Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1369 เขาตกลงมาจากฟ้า

ตอนที่ 1369 เขาตกลงมาจากฟ้า

ระดับราชัน เป็นจิตวิญญาณและเสาหลักของกองทัพกองหนึ่ง!

ว่ากันโดยทั่วไปแล้ว ในสมรภูมิขนาดใหญ่ระดับราชันจะทำเพียงคุมกระบวนรบ น้อยนักที่จะลงมือ ควบคุมและข่มขู่ระดับราชันของกองทัพฝ่ายตรงข้ามด้วยสิ่งนี้

แต่ทันทีที่ผู้แข็งแกร่งระดับราชันออกโรง ก็หมายความว่าการต่อสู้มาถึงช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายแล้ว

เดิมทีจ่างซุนสยงยังคิดจะสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง ฝ่าสังหารเป็นทางโลหิต ขจัดอันตรายตรงหน้าให้กองทัพจักรวรรดิ

แต่ตอนนี้เขาถึงเพิ่งรับรู้ได้ในที่สุดว่าคนเถื่อนวารีดันเตรียมตัวไว้ก่อน อีกทั้งยังอดทนมาโดยตลอด รอตนออกโจมตี จากนั้นก็จะฆ่าให้สังหารราบคาบ!

“น่าขัน อย่างพวกเจ้าสามคนน่ะหรือ”

จ่างซุนสยงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วก็เอ่ยปากหัวเราะเสียงดัง โลหิตทั้งกายราวแผดเผา มองความตายดั่งหวนกลับ สงบนิ่งไม่หวาดกลัว

พลทหารของจักรวรรดิต่างสลดหดหู่

พวกเขาล้วนรู้ว่าจ่างซุนสยงจะสู้ตายแล้ว!

มาดูที่ฝั่งกองทัพคนเถื่อนวารี กลับมีสีหน้าตื่นเต้นฮึกเหิมกันทั้งนั้น ราชันเถื่อนสามคนร่วมกันออกโจมตี สามารถกวาดล้างศัตรูฝ่ายจักรวรรดิเบื้องหน้าทั้งมวลได้!

ถึงตอนนั้นพวกเขาก็สามารถตะลุยรุดหน้า ฝ่าเข้าไปในพื้นที่ชายแดนเหนือสุดของจักรวรรดิ รุกรานเมืองในจักรวรรดิอันอุดมสมบูรณ์แห่งนั้น

“ฟ้าดินแปรเปลี่ยนฉับพลัน มีเพียงภายในอาณาเขตของจักรวรรดิเจ้าเท่านั้นที่ไอวิญญาณเพิ่มขึ้นกะทันหัน มีภูเขาวิญญาณแดนมงคลมากมายปรากฏขึ้น ดินแดนพ่อมดเถื่อนของข้ากลับแปรสภาพเป็นแดนสิ้นหวังอันรกร้างแห้งแล้ง ขนาดจะเอาชีวิตรอดยังกลายเป็นเรื่องยากลำบาก”

ราชันเถื่อนที่แขวนโครงกระดูกขาวไว้ที่คอคนหนึ่งเอ่ยเสียงขรึม “ฟ้าดินนี้ไยไม่ยุติธรรมเช่นนี้ ช่วยไม่ได้ พวกเราทำได้เพียงเปิดศึก!”

“ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง ฆ่าไอ้แก่เผ่ามนุษย์คนนี้ก่อนเลย!”

ข้างๆ กันราชันเถื่อนผิวสีฟ้าอ่อนพิลึกพิลั่น รูปร่างผอมบางพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม

“ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน”

ราชันเถื่อนอีกคนหนึ่งยิ้มน้อยๆ เขาสวมชุดทองทั้งตัว เส้นผมสีน้ำเงิน ท่าทางดูเยาว์วัยนัก สง่างามเจิดจรัส

“หึ! มาสิ ข้าก็อยากจะเห็นนักว่าศึกนี้ใครจะตายกันแน่!”

จ่างซุนสยงหัวเราะหยัน สีหน้าแน่วแน่

“ลงมือเถอะ!”

