ท้องฟ้ายามราตรีดุจดั่งน้ำหมึก นี่คือความมืดมิดก่อนรุ่งอรุณ
ขวับ!
สายตาทุกคู่ต่างมองไปนอกตำหนักเฉียนหยวนโดยไม่ได้นัดหมาย
ที่นี่คือพระราชวัง เป็นสถานที่ทรงอำนาจสูงสุดของจักรวรรดิ ส่วนตำหนักเฉียนหยวนยังเป็นศูนย์กลางอันสำคัญยิ่ง
เช่นเดียวกันที่นี่ก็มียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่มากมาย ลึกล้ำยากหยั่งถึง ดั่งเสือหมอบมังกรซุ่มเช่นเดียวกัน
กล่าวโดยทั่วไปแล้ว ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับอมตะเคราะห์ในหมู่พ่อมดเถื่อนยังไม่อาจเข้าใกล้พระราชวังได้แม้แต่ก้าวเดียว จะประชิดตำหนักเฉียนหยวนยิ่งอย่าได้พูดถึง
แต่ในค่ำคืนดึกสงัดปานนี้ จะมีใครกล้าเปิดประตูใหญ่ของตำหนักเฉียนหยวนอย่างเสียมารยาทเช่นนี้ได้
จากนั้นเหล่าขุนนางในตำหนักต่างเผยสีหน้าตื่นตระหนก เข้าใจถ่องแท้แล้ว
นอกตำหนักมีเพียงเงาร่างงามร่างหนึ่งยืนอยู่ตามลำพัง แต่งกายด้วยชุดฝ่ายในสีม่วงเข้มทั้งตัว ผมยาวราวน้ำหมึกเกล้าเป็นมวยไว้ที่ท้ายทอย เผยให้เห็นใบหน้าขาวสะอาดงามกระจ่างเกินธรรมดา
ร่างของนางอ้อนแอ้นอรชร แม้ตัวคนเดียว แต่ยืนอยู่เช่นนั้นก็เหมือนราชันผู้สูงส่งองค์หนึ่ง ท่าทางโอหังเหนือสี่สมุทร สามารถสยบมวลชน
จ้าวจิ่งเซวียน!
พระธิดาสายตรงในองค์จักรพรรดิและจักรพรรดินี ถูกมองว่าเป็นไข่มุกในฝ่ามือของจักรวรรดิ เป็นผู้กล้าหญิงในจักรวรรดิที่แท้จริงผู้หนึ่ง!
ในราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ หากว่าด้วยใครเป็นโอรสธิดาที่ได้รับความรักและความเชื่อถือจากจักรพรรดิที่สุด ย่อมเป็นจ้าวจิ่งเซวียนอย่างไร้ข้อกังขา
เพียงแต่การปรากฏตัวของนางกลับทำให้ทุกคนไม่ทันได้ตั้งตัว!
ต่อให้เป็นจ้าวจิ่งเหวินที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตอนนี้ยังตกใจลุกขึ้นยืน เอ่ยเสียงหลงว่า “พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไร”
และนี่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนในตำหนักกังขา
ถ้าพวกเขาจำไม่ผิด องค์หญิงผู้นี้ก็ออกจากจักรวรรดิไปฝึกปราณยังดินแดนรกร้างโบราณเมื่อสิบกว่าปีก่อน
ว่ากันตามหลัก นางก็ควรจะกลับมาโลกชั้นล่างไม่ได้ถึงจะถูก!
“ถ้าข้าไม่กลับมา เกรงว่าเจ้าจ้าวจิ่งเหวินจะต้องจัดพิธีศพให้ทั้งจักรวรรดิถึงจะยินยอมกระมัง”
ดวงหน้างามของจ้าวจิ่งเซวียนสงบนิ่ง มีความน่าเกรงขาม
นางเดินเข้าไปในตำหนัก ทันใดนั้นเหล่าขุนนางก็พากันหลีกทางให้ ถึงขั้นไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นจับจ้อง
สาเหตุก็ง่ายดาย กลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมาจากร่างของจ้าวจิ่งเซวียนแม้ไร้รูปร่าง แต่กลับมีพลังกดข่มสรรพชีวี ทำให้เหล่าขุนนางในตำหนักหวาดหวั่นจนทำได้เพียงก้มหน้า!
นี่ถึงจะเรียกได้ว่ายอมก้มหัวศิโรราบให้อย่างแท้จริง
“พี่หญิงใหญ่ นี่ท่านพูดอะไรกัน”
เมื่อมองดูจ้าวจิ่งเซวียนที่เดินมาทีละก้าว จ้าวจิ่งเหวินก็หายใจติดขัด รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันไร้รูป จิตใจสั่นระรัวจนไม่อาจควบคุมได้
เขาลอบตกตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่พบกันแค่สิบกว่าปีเท่านั้น พี่หญิงใหญ่ที่เสด็จพ่อโปรดที่สุดผู้นี้ของตนราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ความสง่างาม อานุภาพ และท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น คล้ายความสง่างามของเสด็จพ่ออยู่สามส่วน!
จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าบัลลังก์ที่เป็นตัวแทนของอำนาจสูงสุดนั้น จ้าวจิ่งเซวียนก็หยุดเดิน เนตรกระจ่างสงบนิ่ง แต่เจือไปด้วยความน่าเกรงขามชวนหวั่นใจ
“ลิงสวมมงกุฎ ลงมา”
ประโยคเดียวทำให้แก้มของจ้าวจิ่งเหวินแดงก่ำ ท่ามกลางสายตาจับจ้องของเหล่าขุนนางในตำหนัก เขากลับถูกมองว่าเป็น ‘ลิงสวมมงกุฎ’!?
สิ่งนี้เป็นความอัปยศใหญ่หลวงอย่างไม่ต้องสงสัย!
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วกัดฟันพูดว่า “พี่หญิงใหญ่ ก่อนเสด็จพ่อจากไป ได้รับสั่งให้ข้าเป็นผู้สำเร็จราชการ ควบคุมราชการแผ่นดิน ท่านไม่มีสิทธิ์มาควบคุมข้า!”
ปึง!
เสียงพูดเพิ่งเงียบลงตัวเขาก็ซวนเซแล้วล้มลงไปนั่งกับพื้นด้านข้าง ในขณะเดียวกันพลานุภาพน่าครั่นคร้ามก็กดบนร่างเขาอย่างรุนแรง ทำให้ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจลุกขึ้นได้
ด้านจ้าวจิ่งเซวียนเดินไปนั่งบนบัลลังก์หลังนั้นตามสบาย ยื่นนิ้วมือผุดผ่องเรียวบางไปเคาะบนโต๊ะที่อยู่เบื้องหน้าแล้วพูดว่า “ตั้งแต่นี้ไป ข้าจะเป็นผู้สำเร็จราชการ”
เอ่ยอย่างเบาสบายประโยคเดียว ก็ทำให้เหล่าขุนนางในตำหนักต่างหน้าเปลี่ยนสีทันที รับรู้ได้ว่าองค์หญิงใหญ่องค์นี้ถึงกับจะชิงอำนาจ!
“ทำไม พวกเจ้ามีความเห็นหรือ”
จ้าวจิ่งเซวียนหรี่ตาลง ทั้งตำหนักต่างถูกอานุภาพน่าหวาดหวั่นปกคลุม บีบคั้นให้เหล่าขุนนางหายใจยังลำบาก เสียวสันหลังวาบ
“พวกกระหม่อมมิกล้า!”
ทันใดนั้นก็มีคนโค้งกายถวายคำนับ
คนอื่นต่างพากันกุมมือสวามิภักดิ์โดยพลัน
ใครไม่รู้บ้างว่าผู้ที่ได้รับความรักและเชื่อมั่นจากจักรพรรดิมากที่สุด ก็คือองค์หญิงใหญ่จ้าวจิ่งเซวียน
เทียบกับนางแล้ว องค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินไม่นับเป็นอะไรเลย ด้วยว่ากันถึงแก่นแล้ว อำนาจสั่งการของจักรวรรดิจื่อเย่าแห่งนี้ยังคงเป็นของจักรพรรดิ
ตอนนี้จักรพรรดิไม่อยู่ เช่นนั้นไม่ว่าจะฟังบัญชาจ้าวจิ่งเซวียนหรือองค์ชายสามก็ไม่แตกต่างอะไร
แต่แน่นอนว่าด้วยตำแหน่งและฐานะ ในใจของเหล่าขุนนางเอนเอียงไปทางจ้าวจิ่งเซวียนมากกว่าจ้าวจิ่งเหวินอย่างเห็นได้ชัด
พอเห็นเหล่าขุนนางก้มหัวสวามิภักดิ์ให้จ้าวจิ่งเซวียน จ้าวจิ่งเหวินก็แทบสติแตก ร้องเสียงดังว่า “พี่หญิงใหญ่ ท่านทำแบบนี้ไม่ได้ ตำแหน่งนี้เป็นของข้า! ของข้า!”
ปึง!
จ้าวจิ่งเซวียนสีหน้าเรียบเฉยไม่ไหวหวั่น นางสะบัดแขนเสื้อครั้งเดียวจ้าวจิ่งเหวินก็สลบลงไปนอนกับพื้น
“ทหาร พาองค์ชายสามออกไป รอเขาฟื้นแล้วก็ส่งเขาไปเฝ้าสุสานราชวงศ์ หากข้าไม่อนุญาต ไม่ให้ออกมาจากสุสานราชวงศ์อีกแม้แต่ก้าวเดียว!”
ทันทีที่จ้าวจิ่งเซวียนบัญชาก็เท่ากับเหยียบองค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินไว้ใต้เท้าอย่างสมบูรณ์ สูญเสียอำนาจทั้งหมดไปโดยสิ้นเชิง
ทันใดนั้นทหารยามกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัว นำองค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินออกไป
ยามเห็นภาพนี้เหล่าขุนนางก็เข้าใจถ่องแท้ว่า กำลังพลภายในพระราชวังถูกจ้าวจิ่งเซวียนควบคุมไว้นานแล้ว
มิเช่นนั้นทหารเหล่านั้นจะเชื่อฟังเช่นนี้ได้อย่างไร ไอลีนโนเวล
เมื่อมองดูสตรีผู้รวมความงดงามและน่าเกรงขามไว้ในคนเดียวซึ่งนั่งหลังตรงบนบัลลังก์กลางตำหนักผู้นั้น ในใจทุกคนต่างล่วงรู้
ตั้งแต่คืนนี้ไป ทุกเรื่องในจักรวรรดิจะมีองค์หญิงใหญ่จ้าวจิ่งเซวียนเป็นผู้ชี้ขาด!
“องค์หญิง คืนนี้ตระกูลจั่วและฉิน…”
มีคนทำลายความเงียบ ก้าวไปรายงาน
เพียงแต่ไม่ทันพูดจบก็ถูกจ้าวจิ่งเซวียนตัดบทว่า “ข้ารู้แล้ว ไม่ใช่ความผิดของตระกูลหลิน ที่ตระกูลจั่วและฉินประสบภัย พูดได้เพียงว่าเป็นการหาเรื่องใส่ตัว”
ประโยคเดียวเท่ากับแสดงเจตจำนงและท่าทีสูงสุดของจักรวรรดิออกมา!
นั่นก็คือต่อให้คืนนี้หลินสวินฆ่าจนนครต้องห้ามเลือดนองเป็นสายธาร ราชวงศ์แห่งจักรวรรดิก็จะไม่เอาความ และเช่นเดียวกัน จะไม่ออกหน้าให้ตระกูลจั่วและฉินด้วย!
“อีกอย่างสองตระกูลจั่วและฉินควบคุมกิจการและกำลังไว้ไม่น้อย ภายหน้าเกรงว่าพวกเขาทั้งสองตระกูลจะไม่ได้ใช้แล้ว ข้าคิดจะนำของของทั้งสองตระกูลมาเป็นรางวัล ขอเพียงเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อจักรวรรดิล้วนมีคุณสมบัติได้รางวัลนี้”
จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยปากอย่างผ่อนคลายสบายใจ
เหล่าขุนนางสูดหายใจเย็น นี่เป็นการเริ่มแบ่งทรัพย์สินและกำลังคนที่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงจั่วและฉินมีนะ!
ใครก็คิดไม่ถึงว่าทันทีที่จ้าวจิ่งเซวียนครองอำนาจในแผ่นดิน จะลงมือเด็ดขาดและโหดเหี้ยมเช่นนี้
หลังจากมีคำสั่งนี้ลงมา แม้แต่ก่อนสองตระกูลจั่วและฉินจะมีอำนาจคับฟ้า เจิดจรัสไร้ขอบเขต ก็จะถูกพายุฝนพัดไปในที่สุด!
“ทูลถามองค์หญิง จะชิงรางวัลอย่างไรดี”
มีคนยืนขึ้น แววตาลุกวาว
ทันใดนั้นคนอื่นๆ ก็พากันหูผึ่ง ในใจครุ่นคิดไม่หยุดหย่อน
ภูมิหลังของตระกูลจั่วและฉินเข้มแข็งหาใดเทียบ กิจการและกำลังคนในครอบครองกระจายอยู่ทั่วจักรวรรดิ ไปที่ไหนก็ต้องได้เจอ!
“ตอนนี้ภายในจักรวรรดิมีภัยจากสัตว์อสูรมาร ภายนอกมีพ่อมดเถื่อนเก้าสายรุกรานชายแดน ทุกคนอยากจะได้รับรางวัลก็ง่ายดายนัก ใช้ผลงานการรบมาพิจารณา ขอเพียงเป็นผู้ที่สังหารได้อย่างยอดเยี่ยมยุทธ์ ล้วนได้รับรางวัล”
จ้าวจิ่งเซวียนพูดเสียงเรียบ “คำพูดของข้าก็มีเพียงเท่านี้ พวกเจ้ามีความสามารถแค่ไหน ข้าก็จะให้พวกเจ้าได้ครอบครองรางวัลมากเท่านั้น!”
เหล่าขุนนางรับคำเสียงดัง
ในใจทุกคนต่างเริ่มวางแผนแล้วว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไรดี สองตระกูลจั่วฉินล้มลง ก็ไม่ต่างอะไรกับยักษ์ล้ม
ใครชิงลงมือได้ก่อน ก็จะฉวยเอาผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุดของยักษ์ใหญ่สองตัวนี้!
เบื้องหลังของเหล่าขุนนางในตำหนัก แต่ละคนแทบจะเป็นตัวแทนของขุมอำนาจตระกูลหนึ่ง กระจายตัวอยู่ทั่วจักรวรรดิ
พวกเขาจะไม่เรียกร้องความยุติธรรมให้ตระกูลจั่วและฉิน!
ทันใดนั้นมีคนเอ่ยว่า “องค์หญิง ตอนนี้คนในตระกูลจั่วและฉินหลายคนรับตำแหน่งสำคัญในพื้นที่ต่างๆ ของจักรวรรดิ คนพวกนี้… จะจัดการอย่างไร”
“ปลดออกจากตำแหน่ง”
จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยอย่างไม่ลังเล เพียงไม่กี่คำเท่านั้น เด็ดขาดหาใดเทียบ
“เช่นนั้นถ้าพวกเขาคิดไม่ซื่อ ไม่เชื่อฟังคำสั่งล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
คนผู้นั้นถามต่อ
“ฆ่าทิ้งก็ได้แล้ว”
จ้าวจิ่งเซวียนกล่าวเรียบๆ “ตำแหน่งของพวกเขาที่ว่างลงก็จะเป็นรางวัลอย่างหนึ่ง ใครมีความสามารถก็มาแข่งกันเพื่อช่วงชิงได้ทั้งนั้น”
ครู่เดียวเหล่าขุนนางในตำหนักต่างตื่นเต้นขึ้นมา นี่เป็นเรื่องดีที่ใหญ่เท่าฟ้า ไม่เพียงได้รับผลประโยชน์ของตระกูลจั่วและฉิน ยังชิงเอาอำนาจที่เดิมถือเป็นของพวกเขาสองตระกูลมาได้ด้วย!
จ้าวจิ่งเซวียนมองดูภาพนี้อย่างสงบ ในใจลอบเอ่ยว่าหลินสวินหนอหลินสวิน เพิ่งกลับมาวันแรกเจ้าก็สร้างปัญหายากให้ข้าแล้วข้อหนึ่ง ยังดีที่ข้ามาทัน
“เรื่องราวโดยละเอียดก็มอบให้ทุกท่านร่างแผนการ หลังจากข้าตรวจสอบและอนุมัติ ให้ประกาศใช้ลงไปก็พอ”
จ้าวจิ่งเซวียนลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนอกตำหนัก
“น้อมส่งองค์หญิง!”
เหล่าขุนนางต่างก้มหัว กระทั่งเงาร่างของจ้าวจิ่งเซวียนค่อยๆ หายลับไปจากนอกตำหนักเฉียนหยวน พวกเขาถึงพ่นลมหายใจออกมายาวๆ สีหน้าแตกต่างกันไป
“คิดไม่ถึงเลยนะ…”
บางคนทอดถอนใจ สีหน้าซับซ้อน
คืนนี้เกิดเรื่องราวมากมายเกินไปแล้ว กระทั่งตอนนี้พวกเขายังรู้สึกเหมือนฝันไป
เริ่มจากหลินสวินกลับมา ลุยเดี่ยวสังหารคนตระกูลจั่วและฉินจนหัวขาดกระเด็น เข่นฆ่าจนนครต้องห้ามสั่นสะท้านด้วยท่วงท่าไร้ศัตรูทัดเทียม
จากนั้นองค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินก็ถูกชิงอำนาจปกครอง หมดอำนาจโดยสมบูรณ์ และองค์หญิงใหญ่จ้าวจิ่งเซวียนก็ก้าวขึ้นมาสำเร็จราชการ
เรื่องใหญ่สะเทือนเลื่อนลั่นต่อเนื่องนี้ล้วนเกิดขึ้นในคืนนี้ แม้จะสมองดีแค่ไหน ตอนนี้ยังรู้สึกออกจะไม่พอใช้เสียแล้ว
“ตั้งแต่นี้ไป เกรงว่าในนครต้องห้ามคงเหลือตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงแค่ห้าตระกูลแล้วกระมัง”
มีคนพึมพำ
“ในคืนเดียวจักรวาลเปลี่ยนแปลง ลมฟ้าแปรผันเสียแล้ว!”
มีคนทอดถอนใจ
“ทำไมข้าได้ยินว่าตอนนั้นองค์หญิงใหญ่กับหลินสวินเป็นสหายที่สนิทสนมกันไม่เลว”
มีคนเอ่ยถ้อยคำแปลกชอบกล แต่กลับทำให้เหล่าขุนนางต่างครุ่นคิด
หลินสวินกลับจักรวรรดิมาในวันนี้ องค์หญิงใหญ่ก็คล้ายจะกลับมาวันนี้เช่นกัน หรือพวกเขาสองคนกลับมาด้วยกัน
ถ้าเป็นเช่นนี้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนต้องไม่ธรรมดานัก!
อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าท่าทีขององค์หญิงใหญ่ในคืนนี้เท่ากับยืนอยู่ข้างตระกูลหลิน ยืนอยู่เบื้องหลังหลินสวินอย่างโจ่งแจ้ง!
‘ดูท่าภายหน้าต้องพิจารณาความสัมพันธ์กับตระกูลหลินใหม่เสียแล้ว…’
หลายคนไตร่ตรองอยู่เงียบๆ
……
ในขณะเดียวกัน แขนเสื้อหลินสวินปลิวไสว แปรสภาพเป็นรุ้งเทพสายหนึ่งร่วงลู่ลงมาในตำหนักของยอดเขาชำระจิต
คืนนี้เขาเข่นฆ่าตลอดทาง สังหารศัตรูคู่แค้นจนสิ้น!
ความแค้นที่สั่งสมไว้ในใจก็ได้ระบายออกโดยสมบูรณ์แล้ว
ตอนนี้หลินสวินยืนอยู่บนยอดเขาตามลำพัง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก็เห็นว่าในส่วนลึกของราตรีนิรันดร์นั้น แสงอรุณสาดส่องให้ฟ้าสางเหมือนดาบคมตัดขาดรัตติกาล
ฟ้า สว่างแล้ว
——