Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1390 คุกเข่า

ตอนที่ 1390 คุกเข่า

ตูม!

เขาวิญญาณหยินสูงนับหมื่นจั้งสั่นโคลงอย่างรุนแรง ผนึกเทพถูกกำจัด พื้นผิวของภูเขาลูกนี้ถูกฟันออกเป็นรอยแยกตรงแน่วรอยหนึ่ง น่าตื่นตระหนกเมื่อได้เห็น

หลินสวินกลับนิ่วหน้า

ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ชั่วดีดนิ้วก็เผาภูผาหลอมทะเล แต่ตอนนี้กลับไม่อาจทำลายเขาวิญญาณหยินลูกนี้โดยสมบูรณ์เสียได้

ที่ทำให้หลินสวินไม่เข้าใจที่สุดก็คือ หลังจากตนเข้ามาในพื้นที่ภูเขาแห่งนี้ กวาดล้างตลอดทาง ความเคลื่อนไหวที่ก่อขึ้นยิ่งใหญ่ปานไหน

แต่กระทั่งตอนนี้ ‘ราชันเกราะทอง’ ที่ว่ายังไม่เคยปรากฏ

สิ่งนี้ดูผิดวิสัยนัก

บนเขาวิญญาณหยิน สัตว์อสูรมารร้องเสียงดัง ต่างตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก สับสนอลหม่านไปหมด

ผนึกเทพพิทักษ์ภูเขาที่ถูกมองว่าเป็นที่พึ่งพิงใหญ่ยิ่งก็ยังถูกหลินสวินทำลายได้ในกระบวนเฉือนเดียว นี่ก็เหมือนหญ้าฟางต้นเดียวล้มอูฐแบกของได้ ทำให้พวกมันใจฝ่อไปโดยสมบูรณ์

สวบ!

หลินสวินไม่ได้ลังเล เงาร่างลอยสูงขึ้นกลางอากาศ โฉบไปยังเขาวิญญาณหยิน

แสงมรรคน่ากลัวโคจรรอบกายเขา เจิดจรัสราวธารดาราม้วนตลบ ในทุกที่ที่ผ่านห้วงอากาศยุ่งเหยิง หินผาระเบิดป่นปี้

สัตว์อสูรมารที่ถูกจิตรับรู้ของหลินสวินกวาดโดนระหว่างทางทุกตน ไม่ว่าพลังจะอ่อนแอหรือแข็งแกร่งต่างแหลกสลายเป็นฝุ่นผงในชั่วพริบตา สิ้นชีพคาที่

เพียงช่วงเวลาไม่กี่อึดใจเท่านั้น เหนือเขาวิญญาณหยินถูกย้อมไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น ทุกที่ต่างเต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวนชวนหดหู่

นกปีศาจบางตัวสยายปีกจะบิน แต่ก็ไร้ประโยชน์ ร่างกายระเบิดแหลกไปกลางอากาศ

อสูรมารบำเพ็ญบางตนคุกเข่าร้องขอชีวิต แต่ยังถูกปลิดชีพดังเดิม!

หลายปีมานี้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ในจักรวรรดิไม่รู้เท่าไรถูกสัตว์อสูรมารสังหาร เมืองไม่รู้กี่เมืองถูกฆ่าล้างบาง

เดรัจฉานสารเลวพวกนี้ไม่น่าเห็นใจอยู่แล้ว!

แม้หลินสวินไม่ใช่พวกกระหายการเข่นฆ่า แต่ในตอนนี้กลับมีจิตสังหารแน่วแน่ ไม่เห็นอกเห็นใจสักนิด

เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา

ทั้งบนล่างของเขาวิญญาณหยิน เหล่าอสูรมารต่างถูกปลิดชีพ

กลิ่นคาวเลือดและซากศพเตะจมูกปกคลุมไปทั่วภูเขาลูกใหญ่!

‘จนป่านนี้แล้วกลับยังไม่ปรากฏตัว… หรือราชันเกราะทองผู้นี้สังเกตเห็นความผิดปกติได้ก่อนเลยหนีไปแล้ว’

หลินสวินนิ่วหน้า จิตรับรู้ของเขาครอบคลุมไปทั้งเขาวิญญาณหยิน สัมผัสอยู่ตลอด แต่จวบจนตอนนี้ยังไม่พบกลิ่นอายที่เกี่ยวข้องกับราชันเกราะทองแต่อย่างใด

‘ไม่ว่าเจ้าจะได้หนีไปหรือไม่ ก็จะทำลายรังเจ้าให้ราบคาบเป็นอย่างแรก!’

หลินสวินพลันทะยานขึ้นไป ดาบหักพุ่งออกไปดังชิ้งอีกครั้ง เจิดจรัสเปล่งประกาย ราวแสงพาดผ่านกลางจักรวาลสายหนึ่ง พลังดาบฟาดฟันลงมา

ตูม!

เขาวิญญาณหยินสูงหมื่นจั้งถูกฟันออกเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย ตัวภูเขาโงนเงนถล่มลง ได้ยินเสียงครั่นครืนไม่ขาด สั่นสะเทือนจนผืนพสุธาระส่ำระสาย ฝุ่นควันตลบอบอวล

หลินสวินยืนอยู่กลางอากาศ แขนเสื้อโบกพลิ้ว เขาคำนวณเล็กน้อย ตั้งแต่ฝ่าเข้ามาที่นี่จากนอกเมืองดาราโรย ห้อตะบึงมาเก้าพันลี้ ตลอดทางฆ่าอสูรมารนับไม่ถ้วน เลือดย้อมจักรวาล

ตั้งแต่ต้นจนจบยังไม่ถึงหนึ่งเค่อเท่านั้นเอง

ค่ายใหญ่ขุมอำนาจสัตว์อสูรมารที่ยึดครองมณฑลซีหนานแห่งจักรวรรดิแห่งนี้ ถูกกำราบราบคาบ!

สิ่งที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็อาจจะเป็นหาราชันเกราะทองไม่พบ

ชิ้ง!

หลินสวินเก็บดาบหักกลับมา พอกำลังเตรียมตัวจะจากไปจู่ๆ ก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง แววตาดุจอสนี ทอดมองไกลๆ ไปยังผืนดิน

เขาวิญญาณหยินถูกทำลายสิ้น ผืนดินยังคงสั่นสะเทือน ฝุ่นควันลอยวน

แต่ในสายตาของหลินสวิน ด้านล่างของเขาวิญญาณหยินกลับมีแท่นบูชาแท่นหนึ่งปรากฏขึ้นในตอนนี้!

แท่นบูชานั้นไม่สะดุดตานัก สูงประมาณเจ็ดฉื่อ ทั้งแท่นก่อขึ้นจากศิลาดำโบราณ นอกจากนี้ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ

แต่หากสัมผัสด้วยจิตรับรู้ก็จะพบว่า พลังพิสดารที่อบอวลอยู่รอบแท่นบูชานี้สามารถตัดการสำรวจของจิตรับรู้ได้!

‘มิน่าเมื่อกี้ถึงสัมผัสไม่ได้ ที่แท้ก็เป็นพลังผนึกที่ขัดขวางจิตรับรู้…’

ประกายวับวาววาบผ่านในดวงตาของหลินสวิน

เงาร่างของเขาลงมาเบื้องหน้าแท่นบูชานั้นอย่างรวดเร็ว พอประเมินเล็กน้อยก็แน่ใจได้เรื่องหนึ่งแล้ว

ที่แท้พลังกระบวนผนึกที่ปกคลุมเหนือเขาวิญญาณหยินก็มาจากแท่นบูชานี้ เป็นเพราะพลังแปลกพิสดารเช่นนี้ถึงทำให้พลังกระบวนผนึกนั้นทรงพลังถึงที่สุด

‘หืม? ถึงกับเกี่ยวพันกับนัยเร้นลับของห้วงอากาศว่างเปล่า…’

ไม่นานนักนัยน์ตาหลินสวินก็หดรัดลง ไหวหวั่นอีกครั้ง สังเกตเห็นพลังสูงส่งของห้วงอากาศจากแท่นบูชาแท่นนี้

‘ค่ายกลเคลื่อนย้ายหรือ หากเป็นเช่นนี้จะเคลื่อนย้ายไปที่ไหนกัน’

หลินสวินประหลาดใจอยู่บ้าง

ค่ายกลเคลื่อนย้ายเป็นค่ายกลเคลื่อนที่ซึ่งมีเพียงอริยะถึงวางได้

ตามที่หลินสวินรู้ ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลมีเพียงสถานที่ไม่กี่ที่เช่นพระราชวัง สำนักศึกษามฤคมรกต ถึงมีค่ายกลเคลื่อนย้ายเช่นนี้

แต่ตอนนี้ใต้เขาวิญญาณหยินแห่งนี้ ในรังของราชันเกราะทองถึงกับมีค่ายกลขนย้ายเช่นนี้ เรื่องนี้ก็ดูน่าเหลือเชื่อนัก

ที่ควรรู้ก็คือราชันเกราะทองผู้นี้ไม่ใช่อริยะ และไม่มีทางมีความสามารถวางค่ายกลนี้ได้!

‘ฟ้าดินแปรผันฉับพลัน ทำให้อาณาเขตของจักรวรรดิในสิบกว่าปีมานี้เกิดความเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดมากมาย ก็เหมือนสัตว์อสูรมารเหล่านี้ที่ราวกับปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ…’

‘ตอนนี้ถึงกับยังมีค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณปรากฏขึ้น หรือเหล่าสัตว์อสูรมารอย่างราชันเกราะทองต่างเป็นผู้ที่โลกอีกด้านหนึ่งส่งมา’

พอคิดถึงตรงนี้ หลินสวินยังออกจะฉงนใจอย่างอดไม่ได้

‘ข้าอยากจะดูนักว่าภายในนี้มีความลับเช่นไรซ่อนอยู่’

ครุ่นคิดครู่ใหญ่หลินสวินก็กัดฟัน เหยียบขึ้นบนแท่นบูชาโบราณนั้นแล้วสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง แสงมรรคไพศาลสายหนึ่งก็เทลงมา

วู้ม!

ทันใดนั้นแท่นบูชาโบราณนั้นราวกับถูกกระตุ้นให้ตื่นจากการหลับใหล แผ่คลื่นอากาศอัศจรรย์ออกมา

ครู่ต่อมาเงาร่างของหลินสวินก็หายลับไป

……

พื้นที่ว่างใต้ดินแห่งหนึ่ง ไอลีนโนเวล

ดำสนิท มืดมิด กดดัน

ตรงกลางมีบึงเลือดขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง

ครึ่กๆ!

บึงเลือดพลุ่งพล่านปั่นป่วน น้ำเลือดเข้มข้นถาโถม มีเสียงคำรามหดหู่ ไม่ยินยอม โศกเศร้าและแค้นเคืองแว่วมารางๆ ชวนพรั่นพรึงหาใดเทียบ

ชายชุดทองคนหนึ่งคุกเข่าหมอบลงกับพื้น สีหน้าเคร่งขรึมศรัทธา เอ่ยปากว่า “ใต้เท้าบรรพจารย์อสูรมาร นี่เป็น ‘ของเซ่นไหว้’ กองที่สาม ข้างในมีเลือดหัวใจของเด็กชายแสนคน ดวงวิญญาณของเด็กหญิงแสนคน นอกจากนี้ยังมีวิญญาณหยางพิสุทธิ์แปดสิบดวง วิญญาณหยินพิสุทธิ์สามสิบดวง…”

ตรงข้ามกับชายชุดทองมีวังน้ำวนขนาดยักษ์สายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ลึกล้ำเหมือนไร้สิ้นสุด ไม่รู้ว่าเชื่อมต่อไปยังที่ใด

พอพูดจบชายผู้นั้นก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งเอ่ยว่า “หากใต้เท้าบรรพจารย์อสูรมารพึงพอใจ เพียงขอให้ท่านมอบ ‘ลูกกลอนอมตะย้อนชะตา’ แก่ข้ารับใช้ของท่านเม็ดหนึ่งด้วยเถิด!”

ตูม!

จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อ น้ำเลือดเข้มข้นพลันกระเด็นขึ้นมาจากบึง น้ำเลือดคับฟ้านั้นราวกับน้ำพุสายหนึ่ง เคลื่อนเข้าไปในวังน้ำวนที่สงบนิ่งอยู่กลางอากาศนั้น

ทันใดนั้นวังน้ำวนก็หมุนวนช้าๆ แผ่คลื่นพลังห้วงอากาศพิสดารและน่าหวาดกลัวออกมา ทำให้พื้นที่ว่างแห่งนี้เปลี่ยนเป็นกดดัน

กระทั่งบึงเลือดว่างเปล่า วังน้ำวนที่หมุนวนสายนั้นก็เหมือนปากอ้ากว้างที่กินอาหารจนอิ่ม ปรากฏแสงประหลาดขึ้นมา

“หึ! ของเซ่นไหว้ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เจ้ายังกล้าคิดถึงลูกกลอนอมตะย้อนชะตาอีกหรือ ละเมอเพ้อพก!”

พลันมีเสียงเย็นชาน่าเกรงขามเสียงหนึ่งดังขึ้นจากส่วนลึกของวังน้ำวน

ชายชุดทองตัวสั่นงันงก จากนั้นก็ร้อนรนนัก “ใต้เท้าบรรพจารย์อสูรมาร ใช้เวลาไม่นานข้าก็จะบรรลุระดับอมตะเคราะห์ด่านแปดแล้ว หากไม่มีลูกกลอนนี้ย่อมทะลวง ‘เคราะห์โชคชะตา’ ได้ยาก ขอใต้เท้าบรรพจารย์อสูรมารโปรดเมตตาช่วยให้ข้าสมปรารถนาด้วย ภายหน้าข้าจะเก็บของเซ่นไหว้มาให้ท่านมากขึ้นอย่างสุดกำลัง!”

หลังจากเงียบไปครู่สั้นๆ เสียงเย็นชาน่าเกรงขามนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้งจากส่วนลึกของวังน้ำวนสีเลือดอันพิสดารนั้น “อริยะไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง ข้ามอบลูกกลอนอมตะย้อนชะตาให้เจ้าก็ได้ แต่คราวหน้าข้าต้องการของเซ่นไหว้มากกว่าสิบเท่า!”

สิบเท่าหรือ

ชายชุดทองคิดคำนวณในใจเงียบๆ ทันใดนั้นก็กังวลใจไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเขายังกัดฟันเอ่ยว่า “ขอให้ใต้เท้าบรรพจารย์อสูรมารวางใจได้เลย!”

ฟุ่บ!

ในวังน้ำวนสีเลือดนั้นพลันมีรุ้งเทพเจิดจรัสสายหนึ่งโฉบออกมา ไหววูบอยู่กลางอากาศ แล้วแปรสภาพเป็นลูกกลอนขนาดเท่ากำปั้นทารกเม็ดหนึ่งอย่างรวดเร็ว

ลูกกลอนนี้อัศจรรย์ยิ่งนัก โปร่งใสแวววาวไปทั้งเม็ด แปรเปลี่ยนเป็นพลังกฎเกณฑ์สายแล้วสายเล่า ถึงกับมีเสียงอริยะท่องธรรมแว่วมารางๆ

แววตาของชายชุดทองเปลี่ยนเป็นคลั่งไคล้หาใดเทียบขึ้นมาทันที

ลูกกลอนอมตะย้อนชะตา!

สิ่งนี้เป็นถึงของล้ำค่าอัศจรรย์หายาก มีพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงดวงชะตาได้ประทับอยู่ เป็นสมบัติอันประเมินค่าไม่ได้อย่างแน่นอน

“ขอบคุณใต้เท้าบรรพจารย์อสูรมาร!”

ชายชุดทองก้มหัวหมอบกราบ จากนั้นก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งลุกขึ้นยืน แล้วยื่นมือไปคว้าลูกกลอนอมตะย้อนชะตาที่อยู่กลางอากาศเม็ดนั้นไว้

ฉึบ!

แต่ก็ในตอนนี้เอง มือใหญ่เรียวยาวมือหนึ่งเคลื่อนออกมา ชิงคว้าลูกกลอนอมตะย้อนชะตาเม็ดนั้นไว้ในมือ

ในขณะเดียวกันเงาร่างของหลินสวินก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ

ก่อนหน้านี้หลังจากเขาเหยียบเข้ามาในแท่นบูชาโบราณนั้น ก็มาปรากฏตัวอย่างแปลกประหลาดในห้วงความว่างเปล่าแห่งนี้ และสังเกตเห็นชายชุดทอง บึงเลือดและวังน้ำวนในทันที

หลินสวินจึงสำแดงไอซวนหนีโดยไม่ลังเลทันที ปกปิดกลิ่นอายรอบกายไว้ ซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบไร้เสียง

หืม?

ชายชุดทองหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ คล้ายทำใจเชื่อได้ยาก ทันใดนั้นก็คำรามลั่นว่า “เจ้าเป็นใครถึงได้กล้าชิงของของข้า สมควรตาย!”

เกิดเสียงดังตูม กลิ่นอายรอบกายเขาพลันเปลี่ยนเป็นคลุ้มคลั่ง ทองเจิดจ้าไปทั้งตัว ไอชั่วร้ายคับฟ้าน่าหวาดหวั่นหาใดเทียบแผ่ขยายออกมา

“ตาย!”

เขาปล่อยหมัดออกไปโดยพลัน แสงทองราวกระแสธาร ห้วงอากาศถูกชกจนระเบิดแตกออก

ก็เห็นว่าหลินสวินสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง แสงมรรคสีใสเต็มฟ้าม้วนตลบออกมา สลายพลังหมัดสายนี้ไปอย่างง่ายดาย

ชายชุดทองดวงตาหดรัด รับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ฝืนข่มไฟโทสะที่อยู่ในใจไว้แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าอึมครึมว่า “สหาย จู่ๆ เจ้าก็เข้ามาในอาณาเขตของข้า แถมยังขโมยของของข้าไปอีก จะต่ำช้าไปแล้วหรือไม่”

“เจ้าก็คือราชันเกราะทองกระมัง”

หลินสวินเอ่ยถาม ในมือเล่นลูกกลอนอมตะย้อนชะตาอย่างสบายใจ

“ไม่ผิด”

ราชันเกราะทองพยักหน้า สีหน้าดุร้าย “ในเมื่อเจ้ารู้จักข้า ก็คงรู้ดีว่าจุดจบของการล่วงเกินข้าจะอนาถแค่ไหน ขอเตือนเจ้าคำหนึ่ง รีบๆ ส่งลูกกลอนในมือมา หาไม่แล้ว…”

“คุกเข่า!”

ไม่รอให้พูดจบหลินสวินก็เอ่ยตัดบทอย่างเฉยชาแล้ว เพียงสองคำเท่านั้น พูดออกมาอย่างง่ายดาย

ในเวลาเดียวกันนี้ กลิ่นอายบนตัวเขาพลันแผ่ออกมา พลังขอบเขตมกุฎของระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดขั้นสมบูรณ์ ทำให้เขาดุจดั่งกลายเป็นเทพอิทธิฤทธิ์เหลือคณาองค์หนึ่งในชั่วพริบตา

ราชันเกราะทองเพียงรู้สึกหายใจไม่ออกประหนึ่งมีภูเขาเทพกดทับอยู่บนร่าง ไม่ว่าเขาจะต่อต้านสุดชีวิตเช่นไร ก็ไม่อาจยกเอาแรงกดทับของพลังอันน่าหวาดหวั่นนั้นออกไปได้สักนิด

ร่างกายเริ่มถูกกดทับจนบิดเบี้ยวทีละน้อย

“อ๊าก…!”

ตาเขาแทบถลน ร้องคำรามกราดเกรี้ยว เส้นเลือดบนศีรษะปูดโปน ทุ่มพลังทั้งหมดที่มี

แต่สุดท้ายข้อเข่าทั้งสองของเขาล้วนระเบิดป่นปี้ ร่างคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตึง สะเทือนจนพื้นดินโคลงไปครู่หนึ่งพร้อมกับเสียงกระดูกระเบิดแหลก

หลินสวินไพล่มือไว้ข้างหลัง ดวงตาดำลุ่มลึก มองลงมายังราชันเกราะทองที่อยู่บนพื้นแล้วพูดว่า “ต่อหน้าข้า เดรัจฉานชั่วช้าอย่างเจ้าไม่มีสิทธิ์ยืนพูด เข้าใจไหม”

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท