระบี่ฟ้าครามในมือของชายหนุ่ม
อาจารย์อี้ชิงแผดเสียงออกมาว่า “หานเฟิง ฉันให้กระบี่ฟ้าครามกับแก แกเอามาหั่นเนื้ออย่างนั้นเหรอ”
หานเฟิงโดนพ่นน้ำลายใส่เต็มหน้า ลู่ฝานที่ยืนข้างๆ พลอยซวยไปด้วย
ไอ้เลว ตอนอาจารย์อี้ชิงคลุ้มคลั่ง เสียงนี้ น้ำลายนี้ ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ
ลู่ฝานอดถอยหลังไปสองก้าวไม่ได้
หานเฟิงหลับตา ใช้มือปาดบนใบหน้า อาจารย์อี้ชิงแผดเสียงอีกว่า “แกเช็ดอะไร”
หานเฟิงหลับตาปี๋ พูดอย่างน่าสงสาร “ไม่ได้เช็ดอะไรครับ เช็ดฝุ่นครับๆ”
อีกสองคนก้มหน้ากลั้นขำ อาจารย์อี้ชิงชี้ไปที่ทั้งสองคน แล้วพูดว่า “ฉู่เทียน ฉู่สิง แกสองคนไม่ต้องขำ กลับห้องไปสวมเสื้อให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้”
ทั้งสองตอบรับเบาๆ แล้วรีบวิ่งไปทันที
หานเฟิงใช้โอกาสนี้ เช็ดน้ำลายบนหน้าจนแห้ง แล้วพูดว่า “อาจารย์ งั้นผมกลับไปสวมเสื้อก่อนนะครับ”
อาจารย์อี้ชิงเบิกตาโต พูดว่า “เล่าเรื่องให้ฉันฟังก่อน”
หานเฟิงหลับตา เวรละ เมื่อกี้เช็ดไปเสียเปล่าแล้ว
หานเฟิงพูดช้าๆ ว่า “อาจารย์ ก็อาวุธของศิษย์พี่รอง กับศิษย์พี่สาม มันพังหมดแล้ว หามีดไม่ได้ ก็เลยเอากระบี่ฟ้าครามมาหั่นเนื้อครับ”
อาจารย์อี้ชิงพูดเสียงดังว่า “พังได้ยังไง พวกแกไปหาเรื่องใครมาอีก”
หานเฟิงพูดว่า “ขึ้นเขาไปล่าสัตว์ เจอนกอัคคีม่วง เก่งกาจมาก เผาอาวุธของศิษย์พี่ทั้งสองจนหมด ถ้าผมไม่มีกระบี่ฟ้าคราม คงหนีไม่พ้นนกอัคคีม่วงแน่ๆ”
“นกอัคคีม่วงเหรอ” อาจารย์อี้ชิงขมวดคิ้วเบาๆ ทำไมเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
ทันใดนั้น อาจารย์อี้ชิงนึกขึ้นมาได้
“พวกนายไม่ได้ไปตีนกกระจอกอัคคีม่วง ของอาจารย์เมิ่งอวิ๋น คณะบังเหินแล้วใช่ไหม”
อาจารย์อี้ชิงเบิกตาโต
หานเฟิงก็ตกใจมากเช่นกัน พยายามลืมตาข้างหนึ่ง แล้วพูดว่า “อาจารย์หมายถึงตัวที่บนปีกมีลายอัคคีสีม่วงใช่ไหมครับ”
อาจารย์อี้ชิงพยักหน้าพูด “ถูกต้อง พวกแกทำอะไรมัน”
หานเฟิงกลืนน้ำลาย แล้วพูดว่า “เป็นสัตว์เลี้ยงของอาจารย์เมิ่งอวิ๋นจริงเหรอ! อาจารย์ไม่ได้เข้าใจผิดใช่ไหม”
อาจารย์อี้ชิงตวาดว่า “รีบบอกมา พวกแกทำอะไรมัน”
หานเฟิงหันไปมองเจ้าดำ ที่อยู่ข้างลู่ฝาน
ตอนนี้เจ้าดำกำลังกินเนื้ออย่างมีความสุข
ทั้งสามคนมองเจ้าดำ ลางไม่ดีผุดเข้ามาในหัวอาจารย์อี้ชิง
หานเฟิงชี้ไปที่เนื้อในปากเจ้าดำ แล้วพูดว่า “อาจารย์ นี่คือนกกระจอกอัคคีม่วงตัวนั้น”
อาจารย์อี้ชิงช็อกไปทันที ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
ลู่ฝานหนังตากระตุก นี่จะไม่ทำให้อาจารย์ทั้งสองคนสู้กันใช่ไหม
เจ้าดำไม่รู้ว่าพวกเขาพูดอะไรกัน เงยหน้ากลืนเนื้อที่เหลือลงไปในท้อง บนพื้นเหลือแค่กระดูกกองหนึ่ง
ลมเย็นพัดผ่าน สีหน้าอาจารย์อี้ชิงเปลี่ยนสี
จากนั้นตวาดออกมาเสียงดังเหมือนฟ้าผ่า
“ฉู่เทียน ฉู่สิง พวกแกสองคนออกมา”
ต่อมา ลู่ฝานเห็นฉู่เทียนกับฉู่สิงวิ่งออกมา ในสภาพยังสวมกางเกงไม่เรียบร้อย แต่พวกเขาไม่ได้วิ่งมาทางอี้ชิง แต่วิ่งออกไปข้างนอกอย่างไม่คิดชีวิต
“อาจารย์คลุ้มคลั่งแล้ว รีบหนีเร็ว!”
ฉู่เทียนตะโกนเสียงดังออกมา ทั้งสองวิ่งแยกกันอย่างบ้าคลั่ง การเคลื่อนไหวร่างกายราวกับสายลม
ตอนนี้หานเฟิงตั้งสติได้ อยากวิ่งหนีเหมือนกัน
อาจารย์อี้ชิงคว้าหานเฟิง ที่กำลังจะวิ่งหนีเอาไว้ จากนั้นตัวหายไปจากที่เดิม จับฉู่เทียน กับฉู่สิง มาพร้อมกัน
“พวกแกสามคน ทำให้ฉันโมโหจริงๆ”
อาจารย์อี้ชิงถกแขนเสื้อขึ้นอย่างไม่รอช้า และเริ่มต่อย ฉู่สิง ฉู่เทียน และหานเฟิง ก็ไม่หยุด ใช้พลังปราณของแต่ละคนเหมือนกัน หานเฟิงพูดเสียงดังว่า “ศิษย์พี่ทั้งสองท่าน อาจารย์เอาจริงแล้ว เราสู้สุดชีวิตเลย”
พูดจบ ทั้งสามคนแยกเป็นสามทาง เริ่มโจมตีอาจารย์อี้ชิงกลับ
ทันใดนั้น พลังปราณปลดปล่อยไปทั่ว หินกระจาย บ้านไม้ที่อยู่ใกล้สุด ก็ไม่รอด โดนพลังปราณการต่อสู้ ที่แผ่ออกมา สั่นสะเทือนจนทรุดลง
ลู่ฝานยืนอยู่ที่เดิม มองภาพตรงหน้าแล้วอ้าปากค้าง
โอเค นี่คือคณะหนึ่งเดียวในตำนาน
ทำไมเขารู้สึกว่าเหมือนตัวเองมาผิดที่
เจ้าดำเรอออกมาอย่างสบายใจ มาถึงก็เจอของอร่อยแบบนี้ มันคิดว่าตัวเองมาถูกที่แล้ว!