ราชันเถื่อนที่สวมสร้อยคอโครงกระดูกออกคำสั่ง

ใครก็รู้ว่าขอเพียงกำจัดจ่างซุนสยงไปได้ ความขัดแย้งขนาดใหญ่ที่ดำเนินมาหนึ่งเดือนนี้จะต้องปิดฉากลง

ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นพลทหารจักรวรรดิ หรือกองทัพคนเถื่อนวารีต่างหยุดการห้ำหั่น สายตามองไปยังท้องฟ้าสูง

โครม!

แต่ก็ในช่วงเวลาสำคัญที่ศึกใหญ่นี้กำลังจะปะทุขึ้น เหนือเวิ้งฟ้าพลันเกิดเสียงดังครั่นครืน อุโมงค์ม้วนเกลียวมหึมาอุโมงค์หนึ่งอุบัติขึ้น

จากนั้นท่ามกลางสายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน เงาร่างสูงเด่นร่างหนึ่งเดินออกมาอย่างแช่มช้าจากห้วงอากาศนั้น

เขาแต่งกายด้วยชุดสีขาวนวลทั้งตัว ผมดำปลิวสยาย ดวงตาลุ่มลึกราวหุบเหว ท่วงท่าโดดเด่นเกินคนทั่วไป ชัดเจนว่าเป็นหลินสวิน

“เป็นทัพเสริมของจักรวรรดิหรือ”

ราชันเถื่อนทั้งสามต่างนัยน์ตาหดรัด หน้านิ่วคิ้วขมวดไปบ้าง

ต่อให้เป็นจ่างซุนสยงตอนนี้ก็อึ้งไปเล็กน้อยเช่นกัน ในใจนึกสงสัยว่าหรือจะเป็นกองหนุนที่จักรวรรดิส่งมาจริงๆ

เพียงแต่คนผู้นี้ท่าทางอ่อนวัยนัก…

ในขณะเดียวกันหลินสวินก็ตกตะลึง เพิ่งปรากฏตัวจากการข้ามผ่านห้วงอากาศว่างเปล่าก็มาถึงสมรภูมินองเลือดเช่นนี้ นี่ทำให้เขาไม่ทันตั้งตัวอยู่บ้างเช่นกัน

แต่เรือรบกับธงดอกจื่อเย่าของจักรวรรดิ หลินสวินยังจำได้ นี่ทำให้เขาลอบถอนหายใจโล่งอก ตื่นเต้นอยู่บ้าง

ผ่านไปหลายปี ในที่สุดก็กลับมาแล้ว!

ทันใดนั้นหลินสวินก็สังเกตได้ว่าตนกลายเป็นจุดสนใจของทั้งสมรภูมิ จึงไม่กล้าคิดอะไรมากอีก เริ่มประเมินโดยรอบ

ในที่สุดหลินสวินก็ทอดสายตาไปยังราชันเถื่อนทั้งสาม

สมัยก่อนหลินสวินเคยเคี่ยวกรำที่ค่ายกระหายเลือด และเคยต่อสู้โรมรันในสมรภูมิกระหายเลือดกับค่ายทัพพ่อมดเถื่อน จะจำตัวตนของผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีไม่ได้ได้อย่างไร

เขาถึงขั้นดูออกว่าศึกนองเลือดครั้งนี้ได้มาถึงช่วงเวลาสำคัญอย่างยิ่งยวดแล้ว และทางฝั่งจักรวรรดิก็เสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด มีผู้แข็งแกร่งระดับราชันอยู่ในสนามรบเพียงคนเดียว ห่างชั้นกันมาก

หากไม่ใช่ว่าตนปรากฏตัวได้ทันเวลา ศึกนี้จักรวรรดิจะต้องแพ้แน่

บนสมรภูมิ บรรยากาศออกจะพิกลและเงียบเชียบ เป็นเพราะการปรากฏตัวของหลินสวินน่าตื่นตะลึงจริงๆ ถึงกับเดินออกมาจากอุโมงค์ห้วงอากาศ ทำให้ทุกคนจดจ้อง

แต่ความเงียบเช่นนี้ไม่นานก็ถูกทำลายลง ราชันเถื่อนที่สวมสร้อยคอโครงกระดูกอยู่เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “จ่างซุนสยง นี่ก็คือกองหนุนของจักรวรรดิพวกเจ้าหรือ ทำไมถึงมาคนเดียว แถมเป็นชายหนุ่มเช่นนี้ด้วย หรือจักรวรรดิของพวกเจ้าไม่มีคนใช้การได้แล้ว”

ประโยคเดียวก่อให้เกิดเสียงหัวเราะร่าไม่น้อย

“วิธีปรากฏตัวพิเศษเสียจริง”

ราชันเถื่อนผิวสีฟ้าอ่อนวิจารณ์ประโยคหนึ่ง

‘ระวังหน่อย ข้าดูตื้นลึกหนาบางของชายหนุ่มคนนี้ไม่ออก’

อีกด้านหนึ่งราชันเถื่อนที่แต่งกายด้วยชุดสีทองทั้งตัวนั้นออกจะฉงนใจไม่ว่างเว้น สื่อจิตเตือนราชันเถื่อนอีกสองคน

ในขณะเดียวกันจ่างซุนสยงก็เอ่ยปากว่า “สหายน้อย ใครส่งเจ้ามากัน”

หลินสวินไม่ตอบ เอ่ยถามกลับไปว่า “ขอเรียนถามว่าที่นี่เป็นอาณาเขตของจักรวรรดิจื่อเย่าใช่หรือไม่”

ประโยคนี้ดูชอบกลนัก ทำให้หลายคนอึ้งไป นี่ไม่ใช่คำพูดไร้สาระหรอกหรือ ทำไมดูแล้วเจ้าหมอนี่เหมือนหลงทาง ประหลาดเกินไปแล้ว…

มุมปากจ่างซุนสยงก็กระตุกอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ยังฝืนระงับอารมณ์ไว้ ยื่นมือชี้ไปยังเมืองมหึมาแข็งแกร่งไกลๆ แห่งนั้น แล้วเอ่ยว่า “ใช้เมืองนี้เป็นขอบเขต พื้นที่ทางใต้ลงไปล้วนเป็นอาณาเขตของจักรวรรดิ!”

“น่าขัน ตั้งแต่นี้ไปเมืองแห่งนั้นกับพื้นที่ทางใต้ลงไปจะอยู่ใต้อาณัติของคนเถื่อนวารีของข้า!”

ราชันเถื่อนผู้หนึ่งยิ้มเหี้ยม

และตอนนี้หลินสวินก็วางใจโดยสมบูรณ์แล้ว การเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศคราวนี้ไม่เกิดข้อผิดพลาด ไม่ไกลจากนั้นก็คือจักรวรรดิจื่อเย่า!

เขาหันกายมองดูราชันเถื่อนที่เพิ่งเอ่ยปากเมื่อครู่ผู้นั้นแล้วถามว่า “เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ”

ราชันเถื่อนคนนั้นสวมสร้อยคอโครงกระดูก เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าก็ถมึงทึง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าหูหนวกหรือไง ข้าบอกว่าตั้งแต่นี้ไป…”

“ขอโทษนะ ข้าคร้านจะฟังแล้ว”

ตูม!

ไม่ทันรอให้พูดจบ หลินสวินก็ตบมือข้างหนึ่งออกไปกลางอากาศ มือใหญ่สีใสขนาดมหึมามือหนึ่งบดบังฟ้าดิน เสียงดังโครมคราม

“รนหาที่ตาย!”

ราชันเถื่อนผู้นี้เดือดดาล ส่งเสียงคำราม ลงมือเต็มกำลัง

ทว่าภายใต้ฝ่ามือโอฬารข้างนี้ของหลินสวิน การโจมตีทั้งหมดของเขาก็ถูกขจัดไปอย่างรุนแรงราบคาบ ตัวเขายังไม่ทันหลบหนีก็ถูกมือใหญ่ทับไว้

จากนั้นก็คว้าไว้อย่างรุนแรง!

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงทั้งมวล ราชันเถื่อนที่สามารถตัดสินแพ้ชนะในสงครามขนาดใหญ่ครั้งหนึ่งได้ผู้นี้ ก็ถูกมือใหญ่บีบร่างจนแหลกเหมือนแมลงตัวจ้อย แปรสภาพเป็นฝนเลือดเทลงมา

“นี่…”

ทั้งที่นั้นเงียบสงัด ไม่ว่าจะเป็นฝั่งตนหรือศัตรูต่างแทบกล้าไม่เชื่อสายตาตัวเอง

ต่อให้เป็นจ่างซุนสยงตอนนี้ยังมีสีหน้าอึ้งงัน นี่… นี่จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงมีพลังน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ได้

“เจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินว่าในจักรวรรดิยังมีบุคคลชั้นเลิศอย่างเจ้าด้วย”

ราชันเถื่อนสองคนนั้นหน้าเปลี่ยนสีทันใด ในใจรู้สึกหนาวยะเยือก ก่อนหน้านี้พวกเขาดูตื้นลึกหนาบางของหลินสวินไม่ออก ก็เพียงมองเขาเป็นศัตรูผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง ไม่ได้วิตกเท่าไร

แต่ตอนนี้พวกเขารับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากลโดยสมบูรณ์แล้ว!

ครู่เดียวพวกเขาทั้งสองต่างระแวดระวังเต็มที่ ราวได้พบมหาศัตรู

“อย่างพวกเจ้ายังคู่ควรจะรู้ชื่อข้าด้วยหรือ”

หลินสวินหัวเราะหยัน ในสมองนึกถึงสมัยฝึกในค่ายกระหายเลือด นึกถึงการห้ำหั่นในสมรภูมิกระหายเลือดอย่างห้ามไม่อยู่

ภาพแต่ละภาพผ่านเข้ามาในสายตา ชัดเจนเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวาน

ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กหนุ่มที่เผยคมออกมาจนสิ้นผู้หนึ่ง พลังปราณไม่ได้สูง แต่กลับฮึกเหิมไม่กลัวตาย เลือดร้อนพลุ่งพล่าน

ตอนนั้นยังมีปณิธานแรงกล้าจะกินเนื้อศัตรูยามหิว ดื่มเลือดพ่อมดเถื่อนยามพูดคุยสนุกสนานจนกระหาย!

ความทรงจำทั้งหมด ท้ายที่สุดก็กลายเป็นความรู้สึกคล้ายใจหายผุดขึ้นมาในใจ หลินสวินพึมพำขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ว่า “ดอกจื่อเย่าด้วยกระหายเลือดจึงมิพ่าย จักรวรรดิด้วยกรำศึกจึงอยู่ตราบนิรันดร์…”

‘หืม?’

จ่างซุนสยงใจไหวหวั่น หรือเจ้าหนุ่มนี่จะมาจากค่ายกระหายเลือด แต่ในค่ายกระหายเลือดก็ไม่เคยได้ยินว่ามีคนน่ากลัวเช่นนี้นะ…

“ฆ่า!”

เมื่อสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายจิตใจคล้ายออกจะแปลกไป แสดงสีหน้าเหม่อลอย ราชันเถื่อนที่เหลืออยู่ทั้งสองคนก็ออกโจมตีอย่างอุกอาจ ไม่ลังเลสักนิด

นี่เป็นโอกาสหนึ่ง!

ตูม!

ราชันเถื่อนที่ผิวหนังมีสีฟ้าแกว่งทวนศึกกระดูกขาวเล่มหนึ่งขึ้นทะลุฟ้า ฉีกขาดห้วงอากาศ น่าครั่นคร้ามถึงที่สุด

อีกด้านหนึ่ง ราชันเถื่อนที่แต่งกายชุดทองทั้งตัวก็นำหนังสัตว์สีเงินแปลกประหลาดแผ่นหนึ่งออกมาเขย่ากลางอากาศทันใด

ซ่า!

ทั้งห้วงอากาศต่างปั่นป่วนส่งเสียงดังลั่นขึ้นมาราวกระแสน้ำ ยืดขยายไปยังจุดที่หลินสวินอยู่ จะกลบเขาให้จมอยู่ภายในนั้น

“ระวัง!”

จ่างซุนสยงดวงตาหดเกร็ง กำลังจะลงมือก็เห็นว่ามุมปากหลินสวินยกยิ้มดูแคลน

เขายื่นมือออกไปคว้าอย่างแผ่วเบา แย่งทวนศึกกระดูกขาวที่พุ่งทะลุมาในอากาศไว้แล้วสะบัดมือโยนออกไป

สวบ!

ทวนศึกกระดูกขาวฉีกทึ้งห้วงอากาศด้วยความเร็วอันน่าหวาดหวั่นกว่าเมื่อครู่ เจาะทะลวงศีรษะของราชันเถื่อนคนนั้น แหวกกลางกะโหลกศีรษะจนระเบิดสิ้นซาก ฝนเลือดดุจของเหลวข้นคลั่กสาดกระเซ็น

ในขณะเดียวกันมือซ้ายของหลินสวินก็สะบัดแขนเสื้อ แสงใสเคลื่อนออกมาราวน้ำตก พลังถั่งโถมที่ยืดขยายซัดสาดออกมาก็ถูกขจัดไปในพริบตา

พลังที่เหลืออยู่ของแสงสีใสไม่ลดลง เหมือนก่อคลื่นบ้าคลั่งขึ้นในห้วงอากาศ ปกคลุมฟ้าดิน ครอบคลุมไปยังราชันเถื่อนชุดทองผู้นั้น

ราชันเถื่อนผู้นี้ตกใจจนขวัญแทบหาย เลือกหนีไปโดยไม่ลังเล

เพียงแต่เขายังประเมินความน่ากลัวในการโจมตีนี้ของหลินสวินต่ำไป เขาจะหลบได้อย่างไร เพียงชั่วพริบตาร่างของเขาก็ถูกแสงมรรคสีใสกลบมิด ถูกปลิดชีพให้มลายหายไป ไม่เหลือแม้แต่เศษซาก!

ตบหนึ่งครั้ง คว้าหนึ่งครั้ง สะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ก็สังหารราชันเถื่อนสามคนอย่างต่อเนื่อง!

และตั้งแต่เริ่มจนจบ หลินสวินยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้เคลื่อนย้ายเลยสักนิด ท่วงท่าผ่อนคลายไม่ทุกข์ร้อน ฆ่าคนเหมือนเชือดไก่เช่นนั้น ทำให้ทั้งสมรภูมิหวั่นไหว

พลทหารจักรวรรดิต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง สายตาที่มองมายังหลินสวินเหมือนมองเทพอันสูงส่งไร้สิ่งใดเสมอเหมือนองค์หนึ่ง ราวกับไม่อาจมีอยู่ได้ในโลกหล้า

ส่วนกองทัพคนเถื่อนวารีอกสั่นขวัญแขวน ร้องตื่นตระหนกไม่ว่างเว้น ราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ ท่าทางตกใจมากเกินไป

ชั่วขณะเดียวราชันเถื่อนสามคนถูกสังหาร!

สิ่งนี้กระทบกระเทือนจิตใจพวกเขามากเกินไปแล้ว

ต่อให้เป็นจ่างซุนสยงตอนนี้ยังจิตใจสั่นสะท้าน ควบคุมตัวเองได้ยาก ดวงตาเบิกกว้าง สายตาที่มองหลินสวินเหมือนจดจ้องสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง

เดิมทีเขาเตรียมจะสู้ถวายชีวิต ถึงกับไม่คิดจะออกมาทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ไปแล้ว จะคิดได้อย่างไรว่าตอนนี้ทุกอย่างจะพลิกผันไปหมด!

ชายหนุ่มที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือเวิ้งฟ้าคนนี้ เพียงระหว่างคุยเล่นเท่านั้นก็กวาดล้างราชันเถื่อนสามคน ทำได้ตามใจนึกเหมือนตบแมลงวันสามตัวให้ตาย!

เขาเป็นใครกัน

เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจักรวรรดิมีผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานเช่นนี้

จ่างซุนสยงใจลอย สีหน้างุนงง

หลินสวินไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้ คนที่เก่งกาจที่สุดในราชันเถื่อนสามคนนี้เพิ่งบรรลุระดับอมตะเคราะห์ด่านหนึ่งเท่านั้น ส่วนอีกสองคนเป็นเพียงระดับราชันธรรมดา

เรื่องนี้สำหรับหลินสวินที่มีพลังระดับมกุฎราชันอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด ย่อมดูอ่อนหัดเกินไป

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท