Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1408 เข้ามรรคาสวรรค์อีกครั้ง

ตอนที่ 1408 เข้ามรรคาสวรรค์อีกครั้ง

ศึกทะเลสาบอสนีวาโยทำให้สถานการณ์จักรวรรดิเปลี่ยนไป เหมือนได้เปรียบเบ็ดเสร็จในการต่อต้านขุมอำนาจอสูรมาร

ตอนนี้ใครก็รู้ว่าภัยพิบัติสัตว์อสูรมารมารจะต้องแตกกระสานซ่านเซ็นไปแล้วแน่นอน!

มีคนทำสถิติออกมา ตั้งแต่หลินสวินปรากฎตัวในนครต้องห้ามกระทั่งสังหารราชันอสูรมารในใต้หล้า ตั้งแต่เริ่มจนจบยังไม่ถึงสามเดือนเท่านั้น

ทว่าสถานการณ์วุ่นวายสั่นคลอนจักรวรรดิกลับเปลี่ยนแปลงไปเพราะเขาคนเดียว เรียกได้ว่ามือเดียวพลิกฟ้ากลับจักรวาล

และเมื่อในจักรวรรดิกระจายข่าวพ่อมดเถื่อนเก้าสายถอยทัพ จักรวรรดิที่เดิมอึกทึกครึกโครมหาใดเทียบก็ยิ่งสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นไปอีก

ศึกในเพิ่งคลี่คลาย ศึกนอกก็มลายหายไปด้วย สำหรับจักรวรรดิแล้วเป็นเรื่องประหลาดใจที่คาดไม่ถึงเรื่องหนึ่งชัดๆ

ใครก็รู้ดีว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะผู้ใด!

หลินสวิน!

ชื่อนี้เหมือนตำนานบทหนึ่งที่แพร่กระจายไปทั้งจักรวรรดิ ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วน ปุถุชนคนธรรมดามากมายเหลือประมาณต่างจำชื่อนี้ได้ขึ้นใจ

คนผู้เดียวมีพลังต้านคลื่นคลั่ง กอบกู้จักรวรรดิจากสถานการณ์ยากลำบาก การกระทำยิ่งใหญ่เช่นนี้เพียงพอที่จะทิ้งชื่อไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์ จารึกไว้ชั่วลูกชั่วหลาน

ยามโลกภายนอกกำลังอื้ออึง หลินสวินได้กลับมาบนภูเขาชำระจิตแล้ว ใช้เวลาไปครึ่งเดือนถึงฟื้นอาการบาดเจ็บของตนได้

นี่ทำให้เขาตื่นตระหนกไม่หยุด

เพราะได้รู้จากปากราชันอินทรีแดงว่าบรรพจารย์อสูรมารตนนั้นถูกขังอยู่ในคุกเทพว่างเปล่า พลังลดลงไม่หยุดจนแทบหมดลงแล้ว

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ พลังฝ่ามือเดียวของเขายังทำให้ตนบาดเจ็บสาหัสได้ เพียงคิดก็รู้ว่าถ้าเป็นช่วงเฟื่องฟูเต็มที่ พลังปราณของบรรพจารย์อสูรมารมาตนนี้จะน่าหวาดหวั่นเพียงไหน!

“นายท่าน”

ณ ยอดเขา เมฆเคลื่อนพร่าเลือน ต้นสนเขียวขจีดั่งร่มกาง

ยามหลินสวินกำลังหยั่งรู้คัมภีร์กระบี่ไท่เสวียนเงียบๆ ราชันอินทรีแดงก็มาคารวะ

“ทำไมหรือ”

หลินสวินเงยมองพลางเอ่ยถาม

เขาได้รู้ฐานะของราชาอินทรีแดงรวมถึงต้นสายปลายเหตุที่ ‘ทรยศ’ แล้ว

ที่แท้ตั้งแต่ราชาอินทรีแดงฝึกปราณ ภายในร่างของเขาก็ถูกบรรพจารย์อสูรมารร่ายคาถาผนึกอันพิสดารไว้คาถาหนึ่ง และด้วยเหตุนี้จึงได้รับความไว้ใจจากบรรพจารย์อสูรมาร

ทว่าราชาอินทรีแดงไม่ยอมถูกบรรพจารย์อสูรมารควบคุม ตอนนั้นหลังจากถูกหลินสวินพิชิต ราชันอินทรีแดงก็เลือกยกย่องหลินสวินเป็นเจ้านาย ทั้งยังคิดอาศัยโอกาสนี้สลัดการควบคุมของบรรพจารย์อสูรมาร

เดิมเขาคิดว่ายิ่งฝึกปราณลึกซึ้งขึ้นเท่าไร ก็จะมีความหวังที่จะทำลายพลังคาถาผนึกภายในร่างมากขึ้นเท่านั้น แต่สุดท้ายเขากลับพบว่าตนคิดตื้นเกินไป!

พลังคาถาผนึกนั้นยิ่งเขาฝึกปราณได้ลึกซึ้ง กลับยิ่งน่ากลัวยิ่งขึ้น!

หลังหลินสวินจากไป ราชันอินทรีแดงต้องเลือกรับใช้บรรพจารย์อสูรมาร กลายเป็น ‘ราชันอาภรณ์ดำ’ ที่เป็นที่รู้จักไปทั้งใต้หล้า

แต่หลายปีมานี้เขากลับไม่เคยทำเรื่องที่ส่งผลเสียต่อจักรวรรดิแต่อย่างใด

เดิมทีราชันอินทรีแดงวางแผนว่าหากบรรลุเป็นอริยะได้ ต้องมีโอกาสทำลายพลังคาถาผนึกที่อยู่ในร่างแน่ แต่พอสถานการณ์ดำเนินไป เขาก็ควบคุมไม่ได้โดยสมบูรณ์แล้ว…

หลังจากรู้ที่มาที่ไปเหล่านี้เข้า ตอนนั้นหลินสวินก็ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ ด้วยรู้ว่าตนเข้าใจราชันอินทรีแดงผิดไป

พอนึกดูก็เป็นจริง ถ้าราชันอินทรีแดงหักหลัง ในช่วงสิบกว่าปีนี้จะไม่เคยทำเรื่องที่ส่งผลร้ายต่อจักรวรรดิได้อย่างไร

“พลังคาถาผนึกจางลงไม่น้อยแล้ว!”

ราชันอินทรีแดงเอ่ยอย่างดีใจ

หลินสวินก็ลอบถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ กล่าวว่า “งั้นก็ดีแล้ว”

หลังจากกลับมาภูเขาชำระจิต เขาได้ตรวจสอบพลังคาถาผนึกแปลกประหลาดที่อยู่ในร่างราชันอินทรีแดงแล้ว ทว่าแม้แต่เขายังไม่รู้จะทำอย่างไร

เพราะคาถาผนึกเช่นนี้ถูกร่ายลงในจิตวิญญาณของราชันอินทรีแดง!

ทว่าปัญหายากเท่าฟ้าข้อนี้กลับได้เสี่ยวอิ๋นคลี่คลายลงอย่างมีประสิทธิภาพ ฝ่ายหลังเป็นลูกหลานเผ่าหนอนกินเทพ ทั้งยังบรรลุมกุฎมรรคาอมตะแล้ว สิ่งที่ถนัดที่สุดก็คือวิชาลับจิตวิญญาณ

ตอนนี้พอได้รู้ว่าวิธีของเสี่ยวอิ๋นได้ผลก็ทำให้หลินสวินดีใจไม่ว่างเว้น

“รอหลังจากพลังคาถาผนึกถูกขจัดไปโดยสมบูรณ์ เจ้าก็อยู่ฝึกปราณที่ภูเขาชำระจิตเถอะ”

หลินสวินเอ่ยกำชับ

ราชันอินทรีแดงพยักหน้า

บนภูเขาชำระจิตตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าราชันอินทรีแดงก็คือราชันอาภรณ์ดำ หลินสวินจึงไม่คิดจะบอกความลับนี้ไป เพื่อหลีกเลี่ยงคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่จำเป็น

ไม่นานนักหลินจงก็มา พร้อมกับนำข่าวคราวบางข่าวที่เกิดขึ้นในจักรวรรดิในช่วงใกล้ๆ นี้มาด้วย

