Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1367 เหยียบย่างบนทางหวนกลับ

ตอนที่ 1367 เหยียบย่างบนทางหวนกลับ

หลันชิงเหินตัดสินใจทันที สีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยถามว่า “ทุกคน ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยคุณชายหลินสักครั้ง พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไร”

คนใหญ่คนโตใน ณ ที่นั้นต่างพยักหน้า ไม่ลังเลสักนิด!

ท่าทีต่างจากในตอนแรกโดยสิ้นเชิงแล้ว

เพราะหลินสวินไม่เพียงช่วยพวกเขาเผ่าทอเมฆาคลี่คลายวิกฤตใหญ่ครั้งหนึ่ง ยังนำกล่องสำริดที่หายไปหลายปีกลับมาให้พวกเขาอีกด้วย!

ไม่ว่าจะเป็นเพื่อตอบแทนบุญคุณหรือเหตุผลอื่นใด พวกเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้แล้ว

หลันชิงเหินยิ้มพึงพอใจแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้ข้าก็จะไปขอความช่วยเหลือจากมหาราชครู มีเขาออกหน้าด้วยตัวเอง เชื่อว่าต้องช่วยคุณชายหลินหาเส้นทางปลอดภัยไปสู่โลกชั้นล่างได้แน่”

หลินสวินลุกขึ้นกุมมือคารวะพลางเอ่ยว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสทุกท่านที่ช่วยให้ข้าสมปรารถนา”

ด้วยพลังปราณของเขาในตอนนี้ก็ทัดเทียมกับทุกคนที่อยู่ในโถงได้ แต่ตัวมีฐานะเป็นสหายของไฉไฉ่ หลินสวินจึงไม่วางโตในเวลาเช่นนี้

“คุณชายหลินไม่ต้องเกรงใจ ช่วยเหลือเจ้าได้ก็เป็นเกียรติแก่เผ่าทอเมฆาของข้า”

หลันชิงเหินยิ้มเอ่ย

ทันใดนั้นบรรยากาศในโถงใหญ่ก็เปลี่ยนเป็นสุขสันต์เกลียวกลมอีกครั้ง

คืนวันนั้นหลันชิงเหินก็นำข่าวดีมาให้ มหาราชครูเผ่าทอเมฆารับปากว่าจะช่วยเหลือแล้ว

ทว่าจะสืบหาพิกัดที่แปรเปลี่ยนจากกฎระเบียบห้วงอากาศ จำเป็นต้องระมัดระวังและใช้เวลาเตรียมการมากยิ่งนัก มหาราชครูตัดสินใจว่าจะลงมือในอีกเจ็ดวันให้หลัง

หลินสวินไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้

……

สามวันผ่านไป

ยานสำเภาสีม่วงลำหนึ่งแล่นทะลุเวิ้งฟ้า โรยตัวลงมายังอาณาเขตของเผ่าทอเมฆา

ทันใดนั้นเยี่ยเฉินที่แต่งกายด้วงชุดสีม่วง เอวคาดเข็มขัดหยกขาว หัวสวมเกี้ยวประดับขนนก ท่วงท่าสง่างามเดินลงมาจากยานสำเภา

“นายน้อย ที่นี่ก็คือเผ่าทอเมฆา”

ข้างๆ เยี่ยเฟยเหิงเอ่ยเสียงนอบน้อม

เยี่ยเฉินสองมือไพล่หลัง ประเมินโดยรอบพลางเปรยว่า “ท่านลุงหก แม้คราวนี้ท่านจะทำผิดไป แต่ในเมื่อหลินสวินเลือกให้อภัยท่าน ข้าก็คร้านจะไปเอาความกับท่านอีก แต่ว่า…”

เยี่ยเฟยเหิงพลันรู้สึกบีบคั้นในใจ

“เรื่องของเผ่ากระจิบลำนำทอง ท่านลุงหกคงรู้ว่าควรทำเช่นไรกระมัง”

เยี่ยเฉินเอ่ย

เยี่ยเฟยเหิงพยักหน้าไม่หยุด “ข้าทราบแล้ว!”

อิงตามศักดิ์ เยี่ยเฉินยังต้องเรียกเยี่ยเฟยเหิงว่าลุง แต่ในตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวย เยี่ยเฉินเป็นผู้สืบทอดตระกูลเพียงผู้เดียว ฐานะย่อมต่างกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยี่ยเฉินในตอนนี้ยังเป็นมกุฎราชันที่มีปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดผู้หนึ่ง ได้รับความสำคัญอย่างยิ่งยวดจากเหล่าอริยะตระกูลเยี่ย ถูกมองว่าเป็นเสาหลักของตระกูลเยี่ยในภายภาคหน้า

ในสถานการณ์เช่นนี้ เยี่ยเฟยเหิงก็ไม่กล้าเอาฐานะผู้อาวุโสมาอวดอ้างอยู่แล้ว!

“ไป ไปพบหลินสวินเสียหน่อย!”

ขณะที่พูด เยี่ยเฉินไม่มองเยี่ยเฟยเหิงแม้แต่ครั้งเดียว สาวเท้าเดินไปยังเผ่าทอเมฆา

……

“ขนาดนายน้อยของตระกูลเยี่ยยังมาด้วยตัวเอง!”

“คุณชายหลินคนนั้นมีความสามารถจริงๆ”

“เบาๆ หน่อย”

วันนี้เผ่าทอเมฆาได้ต้อนรับแขกพิเศษอย่างเยี่ยเฉิน ทำให้ทุกคนในเผ่าอื้ออึงกันไปหมด หลายคนยังวิพากษ์วิจารณ์อย่างตื่นเต้นดีใจอยู่

ตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวย ตระกูลนี้เป็นถึงยักษ์ใหญ่อันดับต้นๆ ของแดนดาราอุดร ส่วนเยี่ยเฉินมีฐานะเป็นผู้สืบทอดตระกูลเยี่ยรุ่นต่อไป ด้วยฐานะเช่นนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะดูเบาได้

ทว่าทุกคนต่างรู้ดีว่าที่เยี่ยเฉินมาคราวนี้ไม่ได้เป็นเพราะพวกเขาเผ่าทอเมฆามีหน้ามีตา แต่มาเพื่อพบหลินสวิน

ในเวลานี้เยี่ยเฉินพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “หลินสวิน ในเมื่อเจ้ามาที่แดนดาราอุดรแล้ว เหตุใดถึงไม่บอกข้าสักคำ”

หลินสวินเอ่ยอย่างประหลาดใจ “เจ้ายังยกพลมากล่าวโทษจริงหรือนี่”

เยี่ยเฉินกล่าวอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่า “ข้าจะกล้าไปเอาความกับเทพมารหลินอย่างเจ้าได้อย่างไรกัน ท่านปู่สามของข้า อ้อ ก็คือตาแก่เยี่ยจิ่วเซียวคนนั้นให้ข้าเอาข้อความมาบอกเจ้าด้วยตัวเองว่า ไม่เกินสิบปี เกรงว่าการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนจะเปิดฉากขึ้น เจ้าต้องเข้าร่วมด้วย”

หลินสวินร้องอืมครั้งหนึ่ง เขาย่อมเข้าร่วมแน่นอน เพียงแต่เขากลับประหลาดใจอยู่บ้าง เรื่องแบบนี้ยังต้องให้เยี่ยเฉินมาส่งข่าวเองเป็นพิเศษด้วยหรือ

เยี่ยเฉินอธิบาย “กึ่งจักรพรรดิไป๋อวี้จิงเอ่ยปากมาแล้วว่า ถ้าเจ้าไม่เข้าร่วม เขาจะไปปลิดชีพเจ้าเป็นคนแรก เรื่องนี้เจ้าจะเอามาล้อเล่นไม่ได้ ต้องปฏิบัติอย่างจริงจัง”

หลินสวินก็เคยได้ยินท่านเมี่ยวเสวียนพูดถึงไป๋อวี้จิง ได้รู้เรื่องราวของคนผู้นี้มาบ้าง

เขาย่อมไม่เห็นว่าคำพูดของอีกฝ่ายเป็นเรื่องล้อเล่น แต่หากพูดว่าหวั่นกลัวหรือครั่นคร้าม กลับไม่เท่าไร

การสนทนาต่อมาก็ผ่อนคลายชื่นมื่นขึ้นมาก

ที่เยี่ยเฉินมาคราวนี้แค่คิดจะมาพบหลินสวินเสียหน่อยเท่านั้น ไม่ได้มีเป้าหมายอื่น

และเมื่อได้รู้ว่าหลินสวินกำลังจะกลับไปโลกชั้นล่าง เขาก็ลูบมือลูบหมัดอยากลอง คิดจะตามไปด้วย ไอลีนโนเวล

ทว่ากลับถูกหลินสวินปฏิเสธอย่างเด็ดขาดว่า “ถ้าสัตว์ประหลาดเฒ่าในตระกูลเยี่ยของเจ้าเหล่านั้นรู้ว่าข้าลักตัวแก้วตาดวงใจตระกูลเยี่ยอย่างเจ้าไปแล้ว คงโกรธข้าเป็นฟืนเป็นไฟแน่”

เยี่ยเฉินถอนหายใจระลอกหนึ่ง “นายน้อยตระกูลเยี่ยบ้าบออะไรกัน ข้าไม่ได้วิเศษวิโสขนาดนั้นเสียหน่อย แต่ถึงอย่างไรข้าก็แซ่เยี่ยอยู่ดี คงทำอะไรบุ่มบ่ามตามอำเภอใจไม่ได้”

“ดื่มเหล้า”

หลินสวินยกจอกเหล้าขึ้น

“มาๆๆ ไม่สู้เมามายสักครั้งในโลกา”

เยี่ยเฉินร้องเอ็ดตะโรขึ้น

เช้าวันรุ่งขึ้น เยี่ยเฉินก็พาเยี่ยเฟยเหิงจากไป

ก่อนไปได้พูดว่า หวังว่าในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนจะได้พบกับหลินสวินอีกครั้ง

……

หลายวันผ่านไป

หลินสวิน จ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกเดินเข้าไปยังสถานที่สำคัญของเผ่าทอเมฆาด้วยกัน ภายใต้การนำทางของหลันชิงเหิน

ที่นี่เป็นแท่นบูชาเก่าแก่แท่นหนึ่ง กลิ่นอายเก่าแก่กระทบใบหน้า มันสร้างขึ้นจากแสงเมฆห้าสีอันได้แก่สีชาด ทอง ดำ ฟ้าและเหลือง งดงามสดใส บริสุทธิ์และน่าเกรงขาม

เหนือแท่นบูชามีวังวนหลุมดำที่หยุดนิ่งหลุมหนึ่งลอยอยู่ ลึกเหมือนไร้ขอบเขต ประหนึ่งทะลวงผ่านไปยังโลกลึกลับอีกแห่ง

“พวกเจ้าเตรียมตัวให้ดี ประเดี๋ยวข้าจะหาอุโมงค์อากาศให้เจ้า พวกเจ้าเพียงต้องจดจำตำแหน่งของพิกัดห้วงอากาศว่างเปล่าเหล่านั้นไว้ให้ดี ก็จะเคลื่อนย้ายระหว่างมิติได้”

ชายชราแก่หง่อม ผมเผ้าหรอมแหรมผู้หนึ่งเอ่ยปากด้วยเสียงแหบแห้ง

เขาก็คือมหาราชครูเผ่าทอเมฆา และได้รับการขนานนามว่า ‘ผู้นำทาง’ ฐานะพิเศษเป็นอย่างยิ่ง ครอบครองพลังอัศจรรย์ในการเสาะหาพิกัดห้วงอากาศ

มหาราชครูพูดพลางมาที่หน้าแท่นบูชา สองมือยกชู

ฮูม!

ทันใดนั้นสัญลักษณ์ฟ้าดาราลึกลับภาพหนึ่งปรากฏออกมาจากฝ่ามือเขา ดวงดาวนับร้อยล้านไหลวนอยู่ภายใน แสงดาวดุจสายฝน ให้ความรู้สึกพิศวงที่ไพศาลไร้สิ้นสุด

“คุณชายหลิน โปรดสวมชุดนี้”

ทันใดนั้นหลันชิงเหินก็นำชุดศึกที่เหมือนทอขึ้นจากไหมเงิน ปกคลุมด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์คลุมเครือชุดหนึ่ง พอถือไว้ในมือก็เหมือนถือธารดาราสายหนึ่งไว้ งดงามเปล่งประกาย

“อาภรณ์สวรรค์ปีกดารา!”

เจ้าคางคกตื่นตะลึงยกใหญ่ นี่เป็นถึงสมบัติอริยะที่อัศจรรย์หาใดเทียบชิ้นหนึ่ง มีประโยชน์วิเศษสามารถทะลวงความว่างเปล่า เพิกเฉยต่อการกีดขวางของพลังห้วงอากาศ

สมบัติสูงค่าเช่นนี้ แม้อริยะเห็นเข้าก็ต้องตาลุกวาวน้ำลายสอ

หลินสวินก็รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก รีบร้อนปฏิเสธ ชุดนี้เป็นถึงสมบัติที่สืบทอดกันมาในเผ่าทอเมฆา เขาจะกล้ารับไว้ได้อย่างไร

“สวมไว้เถิด หากไม่มีสมบัติชิ้นนี้ ด้วยพลังปราณตอนนี้ของเจ้า ยามเคลื่อนย้ายในห้วงอากาศก็จะถูกพลังห้วงอากาศอันน่ากลัวบดขยี้สังหารให้เป็นผุยผงในชั่วพริบตา”

เห็นได้ชัดว่าหลันชิงเหินตัดสินใจไว้ก่อนแล้ว ส่งสมบัตินี้ให้หลินสวินโดยไม่ยอมให้ปฏิเสธ “เจ้าก็ไม่ต้องรู้สึกว่าติดค้างอะไรพวกเรา เจ้าช่วยเผ่าของเราจัดการเรื่องใหญ่ เดิมทีก็เป็นผู้มีบุญคุณของเผ่าข้า”

“ขอบคุณผู้อาวุโส!”

หลินสวินรู้ว่าไม่มีทางปฏิเสธได้จึงรับมา “รอข้ากลับมาดินแดนรกร้างโบราณอีกครั้ง จะต้องคืนสมบัตินี้ให้แน่”

หลันชิงเหินยิ้มให้ ไม่ได้พูดอะไรอีก

“ได้แล้ว”

เบื้องหน้าแท่นบูชาที่อยู่ไกลออกไป มหาราชครูเอ่ยเสียงแหบ

พวกหลินสวินเงยหน้าขึ้นทันควัน ก็เห็นว่าเหนือแท่นบูชาห้าสีนั้น ในตอนนี้วังวนหลุมดำที่เดิมหยุดนิ่งอยู่นั้นค่อยๆ หมุนวนขึ้นมา

ครืน

ในส่วนลึกของวังวน พอจะเห็นรางๆ ว่าพลังกฎระเบียบนับไม่ถ้วนกำลังหลั่งไหลปั่นป่วนราวน้ำตกเชี่ยวกราก แผ่กระจายรังสีน่าหวาดหวั่นออกมา

“นั่นก็คือพายุห้วงอากาศ แข็งแกร่งดุจอริยะ เล็กจ้อยดุจดั่งมด ขอเพียงถูกม้วนตลบเข้าไปภายใน ก็จะถูกฉีกทึ้งบดทำลายในชั่วพริบตา”

ความหวาดหวั่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าคางคก

พลังแห่งห้วงอากาศเป็นหนึ่งในพลังอันน่ากลัวสูงสุดในโลก แม้เป็นอริยะก็ทำได้เพียงครอบครองวิชาเคลื่อนผ่านห้วงอากาศเท่านั้น

“สหายน้อย ถือเข็มทิศสัญลักษณ์นี้ไว้ ภายในมีตำแหน่งพิกัดห้วงอากาศไปยังโลกชั้นล่างสลักอยู่ จำไว้ว่าต้องระมัดระวัง จะให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ไม่ได้”

มหาราชครูส่งเข็มทิศอัศจรรย์ที่เหมือนแกะขึ้นจากกระดูกสัตว์ชิ้นหนึ่งให้หลินสวิน

เขากำชับด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “พลาดไปนิดเดียวก็จะผิดไปเป็นพันลี้ โดยเฉพาะในการเคลื่อนย้ายทะลวงห้วงอากาศ พลาดไปสักนิดก็เป็นไปได้สูงยิ่งที่จะหลงอยู่ในห้วงอากาศว่างเปล่าไร้สิ้นสุด ไม่อาจหลุดพ้นได้ชั่วนิรันดร์”

หลินสวินหวาดหวั่น รับไว้อย่างระมัดระวัง

ต่อมามหาราชครูอธิบายวิชาใช้เข็มทิศสัญลักษณ์เคลื่อนผ่านห้วงอากาศโดยไม่มีหมกเม็ดรอบหนึ่ง

หลินสวินจดจำไว้อย่างดี ไม่กล้าพลาดรายละเอียดใดๆ

ผ่านไปสักพักหลินสวินก็ให้เจ้าคางคกกับจ้าวจิ่งเซวียนเข้าไปภายในเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดก่อน จากนั้นสวมอาภรณ์สวรรค์ปีกดารา มือถือเข็มทิศสัญลักษณ์ เดินขึ้นไปบนแท่นบูชาภายใต้สายตามองส่งของมหาราชครูกับหลันชิงเหิน

“ผู้อาวุโสทั้งสอง ลาก่อน!”

หลินสวินหันไปกุมมือคารวะ จากนั้นจึงหมุนตัวไป เหยียบย่างเข้าไปในวังวนหลุมดำนั้นโดยไม่ลังเล พริบตาที่จะจากไป เขาท่องเงียบๆ ในใจประโยคหนึ่งว่า ดินแดนรกร้างโบราณ ข้ายังจะกลับมา…

ตูม!

วังวนหลุมดำคล้ายพลุ่งพล่าน พลังกฎระเบียบห้วงอากาศไร้ที่สิ้นสุดวูบไหวกลืนกินเงาร่างของหลินสวิน ก่อนหายลับตาไปโดยสมบูรณ์

พรวด!

ตอนที่หลินสวินเพิ่งจากไป ร่างของมหาราชครูก็ซวนเซ กระอักเลือดคำใหญ่ ตัวเขาเหมือนแก่ลงหลายปีในชั่วขณะเดียว ดูอ่อนแอหาใดเทียบ

“มหาราชครู ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม”

หลันชิงเหินเป็นกังวลอยูบ้าง

“ในฐานะผู้นำทางของเผ่า หลังจากเสาะหาพิกัดห้วงอากาศทุกครั้งย่อมถูกพลังสะท้อนกลับ ทำลายอายุขัยและมรรควิถีของตัวเอง ชิงเหิน เรื่องนี้เจ้าก็รู้ดี ไม่ต้องสนใจ”

มหาราชครูเสียงแหบแห้ง “คราวนี้ช่วยเหลือเด็กคนนี้ได้ครั้งหนึ่ง ภายหน้าหากเผ่าทอเมฆาของพวกเราประสบเคราะห์ใหญ่ เด็กคนนี้จะต้องไม่ดูดายแน่ นี่… ก็ถือเป็นวาสนาอันดีครั้งหนึ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ที่ข้าทุ่มเทไปก็ไม่นับว่ามากมายอะไร”

หลันชิงเหินถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง

ในขณะเดียวกันเงาร่างแบบบางงดงามของไฉไฉ่ยืนอยู่บนยอดเขาเขียวชอุ่ม เงยใบหน้าขาวเปล่งปลั่งมองขึ้นไปบนเวิ้งฟ้า พึมพำว่า “ต้องรักษาตัวให้ดีนะ คุณชายหลิน…”

วันนี้หลินสวินออกจากดินแดนรกร้างโบราณ ข้ามผ่านห้วงอากาศ เหยียบย่างลงบนเส้นทางหวนคืนสู่โลกชั้นล่าง

และก็ในวันนี้เอง ในดินแดนรกร้างโบราณมีข่าวกระจายออกมาว่าการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนจะเปิดฉากขึ้นภายในสิบปี ถึงตอนนั้นสมรภูมิเก้าดินแดนที่เงียบงันมาเนิ่นนานจะปรากฏขึ้นบนโลกอีกครั้ง!

ในชั่วขณะเดียวใต้หล้าสภาพการณ์โกลาหลผันผวน ชักนำคลื่นใหญ่โตไม่รู้เท่าไร

ทว่าทั้งหมดนี้ต่างไม่เกี่ยวข้องกับหลินสวินแล้ว

ใจเขาโบยบินกลับไปโลกชั้นล่าง โบยบินกลับไปยังจักรวรรดิจื่อเย่า โบยบินกลับไปสู่เขาชำระจิตนานแล้ว…

ผ่านไปหลายปี เพื่อนเก่าในตอนนั้น ตอนนี้จะยังเหมือนเดิมหรือไม่

——

(จบภาค สายลมเริ่มปรากฏในดินแดนรกร้างโบราณ)

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท