Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1389 กระบวนเฉือนเดียวเปิดผนึกเทพ

ตอนที่ 1389 กระบวนเฉือนเดียวเปิดผนึกเทพ

หลังจากศึกใหญ่จบลง พวกหลินสวินก็ได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดจากซ่งจวินกุย

ทว่าหลินสวินไม่คิดจะร่ำไร เขากังวลว่าหลังจากราชันเกราะทองได้ข่าวจะไปซ่อนตัว ถ้าเป็นเช่นนั้นจะไปเสาะหาก็คงยุ่งยาก

สุดท้ายหลินสวินตัดสินใจว่าจะให้หลินเสวี่ยเฟิงนำเหล่าลูกหลานตระกูลหลินสิบคนหยุดอยู่ที่นี่เพื่อเข้าร่วมสังหารอสูรมารกับพลทหารจักรวรรดิ

ภัยพิบัติสัตว์อสูรมารกระจายไปทั่วพื้นที่ต่างๆ ของมณฑลซีหนาน แม้ตอนนี้จะได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่ แต่ต่อไปยังต้องต่อสู้อีกมาก

ทว่าเรื่องเหล่านี้เพียงมอบให้กองทัพจักรวรรดิจัดการก็พอแล้ว

“ข้าต้องการรู้ข่าวเกี่ยวกับราชันเกราะทองผู้นี้สักหน่อย”

หลินสวินไปหาซ่งจวินกุยเพื่อสอบถาม

“ราชันอสูรมารตนนี้ยึดครองส่วนลึกของเทือกเขาวิญญาณหยินนอกเมืองดาราโรยมาโดยตลอด…”

ซ่งจวินกุยบอกข้อมูลที่รู้ให้หลินสวินฟังทีละเรื่อง แต่ต่างเป็นข้อมูลที่ไม่สำคัญ

ฐานะ ประวัติความเป็นมา และศักยภาพของราชันเกราะทอง แม้แต่ซ่งจวินกุยก็ไม่รู้

สาเหตุก็เพราะหลายปีมานี้ราชันเกราะทองผู้นี้ปรากฏตัวน้อยครั้งนัก ควบคุมกองทัพสัตว์อสูรมารอย่างลับๆ มาโดยตลอด

“จริงสิ ก่อนหน้านี้ไม่นานราชันเกราะทองผู้นี้เคยคุยโวว่าหากคุณชายหลินกล้ามาที่มณฑลซีหนาน เขาจะ…”

พอพูดจบซ่งจวินกุยก็ลังเลไปครู่หนึ่ง

“จะอะไร”

หลินสวินถาม

“รับท่านเป็นข้ารับใช้”

ซ่งจวินกุยกัดฟันครั้งหนึ่งแล้วพูดความจริงออกไป

หลินสวินอึ้งไป ทันใดนั้นก็ยิ้มขึ้นอย่างอดไม่ได้ พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว ข้าล่ะอยากเห็นจริงๆ ว่าเดรัจฉานนี่มีความสามารถอะไรถึงได้กล้าคุยโวแบบนี้”

รังสีเย็นเยียบไหวเคลื่อนในดวงตาดำคู่นั้นของเขา

ผ่านไปสองชั่วยาม

ตอนนี้หลินสวินปรากฏตัวอยู่นอกเมืองดาราโรย

ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี แต่ฟ้าดินกลับไม่มีชีวิตชีวาสักนิด เมืองดาราโรยที่ใหญ่โตกลายเป็นซากปรักหักพัง มองเห็นกระดูกแห้งและรอยเลือดได้ทุกที่

นอกเมืองหลายร้อยลี้ ทิวเขาแนวหนึ่งยาวต่อเนื่องไปเหมือนไร้สิ้นสุด เมฆทะมึนโอบล้อม

ตามคำพูดของซ่งจวินกุย เขาวิญญาณหยินปรากฏขึ้นบนโลกหลังฟ้าดินแปรผันฉับพลัน ราชันเกราะทองก็เป็นราชันอสูรมารผู้แข็งแกร่งตนหนึ่งที่ผงาดขึ้นจากที่นี่

หลายปีมานี้พร้อมๆ กับที่ภัยพิบัติสัตว์อสูรมารเกิดขึ้นไม่ว่างเว้น เขาวิญญาณหยินแห่งนี้ก็เหมือนกลายเป็นค่ายใหญ่ของสัตว์อสูรมารเหล่านั้น

กองทัพจักรวรรดิเคยเข้าโจมตีที่นี่หลายครั้ง แต่ล้วนจบลงด้วยความล้มเหลว ไม่อาจเหยียบย่างเข้าไปในเขาวิญญาณหยินแห่งนั้นสักก้าว!

ถึงกับยังมีผู้แข็งแกร่งระดับราชันของจักรวรรดิหลายคนสิ้นชีพที่นี่

จากจุดนี้ก็รับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของเขาวิญญาณหยินแล้ว

‘ถ้าสามารถฆ่าสัตว์อสูรมารที่นี่ให้ตายพร้อมกันในคราวเดียวได้ คงเพียงพอจะคลี่คลายภัยพิบัติอสูรมารของมณฑลซีหนานได้แล้วกระมัง…’

หลินสวินลุกขึ้นยืน ก้าวย่างไปในห้วงอากาศ เคลื่อนไปยังเขาวิญญาณหยินที่อยู่ไกลออกไป

“หืม?”

“ถึงกับมีมนุษย์เข้าประชิด!”

“ฆ่า!”

เพียงแต่ยังไม่ทันที่หลินสวินจะเข้าใกล้ ในพื้นที่ใกล้เคียงนั้นก็มีกำลังพลสัตว์อสูรมารกองหนึ่งพุ่งออกมา บางตนยังกลายร่างเป็นคนกระโจนมาทางนี้อย่างดุร้ายน่ากลัว

ที่นี่เป็นอาณาเขตของจักรวรรดิ แต่ตอนนี้สัตว์อสูรมารพวกนี้กลับอ้างตัวเป็นราชัน ทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของที่!

ในจักรวรรดิสัตว์อสูรมารที่ทัดเทียมผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะเป็นศัตรูอันตรายที่รับมือได้ยากถึงที่สุดไปแล้ว แต่สำหรับหลินสวินก็ไม่ได้เก่งกาจเลย

ปึงๆๆ!

การโจมตีของพวกมันมาถึงครึ่งทางก็ถูกกลิ่นอายบนตัวหลินสวินบดขยี้ไป

“แย่แล้ว!”

สัตว์อสูรมารเหล่านั้นตกตะลึงยกใหญ่ รับรู้ได้ว่าพบเข้ากับศัตรูแข็งแกร่ง พอกำลังจะตอบสนองกลับไป ก็เพียงรู้สึกว่าอานุภาพน่าหวาดหวั่นไร้รูปสายหนึ่งเข้าปกคลุม

ครู่ต่อมาร่างของพวกมันก็สลายกลายเป็นฝุ่นผง!

หลินสวินเดินเยื้องย่างไปในห้วงอากาศโดยไม่ปิดบังสักนิด เข้าประชิดเขาวิญญาณหยินที่อยู่ไกลออกไปเช่นนี้

“เร็วเข้า! มีศัตรูจู่โจม!”

“กล้าจังนะ เจ้าพวกไม่รู้ดีชั่วคนไหนกล้าแจ้นมาที่อาณาเขตของพวกเรา”

ชั่วขณะหนึ่งในบริเวณใกล้เคียงสัตว์อสูรมารที่จำศีลอยู่ในนั้นต่างตื่นตระหนก พากันพุ่งตัวออกมา

ทอดสายตามองไปก็เห็นว่าไออสูรมารถาโถม เงาร่างไหววูบ มีแต่เงาร่างของสัตว์อสูรมารไปทั่วทุกแห่งหน

หลินสวินประหลาดใจไปครู่หนึ่งอย่างอดไม่ได้ แต่ก็ยิ่งทำให้เขาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทำลายที่นี่!

ครืน!

หลินสวินสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง พลังแผ่ออกมาเหมือนพายุคลั่งม้วนตลบโลกา ทุกที่ที่พัดผ่าน หินผาระเบิดแหลก ต้นไม้ใบหญ้ากลายเป็นฝุ่น

ตลอดทางสัตว์อสูรมารที่กระโจนเข้ามาต่างถูกฉีกทึ้งเหมือนเศษกระดาษ แปรสภาพเป็นฝนเลือดสาดกระเซ็นเต็มฟ้า

“นี่… จะน่ากลัวเกินไปแล้ว”

สัตว์อสูรมารเหล่านั้นร้องเสียงแหลม ตัวสั่นงันงกไม่หยุด

“เร็ว เข้าไปพร้อมกัน จะต้องสกัดเขาไว้ให้ได้!”

ในเขาวิญญาณหยินที่อยู่ไกลออกไปมีเสียงตะคอกดังราวอสนีบาตระลอกแล้วระลอกเล่าดังขึ้น

ทันใดนั้นภาพอัศจรรย์ภาพหนึ่งปรากฏสู่สายตาหลินสวิน ก็เห็นว่าภายในเขาวิญญาณหยินมีนกปีศาจสัตว์สี่เท้าไหลหลั่งออกมาภายนอกอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นเหมือนเมฆดำมืดฟ้ามัวดิน

แน่นขนัดเบียดเสียด นับหมื่นนับพัน คล้ายไหลมาไม่ขาดสาย

มากเกินไปแล้ว!

หลินสวินคิดไม่ถึงว่าในเขาวิญญาณหยินลูกเดียวจะมีสัตว์อสูรมารมากมายปานนี้ยึดครองอยู่

ดวงตาเย็นชาของเขาวาบประกายสายฟ้า คร้านจะติดพันกับเดรัจฉานราวมดตัวจ้อยพวกนี้

ก็เห็นเขาพลันสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เพียงเฮือกเดียวเท่านั้นกลับเหมือนคุนเผิงกลืนสมุทร ในห้วงอากาศราวกับมีพายุลูกหนึ่งถูกกลืนเข้าไปในปากหลินสวิน

ห้วงอากาศบิดเบี้ยวยุบตัว

สัตว์อสูรมารเหล่านั้นต่างตื่นตะลึง ในหัวงุนงงไปหมด เจ้าหมอนี่จะทำอะไร

ก็เห็นว่าขณะนี้หลินสวินพลันแหงนหน้าขึ้นคำราม!

เสียงคำรามผูเหลา!

เสียงคำรามนี้กลายเป็นคลื่นกราดเกรี้ยวสีทองราวมหาสมุทร ครึกโครมดุจอสนีบาต แผ่กระจายไปทั่วทิศโดยมีหลินสวินเป็นศูนย์กลาง

หนำซ้ำพร้อมกับที่เสียงคำรามที่ยิ่งดังขึ้น ฟ้าดินแถบนี้ต่างคล้ายรับไม่ไหว ถล่มพังทลาย ส่งเสียงระเบิดและยุบตัวไปทุกกระเบียด

ส่วนผู้แข็งแกร่งสัตว์อสูรมารที่พุ่งออกมาราวกระแสธารนั้น ร่างกายถูกบดขยี้ไปแถบแล้วแถบเล่าเหมือนต้นหญ้าไร้ค่า!

สังหารเหมือนลมสารทกวาดใบไม้ร่วงโรย พายุม้วนสลายเมฆา!

เมื่อเสียงคำรามเงียบลง ทั่วทุกสารทิศก็ไม่มีเงาร่างสัตว์อสูรมารอีกแม้แต่ร่างเดียว เหลือเพียงกลิ่นคาวเลือดและความพังพินาศ!

ฟ้าดินแห่งนี้เป็นดั่งก้อนกระดาษที่ถูกบดขยี้จนป่นปี้!

เสียงคำรามเดียวสะเทือนจักรวาล! ไอลีนโนเวล

สวบ!

และตอนนี้หลินสวินพุ่งเข้าไปในเทือกเขาวิญญาณหยินนานแล้ว

ที่นี่เต็มไปด้วยหมู่ยอดเขา ยืดยาวแผ่ขยายเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ไม่อาจล่วงรู้ว่าลึกเพียงใด อาศัยพลังจิตรับรู้ของหลินสวินยังไม่อาจสำรวจได้

รอบๆ ยอดเขาแต่ละลูกต่างมีสัตว์อสูรมารมากมายจำศีลอยู่อย่างหนาแน่น ทั้งสัตว์ปีกสัตว์บก ภูตพฤกษา ที่ควรมีก็มีหมด

ในขณะเดียวกันก็มีกระดูกขาวกองสุมกระจายอยู่ระหว่างหินผา เห็นได้ชัดว่าเป็นซากศพมนุษย์ที่ถูกสัตว์อสูรมารเคี้ยวกิน

ซากศพบางส่วนถึงกับถูกสัตว์อสูรมารเอามาเป็นวัตถุดิบอาหาร ที่ห้อยอยู่หน้าถ้ำสถิตมีทั้งชายหญิงเด็กแก่ ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและหวาดกลัว

หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองคงทำให้คนสงสัย ว่าที่นี่เป็นแดนมารนองเลือดแห่งหนึ่ง!

‘หลายปีนี้มีคนมากมายเท่าไรตายอนาถที่นี่กันแน่นะ’

รังสีเย็นชาฉายวาบในดวงตาดำของหลินสวิน

เขาเริ่มลงมือสังหาร ไม่ปิดบังสักนิด

ตูม! ตูม!

ในทุกที่ที่เขาผ่าน ยอดเขาลูกแล้วลูกเล่าหักโค่นลง สัตว์อสูรมารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าตายอนาถ ถูกฆ่าราบคาบไม่เหลือแม้สักตน

หากมองลงมาจากเวิ้งฟ้า ภายในเทือกเขาวิญญาณหยินแห่งนี้ก็เหมือนถูกเทพเทวากวาดล้าง ยอดเขาลูกแล้วลูกเล่าถูกระเบิดทำลายย่อยยับ!

สัตว์อสูรที่พำนักอยู่ภายในเหล่านั้นยังไม่ทันหลบหนีก็ถูกกำจัด

เพียงครู่เดียวเท่านั้น

หลินสวินหยุดฝีเท้า

เบื้องหลังร่างเขาคือความโกลาหลและนองเลือดไปทั้งแถบ ปรากฏเป็นภาพสรรพสัตว์ถูกทำลายป่นปี้

ส่วนเบื้องหน้าของเขาคือภูเขาใหญ่สูงราวหมื่นจั้ง ทั้งลูกเหมือนก่อขึ้นจากหินหยกสีทองลูกหนึ่ง สูงใหญ่ตั้งตระหง่าน ตัวภูเขาทั้งด้านบนและล่างอบอวลไปด้วยแสงทองถั่งโถม ดูศักดิ์สิทธิ์หาใดเทียบ ประหนึ่งถ้ำสวรรค์แดนมงคลแห่งหนึ่ง

แต่ในสายตาหลินสวินทั้งบนล่างของภูเขาลูกนี้กลับมีแต่วิญญาณร้าย ไอพิฆาตพลุ่งพล่าน กลิ่นอายชั่วร้ายคลุ้งเลือดเข้มข้นถึงที่สุดแผ่ออกมา

เขาวิญญาณหยิน!

ที่นี่ก็คือรังของราชันเกราะทอง

“ราชันเกราะทอง เจ้าไม่ได้อยากรับข้าหลินสวินเป็นข้ารับใช้หรอกหรือ กล้าโผล่หัวมาเจอกันหน่อยไหม”

พร้อมกับที่หลินสวินเอ่ยปาก เสียงราบเรียบนั้นประหนึ่งอสนีบาตดังกึกก้องกลางฟ้าดิน ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ทำให้เมฆถล่มไปทั่วแปดทิศ

เสียงร้องตระหนกและหวีดแหลมเป็นระลอกเล่าดังขึ้นเหนือเขาวิญญาณหยิน นั่นคือสัตว์อสูรมารที่ยึดครองเขาวิญญาณหยินอยู่

ในขณะเดียวกัน จิตรับรู้ของหลินสวินแผ่ขยายปกคลุมไปยังเขาวิญญาณหยิน

‘กระบวนผนึกหรือ’

หลินสวินนิ่วหน้า สังเกตได้ว่าทั้งเขาวิญญาณหยินมีพลังผนึกพิสดารยิ่งยวดอย่างหนึ่งตัดขาดภูเขาลูกนี้ออกจากฟ้าดิน

ความรู้สึกนี้ก็เหมือนภูเขาลูกนี้ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ แต่อยู่ในโลกอันไกลลิบอีกโลกหนึ่ง

‘มิน่าถึงกล้าตั้งตนเป็นราชันครองภูเขาอย่างผ่าเผยเช่นนี้ ที่แท้ก็มีฝีมือ’

หลินสวินพึมพำในใจ

ครู่ต่อมาเขาก็รวบนิ้ววาดออกไป แสงกระบี่ยาวหลายพันจั้งสายหนึ่งโฉบขึ้นมาประหนึ่งรุ้งเทพพาดอยู่กลางฟ้าดิน

“เฉือน!”

กระบี่นี้เชื่อมโยงแก่นจริงแท้แห่งไท่เสวียน บรรจุความลึกลับของมหามรรคทั้งปวงไว้ภายใน ทันทีที่กระบี่พุ่งออกไป คมประกายไร้เทียมทาน ทำให้ฟ้าดินหม่นสี

แต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือ เมื่อฟันลงมาเขาวิญญาณหยินแห่งนั้นสั่นสะเทือนรุนแรงระลอกหนึ่ง จากนั้นก็เห็นว่าพลังผนึกถาโถมพวยพุ่ง ถึงกับสลายพลานุภาพของกระบี่นี้ไป

“ฮ่าๆๆ ไอ้เผ่ามนุษย์โง่เง่าคนนี้ ยังคิดจะทำลายผนึกเทพของเขาลูกนี้ด้วย ช่างรนหาที่ตายจริงๆ”

“หึ รอมหาราชันออกมาจากการปิดด่าน จะต้องฆ่ามันเป็นคนแรกแน่!”

“เผ่ามนุษย์ เจ้าก็อยู่รอรับความตายเถอะ!”

เสียงหัวเราะเยาะเย้ยระลอกแล้วระลอกเล่าดังขึ้นเหนือเขาวิญญาณหยิน สัตว์อสูรมารเหล่านั้นต่างยินดีที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ เห็นได้ชัดว่าคิดว่าหลินสวินไม่อาจทลายเข้ามาได้

หลินสวินไม่สนใจสิ่งเหล่านี้

ประกายเย็นเยียบไหวเคลื่อนในดวงตาดำของเขา จิตรับรู้อันไพศาลปกคลุมเขาวิญญาณหยินแห่งนี้ เริ่มอนุมาน

‘ผนึกของเขาลูกนี้ไม่ถือว่าแข็งแกร่ง แต่กลับมีพลังพิสดารสายหนึ่งเกื้อหนุนอยู่ภายใน รับการจู่โจมของข้าไว้เมื่อกี้…’

ไม่นานนักหลินสวินก็กระจ่างแจ้ง แต่ที่ทำให้เขานิ่วหน้าก็คือพลังพิสดารนั้นถูกสัมผัสได้ยากนัก

‘ช่างเถอะ ทำลายผนึกนี้ก่อน พอฝ่าเข้าไปข้างในก็จะได้รู้ที่มาที่ไปของพลังนี้!’

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ไม่ต้องการร่ำไรอีก

ชิ้ง!

ดาบหักสีขาวเปล่งประกายราวหิมะโฉบออกไปดั่งภาพฝันมายา

ในขณะเดียวกัน พลังขอบเขตมกุฎของระดับอมตเคราะห์ด่านเจ็ดภายในร่างของหลินสวินก็พวยพุ่งโดยสมบูรณ์ แทรกเข้าไปภายในดาบหัก

ชั่วพริบตานั้นประกายแสงพร่างพราวที่ดาบหักแผ่ออกมาก็ส่องสว่างฟ้าดิน แสบตาจนสัตว์อสูรมารบนเขาวิญญาณหยินต่างลืมตาไม่ขึ้น

เจิดจ้าเกินไปแล้ว!

‘เฉือน!’

ดาบหักทะยานขึ้นฟ้าพร้อมๆ กับที่หลินสวินนึกคิดในใจ รวบรวมฝนแสงศักดิ์สิทธิ์ประหนึ่งน้ำตกไว้แล้วฟาดฟันลงไปอย่างรุนแรง

ตูม!

พร้อมกับเสียงดังโครมครามสะท้านฟ้าดินเสียงหนึ่ง พลังผนึกที่ปกคลุมเขาวิญญาณหยินไว้ถูกฟันเปิดออก

“แย่แล้ว!”

“นะ… นี่เป็นไปได้อย่างไร”

“มหาราชันเคยพูดไว้ว่านี่เป็นผนึกเทพที่ไม่ได้มาจากโลกนี้ เว้นแต่อริยะลงมือ หาไม่แล้วใครก็ทำลายไม่ได้!”

เสียงร้องแหลมประหวั่นพรั่นพรึงดังขึ้นทั้งเขาวิญญาณหยิน

แต่ผู้แข็งแกร่งสัตว์อสูรมารที่มากยิ่งกว่า ยังไม่ทันตั้งสติก็ถูกพลังที่กระบวนเฉือนของดาบหักนี้ปลดปล่อยออกมาสังหารราบคาบ

หลังจากร่างของสัตว์อสูรมารเหล่านี้ระเบิดป่นปี้ก็ระเหยไปทันที

กระบวนเฉือนนี้ เปิดผนึกเทพ!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท