[ภาค มหายุคอันพร่างพราว ใครเล่าคุมสถานการณ์] ตอนที่ 1368 สนามรบเหนือสุด
กลางห้วงอากาศว่างเปล่ามีรุ้งเหินราวสายฝนไหววูบ มีดวงดาราใหญ่โตโคจรเจิดจรัส มีเมฆหมอกสีดำรูปร่างเหมือนไอขุ่นมัวระเหยขึ้น…
เส้นทางสายหนึ่งทะลวงผ่านอากาศ งดงามตระการตา ละอองแสงปลิวว่อนไปทุกหนแห่ง ยามเยื้องย่างอยู่ในนั้นราวกับสัญจรกลางสายธารแห่งเดือนปี
สวบ!
รุ้งเทพสีทองสายหนึ่งโฉบออกมาจากภายในเข็มทิศสัญลักษณ์ในมือหลินสวิน ยืดขยายออกไปในห้วงอากาศ จากนั้นก็เห็นได้ว่ามีพิกัดห้วงอากาศสว่างไสวจุดหนึ่งปรากฏขึ้น ณ สถานที่อันไกลลิบ
หลินสวินจิตใจจดจ่อ บินท่องเข้าไปในนั้น
แสงดาวสีเงินเจิดจรัสราวควันดุจมายาสายแล้วสายเล่าไหลเวียนวนบนร่างเขา ทำให้ยามเขาข้ามผ่านห้วงอากาศดูเหมือนมัจฉาแหวกว่ายกลางวารี เป็นอิสระดั่งใจนึก ทั้งไม่ได้พบกับอุปสรรคใด
นี่ก็คือพลังของอาภรณ์สวรรค์ปีกดารา
หากไม่มีสมบัติชิ้นนี้ ตอนทะลวงไปในห้วงอากาศไร้รูปร่างนี้ ก็จะถูกพลังกฎระเบียบห้วงอากาศอันน่ากลัวนั้นทำลายให้เป็นผุยผงในชั่วพริบตา!
‘เคลื่อนผ่านพิกัดห้วงอากาศอีกเจ็ดจุดเท่านั้นก็จะถึงที่หมายแล้ว…’
หลินสวินคาดคะเนอยู่เงียบๆ
เขาไม่กล้าเลินเล่อแม้แต่นิดเดียว
ตามที่มหาราชครูเผ่าทอเมฆาว่าไว้ ด้วยตอนนี้มหายุคมาเยือน กฎระเบียบฟ้าดินจึงแปรเปลี่ยนไปสิ้น โดยเฉพาะการเคลื่อนย้ายผ่านเขตแดนใหญ่กลางห้วงอากาศว่างเปล่า จะต้องระวังแล้วระวังอีก
เว้นแต่มีพลังระดับจักรพรรดิ หาไม่แล้วต่อให้เป็นอริยะ หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นระหว่างเคลื่อนย้ายกลางห้วงอากาศ ก็จะหลงทางไปชั่วนิรันดร์ หาทางกลับไม่ได้อีก!
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป
หลินสวินใจเต้นระส่ำ เหลือเพียงพิกัดห้วงอากาศเดียวเท่านั้นก็จะกลับไปยังโลกชั้นล่างได้แล้ว
แต่ก็ในตอนนี้เอง หลินสวินพลันเห็นว่าในบริเวณว่างเปล่าไกลลิบมีสัตว์ประหลาดใหญ่โตหาใดเทียบตัวหนึ่ง เหนี่ยวนำดวงดารานับหมื่นพันแล้วเคลื่อนมาทางนี้ พาดผ่านห้วงอากาศไร้ที่สิ้นสุด
สัตว์ตัวนี้แค่เพียงเหล่าดวงตายังใหญ่โตเหมือนดวงอาทิตย์แรงกล้ากลางเวิ้งฟ้า แดงฉานน่าหวาดหวั่น แผ่กระจายรังสีน่าครั่นคร้ามอันเย็นชาไร้ปรานีออกมา!
เมื่อเทียบกับร่างกายมหึมาหาใดเทียบของมันนั้น ดวงดาวก็คล้ายลูกแก้วที่ไม่เตะตา…
หลินสวินสั่นสะท้านในใจ สัตว์ประหลาดตัวนี้อีกแล้ว!
เขานึกขึ้นได้ว่าตอนออกจากโลกชั้นล่างมายังดินแดนรกร้างโบราณก็เคยได้เจอสัตว์ตัวนี้ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นอีกฝ่ายพุ่งเข้ามากระแทกตรงๆ
ทำให้หลินสวินที่กำลังข้ามห้วงอากาศอยู่ถูกจู่โจมอย่างน่ากลัวในทันใด!
และเพราะการโจมตีนี้ทำให้หลินสวินที่เดิมต้องการไปแดนชัยบูรพาในดินแดนรกร้างโบราณ กลับถูกเคลื่อนย้ายไปในแดนฐิติประจิม
และตอนนี้สัตว์ตัวนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว
หลินสวินกล้าสาบานว่าเขาจำไม่ผิดแน่
สัญลักษณ์ลึกลับสีเงินคู่หนึ่งผุดขึ้นในส่วนลึกของดวงตาสัตว์ตัวนี้ คลุมเครือและเย็นเยียบ คล้ายสามารถกลืนกินดวงวิญญาณมนุษย์ได้
เหมือนกับที่หลินสวินเห็นตอนนั้นไม่มีผิด!
‘นี่มันตัวบ้าอะไรกัน ถึงพาดผ่านโลกแห่งห้วงอากาศว่างเปล่าไร้สิ้นสุดได้’
นัยน์ตาหลินสวินหดรัดลง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดหาใดเทียบทันที
ยิ่งใกล้เข้ามาแล้ว
เขาถึงกับรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมาจากร่างสัตว์ประหลาดตัวนั้นน่ากลัวกว่าอริยะเสียอีก!
หลินสวินไม่กล้าลังเล ทุ่มพลังทั้งหมดเคลื่อนไปหาพิกัดห้วงอากาศสุดท้าย
เพียงแต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือ คราวนี้สัตว์ประหลาดตัวนี้ไม่ได้บุกโจมตี มันคล้ายจำหลินสวินได้ สัญลักษณ์สีเงินไหลวนพลิกม้วนในดวงตาสีแดงฉานเย็นชาทั้งสอง มองดูความเคลื่อนไหวของหลินสวินอยู่เงียบๆ สายตาเจือไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
คล้ายเหลือคาด ทั้งคล้ายประหลาดใจ และคล้ายไม่กล้าเชื่อ…
หลินสวินไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ เมื่อพุ่งมาถึงพิกัดห้วงอากาศจุดสุดท้าย เขาไม่ลังเลแต่อย่างใด กระโดดเข้าไปทันใด
สวบ!
เงาร่างของเขาหายลับไปโดยสมบูรณ์
สัตว์ประหลาดตัวนั้นมองดูภาพที่เกิดขึ้นนี้ ยังไม่เคลื่อนไหวดังเดิม ร่างกายลอยอยู่ตรงนั้นเหมือนกับผืนพิภพมหึมาที่ลอยละล่องท่ามกลางความว่างเปล่าแห่งหนึ่ง
“หุบเหวกลืนกิน… ในที่สุดก็ได้พบเจ้าอีกแล้ว…”
เสียงเย็นเยียบเสียงหนึ่งดังขึ้นในโลกอันว่างเปล่าแห่งนี้ ในดวงตาสีแดงฉานของสัตว์ประหลาดตัวนั้นเจือไปด้วยแววพึงพอใจ
“ขอเพียงเจ้ามีชีวิตอยู่… ไม่ช้าก็เร็วพวกเราก็จะยังได้พบกันอีก…”
ขณะที่พึมพำ สัตว์ประหลาดตัวนั้นก็หันกาย บดขยี้ห้วงอากาศดังโครมครามแล้วหายไปในความเวิ้งว้างว่างเปล่า
……
โลกชั้นล่าง ปราการชายแดนเหนือสุดของจักรวรรดิจื่อเย่า
อาทิตย์อัสดงฉายแสง
เหนือสนามรบกลิ่นคาวเลือดควันไฟคละคลุ้ง บนพื้นมีศพนับหมื่น เลือดไหลเป็นสายธารมานานแล้ว
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
กองทัพสองกองยังคงประหัตประหารกันเต็มกำลังในสนามรบ ประหนึ่งกระแสน้ำเชี่ยวสองสายพุ่งปะทะ ประกายดาบเงากระบี่ ไอสังหารพลุ่งพล่านเต็มฟ้า
ฝั่งหนึ่งเป็นของกองทัพชายแดนจักรวรรดิจื่อเย่า มีประมาณสามพันคน โดยสารอยู่บนเรือรบสลักวิญญาณขนาดกลางของจักรวรรดิสามสิบหกลำ
ตู้มๆๆ!
บนเรือรบ ปืนใหญ่สลักวิญญาณอานุภาพยิ่งยงยิงเต็มกำลัง พ่นเปลวเพลิงยาวนับพันจั้งประหนึ่งแส้เทพอสนี เริงระบำหวดฟาด ตีการรุกรานของศัตรูครั้งแล้วครั้งเล่า พลังสังหารน่าตกตะลึง
ส่วนศัตรูมาจากสายคนเถื่อนวารีของเผ่าพ่อมดเถื่อน มีจำนวนประมาณพันคน พลังต่อสู้ต่างน่าตระหนก กล้าหาญไม่กลัวตาย มือถือเครื่องมือคนเถื่อนและสมบัติพ่อมดนานาชนิด
แม้จำนวนคนน้อยกว่า แต่กองทัพคนเถื่อนวารีกลับได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด พุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งดุจดั่งเมฆดำกดทับนคร บีบให้กองทัพจักรวรรดิถอยหลังอย่างต่อเนื่อง
ตูม!
ทันใดนั้นในกองทัพคนเถื่อนวารี เงาร่างที่มีหมอกวารีอบอวลร่างหนึ่งพุ่งทะลุเมฆ ยกค้อนยักษ์กระดูกขาวซัดลงมาอย่างรุนแรง เรือรบขนาดกลางของจักรวรรดิลำหนึ่งก็ได้รับความเสียหายหนักหน่วง ส่วนกลางของเรือถูกกระแทกเสียงดังเปรี๊ยะ เกิดเป็นหลุมใหญ่หลุมหนึ่ง
จากนั้นตัวเรือรบก็เสียสมดุลตกลงไปบนพื้นดิน
“หนีเร็ว!”
“ไป!”
บนเรือรบเสียงร้องแตกตื่นดังขึ้นทั่วไปหมด เหล่าแม่ทัพและพลทหารแห่งจักรวรรดิกระโจนออกมา แต่ระหว่างทางก็ถูกผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีกลุ่มหนึ่งล้อมไว้เหมือนกระแสน้ำ
ฝนเลือดและซากศพกระเซ็นกระสายเหมือนน้ำพุโดยพลัน
“ใต้เท้า! ใกล้จะยันไม่ไหวแล้ว กองทัพเราเหลือเรือรบที่ใช้ได้เพียงสามสิบห้าลำ”
แนวหน้าสนามรบในค่ายทัพจักรวรรดิ สายสืบรีบรุดมารายงาน ควันไฟและรอยไหม้เต็มหน้าไปหมด
สงครามเลือดครั้งนี้ฟาดฟันกันมาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว พลรบชั้นเลิศฝั่งจักรวรรดิเสียไปแล้วเกือบหนึ่งแสนนาย
ส่วนฝั่งกองทัพคนเถื่อนวารี แม้จะได้รับความเสียหายหนักหน่วงเช่นกันแต่กลับมีกำลังเสริมไม่ขาดสาย ทั้งยามต่อสู้ยังกล้าหาญไม่กลัวตาย บ้าระห่ำถึงที่สุด
ตอนนี้พวกเขาบีบเข้ามาใกล้เส้นชายแดนเหนือสุดของจักรวรรดิแล้ว!
“ออกไปเถอะ ข้ารู้แล้ว”
เสียงแก่ชราเสียงหนึ่งดังขึ้นในค่ายทหาร คนผู้นี้เป็นชายชราแต่งกายด้วยชุดทหารของจักรวรรดิ แผ่นหลังตรงแน่ว หนวดเคราเผ้าผมเหมือนแร่เงินผู้หนึ่ง
ใบหน้าเขาซูบตอบ ดวงตาแหลมคมดั่งเหยี่ยว ประกายสายฟ้าแผ่พุ่งออกมาระหว่างที่มองไปโดยรอบ
ชายชรามีนามว่าจ่างซุนสยง เป็นผู้ควบคุมค่ายทัพเหนือสุดของจักรวรรดิแห่งนี้ เป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชันที่มีผลงานการรบมากมายผู้หนึ่ง
“เปิดศึกทุกด้านหรือ พ่อมดเถื่อนเก้าสายพวกนี้จะฉวยโอกาสโจมตีตอนอ่อนแอสินะ…”
จ่างซุนสยงมุ่นคิ้วแน่น ในใจเขาก็หนักอึ้งอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลายปีมานี้ฟ้าดินแปรผันอยู่ตลอด ไม่เพียงแต่ภายในอาณาเขตของจักรวรรดิเท่านั้น แม้แต่พื้นที่ชายแดนก็เกิดความเปลี่ยนแปลงน่าตระหนกหลายครั้ง
ก่อนหน้านี้พื้นที่เหนือสุดแห่งนี้เป็นที่ราบหิมะรกร้าง หนาวเหน็บหาใดเทียบแห่งหนึ่ง
ทั้งยังมีสันเขาสูงตระหง่านตามธรรมชาติพาดตัดระหว่างจักรวรรดิกับอาณาเขตของคนเถื่อนวารี ราวกับปราการธรรมชาติสายหนึ่งยับยั้งไว้ไม่ให้คนเถื่อนวารีรุกรานได้
แต่ตอนนี้เมื่อฟ้าดินแปรผันอย่างน่าตกตะลึง ที่ราบน้ำแข็งผืนนี้เปลี่ยนแปลงไปโดยสมบูรณ์นานแล้ว หิมะน้ำแข็งละลาย สันเขาที่พาดกั้นขวางยุบตัวลง แปรสภาพเป็นทุ่งหญ้ากว้างที่ไอวิญญาณเข้มข้น ต้นไม้สายน้ำงดงามสมบูรณ์แห่งหนึ่ง!
เมื่อไม่มีปราการธรรมชาติแล้วก็ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นอีก คนเถื่อนวารีชักม้าเรียกพล หมายมั่นจะลงมือเต็มที ในที่สุดเมื่อเดือนก่อนก็จู่โจมพื้นที่ชายแดนเหนือสุดของจักรวรรดิทุกด้าน
ตามที่จ่างซุนสยงรู้ ตอนนี้ในบริเวณอื่นของจักรวรรดิ เช่นปราการชายแดนตะวันตกเฉียงใต้และชายแดนภาคตะวันออก ก็กำลังมีการต่อสู้ใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อนปะทุอยู่
กองทัพของพ่อมดเถื่อนเก้าสายโอบล้อมหนาแน่น เริ่มรุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของจักรวรรดิ สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก
ที่ทำให้จ่างซุนสยงจิตใจร้อนรุ่มที่สุดก็คือภายในจักรวรรดิตอนนี้ก็ระส่ำระสาย สถานการณ์วุ่นวายไม่แน่นอน
ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะฟ้าดินแปรผันฉับพลัน!
ในช่วงหลายปีมานี้มีภูเขาวิญญาณและแดนมงคลจำนวนมากปรากฏขึ้นในจักรวรรดิ แม้แต่ไอวิญญาณกลางฟ้าดินยังแปรเปลี่ยนเป็นเข้มข้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
สิ่งนี้เดิมทีก็เป็นเรื่องน่ายินดีเทียมฟ้าเรื่องหนึ่ง
ไอวิญญาณยิ่งเข้มข้นก็ยิ่งมีผลดีต่อการฝึกปราณ นี่เป็นเรื่องที่เหล่าผู้ฝึกปราณในจักรวรรดิในอดีตล้วนไม่กล้าคิดถึง
แต่เช่นเดียวกัน พร้อมๆ กับที่ฟ้าดินแปรเปลี่ยนฉับพลัน นกอสูรมาร สัตว์ปีศาจ ตัวประหลาด ภูตผีจำนวนมากก็ปรากฏตัวขึ้นในอาณาเขตของจักรวรรดิ…
มารปีศาจเหล่านี้ปรากฏตัวเป็นกลุ่มก้อน เข้ายึดเขาวิญญาณ ครอบครองแดนมงคล รุกโจมตีเมืองต่างๆ ในจักรวรรดิอย่างกำเริบเสิบสาน เผาฆ่าปล้นชิง ทำความชั่วทุกประการ
ในตอนนี้ต่อให้ระดมกำลังทหารทุกฝ่ายออกโจมตี ก็ยังไม่อาจยับยั้งความเหิมเกริมของมารปีศาจเหล่านี้ได้
กลับกัน การห้ำหั่นกับมารปีศาจเหล่านี้ทำให้จักรวรรดิเสียกำลังพลชั้นเลิศไปมาก บางเมืองก็ถูกมารปีศาจเหล่านั้นยึดครอง!
อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไป ฟ้าดินก็เปลี่ยนแปลงไม่ว่างเว้น ส่งผลให้อสูรมารปีศาจในจักรวรรดิก็ยิ่งมากขึ้นไป สถานการณ์ไม่สู้ดีอย่างยิ่ง
‘มีทั้งศึกในศึกนอกเลย…’
จ่างซุนสยงรำพึงในใจ
มหายุคก็คือกลียุค!
นี่เป็นถ้อยคำที่จักรพรรดิเคยกล่าวไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนี้ดูท่าจะเป็นจริง
“ใต้เท้า กองทัพเรามีเรือรบเสียหายอีกสี่ลำ!”
เสียงร้อนรุ่มใจของสายสืบดังขึ้นนอกค่ายทหารอีกครั้ง
จ่างซุนสยงสะท้านในใจ รังสีเย็นเยียบไหวเคลื่อนในดวงตา รับรู้ได้ว่ารอไม่ได้อีกแล้ว
ตูม!
ครู่ต่อมาเงาร่างของเขาก็กระโจนขึ้นไปบนฟ้า
จ่างซุนสยงมองสนามรบที่อยู่ไกลออกไป ก็เห็นว่ากองทัพฝั่งจักรวรรดิกำลังกระเจิดกระเจิงไปเรื่อยๆ แม้ต้านทานการจู่โจมเต็มกำลัง แต่ก็ยังไม่อาจคลี่คลายสถานการณ์ได้
ฝั่งกองทัพคนเถื่อนนั้นก็กล้าหาญไม่กลัวตายทั้งสิ้น ได้เปรียบด้านกำลังโดยรวมอย่างเห็นได้ชัด
“ทหารจักรวรรดิของเราจงฟังคำสั่ง! ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็ไม่อาจให้สวะพ่อมดเถื่อนเหยียบเข้ามาในอาณาเขตของจักรวรรดิเราได้แม้แต่ครึ่งก้าว!”
จ่างซุนสยงผมเผ้าเคราหนวดปลิวสยาย เสียงราวอสนีบาตสะเทือนกลางฟ้าดิน แผ่ขยายในสนามรบนองเลือดหาใดเทียบแห่งนั้น
ตูม!
พร้อมกับเสียงนี้ เงาร่างของจ่างซุนสยงก็พุ่งออกมา เหยียบย่างเข้ามาในสนามรบ ยกมือขึ้นโบกสะบัดพลังหมัดสายหนึ่ง บดขยี้เข้ากลางทัพศัตรูอย่างจังจนเป็นทางโลหิต ประหนึ่งรุ้งเทพทลายฟ้า!
ท่วงท่าทรงอำนาจหาใดเทียบนั้นทำให้พลทหารที่กำลังสู้ตายอยู่ต่างจิตใจฮึกเหิม เลือดในกายสูบฉีด
“หึ จ่างซุนสยง ในที่สุดเต่าหดหัวอยู่ในกระดองอย่างเจ้าก็ออกมาจนได้ คราวนี้เจ้าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”
ทันใดนั้นที่ฝั่งทัพคนเถื่อนวารีก็มีเงาร่างสามร่างเคลื่อนออกมาดังสวบๆๆ ในรูปตัวอักษรผิ่น (品) ปิดล้อมจ่างซุนสยงไว้ตรงกลาง
เงาร่างทั้งสามล้วนแผ่กลิ่นอายระดับราชันน่าหวาดหวั่นออกมา ต่างเป็นผู้มีปราณระดับราชันเถื่อน
พริบตานั้นพลทหารจักรวรรดิหน้าเปลี่ยนสี ต่างคิดไม่ถึงว่าจะมีราชันถึงสามคนซ่อนตัวอยู่ในกองทัพคนเถื่อนวารี
เรื่องนี้ไม่เคยถูกพูดถึงในรายงานข่าวก่อนหน้านี้!
ต่อให้เป็นจ่างซุนสยงก็นัยน์ตาหดรัดลงทันที ในใจหนักอึ้ง รู้สึกได้ว่าศัตรูวางแผนเพื่อสังหารตนมานานแล้ว
——