หลินสวินได้รู้โดยกระชับ ใจก็เต้นระส่ำ

พูดง่ายๆ ก็คือ จักรวรรดิในตอนนี้คลี่คลายศึกในที่รับมือได้ยากที่สุดโดยสมบูรณ์แล้ว ขุมอำนาจสัตว์อสูรมารเหล่านั้นถูกทำลายกระเจิดกระเจิง แม้จะยังเหลือศัตรูที่รอดชีวิตอยู่บ้าง แต่ก็ไม่สามารถสร้างภัยคุกคามให้อาณาจักรได้อีก

ขณะเดียวกันกำลังพลของพ่อมดเถื่อนเก้าสายก็ถอยทัพออกจากพื้นที่ชายแดนจักรวรรดิไปแล้ว นี่เท่ากับสลายศึกนอกของจักรวรรดิครั้งนี้ไปด้วย!

“นายน้อย หลายวันนี้มีคนมากมายมาเยี่ยมท่าน…”

หลินจงเอ่ยปาก แต่ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกหลินสวินขัดคอ “ก็บอกไปว่าข้าปิดด่านอยู่ ใครก็ไม่พบทั้งนั้น”

หลินจงยิ้มเจื่อน แต่ยังรับคำสั่งแล้วจากไป

เขารู้ว่าด้วยฐานะและพลังปราณของนายน้อยในตอนนี้ เรื่องมากมายทางโลกเหล่านี้ไม่อยู่ในสายตาเขาไปนานแล้ว

ทว่าหลินจงไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกไม่ควร

ในจักรวรรดิตอนนี้ ตำแหน่งของหลินสวินพิเศษเหนือธรรมดาอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นท่านอ๋อง แม่ทัพและขุนนางเหล่านั้นยังต้องเคารพนอบน้อมเขาอยู่บ้าง

ขณะนี้มีเพียงมิตรสหายเก่าแก่สมัยก่อนบางคนจึงจะมีโอกาสได้พบหน้าหลินสวิน สำหรับคนอื่น…

ก็อย่าได้คิดเลย

ความจริงแล้วหลินสวินก็คิดจะเริ่มปิดด่านเพื่อเตรียมบรรลุระดับจริงๆ

‘โชคชะตา… โชคชะตา… ตอนนี้ข้าได้รู้เรื่องราวชีวิตตัวเองแล้ว ว่ากันถึงแก่น… ล้วนเป็นเพราะห้องโถงมรรคาสวรรค์…’

หลินสวินจมสู่ภวังค์

วันนั้นเขาตัดสินใจว่าจะเข้าไปในห้องโถงมรรคาสวรรค์อีกครั้ง

……

และในวันนั้นเช่นกันที่จ้าวจิ่งเซวียนมาที่ภูเขาชำระจิต แต่พอได้ยินว่าหลินสวินปิดด่านแล้วก็ออกจะผิดหวังอย่างเลี่ยงไม่ได้

“กลับไปบอกหลินสวินว่าข้ารวบรวมข้อมูลที่เขาต้องการบางอย่างได้แล้ว รอหลังเขาออกด่าน ให้เขาไปหาข้าที่พระราชวัง”

จ้าวจิ่งเซวียนกำชับหลินจงไว้ก่อนจากไป

หลินจงรับปากอย่างไม่ลังเล

หลังจากกลับมาที่วัง ระหว่างที่จ้าวจิ่งเซวียนอ่านข้อมูลหนึ่งในมือ สีหน้าก็ปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ

‘ตอนนั้นตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้เสด็จพ่อกับเสด็จแม่วางมือจากทุกเรื่อง แล้วรีบร้อนไปที่สมรภูมิกระหายเลือดแห่งนั้น…’

‘ช่างเถอะ รอหลินสวินออกด่านค่อยตัดสินใจก็แล้วกัน’

ผ่านไปครู่ใหญ่นางก็ถอนใจเบาๆ

ตอนนี้ศึกในศึกนอกของจักรวรรดิคลี่คลายลงอย่างชะงัดแล้ว พอใต้หล้าสงบสุข ภาระที่แบกไว้บนไหล่ของจ้าวจิ่งเซวียนก็เบาลงไปไม่น้อย

แต่ตอนนี้นางกลับออกจะเป็นห่วงบิดามารดาของตน

เกิดอะไรขึ้นในสมรภูมิกระหายเลือดกันแน่

“องค์หญิง องค์ชายเก้ากับเหมิงกุ้ยเฟยจะให้จัดแจงเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”

ทันใดนั้นขันทีคนหนึ่งมาขอเข้าพบ เอ่ยเสียงนอบน้อม

ประกายเย็นเยียบไหวเคลื่อนในเนตรกระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียน พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “องค์ชายสามไม่ได้เฝ้าสุสานหลวงอยู่หรอกหรือ เขาอยู่คนเดียวคิดว่าต้องเหงาแน่ ให้พวกเขาสองแม่ลูกไปอยู่เป็นเพื่อนเขาก็พอแล้ว”

ขันทีพยักหน้า

“จำไว้ ถ้าไม่มีคำสั่งข้า ไม่อนุญาตให้พวกเขาก้าวออกจากสุสานหลวงแม้แต่ก้าวเดียว และห้ามไม่ให้ผู้ใดมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาด้วย!”

จ้าวจิ่งเซวียนออกคำสั่ง

“พ่ะย่ะค่ะ”

ขันทีรีบร้อนรับคำสั่งแล้วจากไป

จ้าวจิ่งเซวียนนวดหว่างคิ้ว ครุ่นคิดไม่หยุด

เมื่อไม่นานนี้หัวหน้าตระกูลฉือฉือหลิงเซียวมาขอพบ รายงานเรื่องจ้าวจิ่งเจินกับมารดาของเขาเหมิงหรง!

ที่แท้หลังจากสองแม่ลูกคู่นี้กลับมายังโลกชั้นล่าง ก็หลบเข้าไปในตระกูลฉือ

ที่น่าขันก็คือทั้งสองยังวางแผนอาศัยกำลังของตระกูลฉือไปสร้างความเสียหายให้ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต แต่ผลคือกลับถูกฉือหลิงเซียวกักตัวไว้

ตอนนี้สองแม่ลูกคู่นี้ถูกขังอยู่ในเขตหวงห้ามของพระราชวังแล้ว

เดิมทีจ้าวจิ่งเซวียนคิดจะส่งเรื่องนี้ให้หลินสวินสะสาง ที่น่าเสียดายก็คือหลินสวินกลับปิดด่านไปในวันนี้แล้ว

‘ทุกเรื่องก็รอเจ้าออกด่านแล้วกัน…’

จ้าวจิ่งเซวียนพึมพำในใจ

……

ห้องโถงมรรคาสวรรค์

ทางเดินเมฆาหยกตรงแน่วทอดขวางอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า ประตูสวรรค์เก่าแก่สูงตระหง่านตั้งอยู่สุดทางเดิน สูงใหญ่ราวไม่มีที่สิ้นสุด

เมื่อเข้ามาที่นี่อีกครั้ง ความรู้สึกของหลินสวินก็ต่างไปโดยสิ้นเชิงแล้ว

เพราะเขารู้แล้วว่าห้องโถงมรรคาสวรรค์เป็นสิ่งที่ท่านแม่ลั่วชิงสวินทิ้งไว้ให้ตน!

ทว่ามีเพียงความสงสัยเดียวที่รุมเร้าอยู่ในใจหลินสวิน แล้วหญิงลึกลับคนนั้น… เป็นใครกัน

“ผู้อาวุโส”

สุดทางเดินเมฆาหยก หลินสวินได้พบกับหญิงลึกลับคนนั้นอีกครั้ง นางนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ประตูสวรรค์ที่ปิดสนิทนั้น

“เจ้าอยากรู้เรื่องอะไร”

หญิงลึกลับลืมตาขึ้นราวกับคาดเดาได้ก่อนแล้วว่าหลินสวินจะมา ไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใด

“ท่านเป็นใครกันแน่”

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยถามจริงจัง

“แค่ผีเร่ร่อนตนหนึ่งเท่านั้น เจ้าจะมองข้าเป็น… คนเฝ้าประตูก็ได้”

หญิงลึกลับกล่าว

“ท่านรู้จักลั่วชิงสวินใช่ไหม”

หลินสวินถาม

หญิงลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “รู้จัก นานมาแล้วลู่ป๋อหยาเคยเข้ามาที่นี่แล้วพูดถึงเรื่องราวบางอย่างกับข้า”

หลินสวินใจสั่นสะท้าน ในดวงตาเจือความหวัง เอ่ยว่า “ข้ารู้ได้หรือไม่”

“ตอนนั้นลู่ป๋อหยาก็เคยฝ่าด่าน น่าเสียดาย เขาเปิดประตูบานนี้ไม่ได้ ตอนจากไปเขาบอกข้าว่าสักวันหนึ่งจะมีคนเปิดประตูนี้ออกในที่สุด คนผู้นั้นก็คือลูกหลานของลั่วชิงสวิน หรือก็คือเจ้า”

หญิงลึกลับเอ่ยปาก “หลังจากนั้นเขาก็จากไปแล้ว”

“เท่านี้หรือ” หลินสวินออกจะผิดหวัง

หญิงลึกลับเอ่ยว่า “ข้าเป็นเพียงคนเฝ้าประตูคนหนึ่ง แม้กล่าวว่าก่อนหน้านี้นานมาแล้วก็เคยท่องไปในโลกนี้ ได้พบเห็นผู้คนและเรื่องราวต่างๆ แต่ก็ไม่ได้รู้เรื่องที่เจ้าอยากรู้”

หลินสวินยิ้มเจื่อนไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโส เช่นนั้นท่านรู้ไหมว่าในห้องโถงมรรคาสวรรค์แห่งนี้ซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่”

เขาสงสัยจริงๆ ตอนนั้นท่านแม่ลั่วชิงสวินถูกตามฆ่า ซัดเซพเนจรจากฟากฝั่งฟ้าดารามาโลกนี้ ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพราะห้องโถงมรรคาสวรรค์ เขาจะไม่สงสัยได้อย่างไร

หญิงลึกลับไม่ได้ตอบตรงๆ เพียงแต่พูดว่า “ภายในประตูบานนี้มีอะไรกันแน่ ต้องให้เจ้าไปเปิดออก ไปพบเห็น ไปรับรู้ด้วยตัวเอง”

พูดถึงตรงนี้นางก็ช้อนตามองหลินสวินแล้วกล่าวว่า “ทางเดินเมฆาหยกเก้าด่าน เจ้าฝ่ามาแล้วหกด่าน คราวก่อนตอนอยู่แดนมกุฎข้าก็เคยพูดแล้วว่าเจ้ามีโอกาสเปิดประตูบานนี้แล้ว”

หลินสวินเงยหน้าขึ้นทันควัน ทอดสายตามองไปยังประตูสวรรค์ที่อยู่ไกลออกไป พูดว่า “ตอนนี้ก็ทำได้แล้วหรือ”

หญิงลึกลับเอ่ย “ด้วยพลังของเจ้าสามารถฝ่าสามด่านสุดท้ายได้นานแล้ว และเพียงทำได้ถึงขั้นนี้ก็จะมีคุณสมบัติเปิดประตูนี้ออก”

นางหยุดไปแล้วพูดต่อว่า “แต่ว่า คิดจะเปิดประตูนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น ลู่ป๋อหยาในตอนนั้นมีพลังปราณระดับมหาอริยะแล้ว แต่ตอนลองเปิดประตูนี้กลับล้มเหลว”

หลินสวินอึ้งไป นิ่วหน้าเอ่ย “ความหมายของผู้อาวุโสคือ ต่อให้เป็นมหาอริยะก็ใช่ว่าจะเปิดประตูนี้ได้หรือ”

หญิงลึกลับส่ายหน้า “ไม่ใช่ ระดับสูงต่ำไม่ได้สลักสำคัญ ที่สำคัญก็คือได้รับการยอมรับจากประตูนี้หรือไม่”

“ยอมรับหรือ”

หลินสวินเลิกคิ้ว

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท