Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1414 ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น

ตอนที่ 1414 ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น

“สหาย ช้าก่อน เจ้ามีเทียบเชิญหรือไม่”

ตอนที่หลินสวินไปถึงประตูใหญ่คฤหาสน์ตระกูลหวังก็ถูกผู้คุ้มกันขวางเอาไว้

ตระกูลหวังในตอนนี้แขกผู้มีเกียรติรวมตัวกัน คนใหญ่คนโตมากมายในเมืองต่างทยอยกันมาไม่ขาดสาย หากไม่มีเทียบเชิญแน่นอนว่าไม่สามารถให้ใครเข้าไปได้ง่ายๆ

อีกทั้งเป็นการป้องกันกรณีมีคนก่อเรื่อง ผู้รับผิดชอบในการเฝ้ายามล้วนเป็นผู้คุ้มกันมือฉมังของตระกูลหวัง ประสบผลสำเร็จด้านการฝึกปราณ องอาจไม่ธรรมดา

“ข้ามิได้มาร่วมงานเลี้ยง”

หลินสวินพูดเรียบๆ

เสี่ยวเฉ่าที่อยู่ข้างๆ เงียบไม่ปริเสียง ในใจกลับตึงเครียดอย่างมาก นางรู้ดีว่าเจ้าโง่ที่อยู่ตรงหน้าไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว วิธีฆ่าคนนั้นน่ากลัวไร้ขอบเขตจริงๆ เหลือเชื่ออย่างที่สุด

หากเขาบุกรุกตระกูลหวัง คนคุ้มกันเหล่านี้คงขวางไม่อยู่แน่

ในเวลาเดียวกันนางเองก็อยากให้หลินสวินลงมือเสียเดี๋ยวนี้ ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เช่นนี้ยอดฝีมือของตระกูลหวังก็จะถูกทำให้แตกตื่น มาฆ่าเจ้าโง่นี่ให้สิ้นซาก!

ได้ยินคำพูดของหลินสวิน ผู้คุ้มกันเหล่านั้นต่างอดขมวดคิ้วไม่ได้ ตอนนี้เองชายวัยกลางคนในชุดคลุมขนสัตว์เดินออกจากเกี้ยวสมบัติหรูหรา ถูกข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งล้อมเอาไว้อย่างหนาแน่น ดูก็รู้ว่าเป็นคนใหญ่คนโตที่ฐานะไม่ธรรมดา

“เจ้าหนุ่ม ประตูตระกูลหวังใช่ว่าใครอยากเข้าก็สามารถเข้าได้ ข้าใช้เวลาสิบกว่าปีวันนี้เพิ่งจะสามารถเข้าประตูบานนี้ได้อย่างเปิดเผย คนอย่างเจ้าคิดอยากเข้าไป ต่อสู้ทั้งชีวิตก็คงไม่มีหวัง”

พูดจบชายวัยกลางคนเอามือไพล่หลังอย่างเย่อหยิ่ง เดินผ่านหลินสวินไปอย่างเชื่องช้า

“ผู้อาวุโสหลิ่วหง เชิญขอรับ”

ผู้คุ้มกันหน้าคฤหาสน์ตระกูลหวังพูดอย่างเคารพ

หลินสวินขมวดคิ้ว ในหัวนึกถึงเรื่องหนึ่งจึงพูดว่า “ที่แท้เจ้าก็คือหลิ่วหง”

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขามักจะเหม่อลอย แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่จำเรื่องราว

ในความทรงจำของเขา ตอนที่บิดาเกิดความขัดแย้งกับสำนักเมฆาเขียว หลิ่วหงคนนี้ก็มีส่วนร่วมด้วย คนผู้นี้เป็นรองเจ้าเมืองของเมืองนครหยก มีอำนาจใหญ่ในมือ

จะว่าไปตอนนั้นหลิ่วหงคนนี้ยังเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับบิดา

ทว่าตั้งแต่บิดาบาดเจ็บหนักเสียชีวิต หลิ่วหงก็ตีตัวออกห่างตระกูลหลินอย่างชัดเจน ยิ่งได้ทีซ้ำเติม ฉวยโอกาสช่วงชิงแหล่งแร่สามแหล่งของตระกูลหลิน

ตอนนั้นมารดาโกรธจนร้องไห้อย่างเจ็บปวดกับเรื่องนี้ไม่รู้กี่ครั้ง ก่นด่าหลิ่วหงว่าจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงหมาป่า เห็นผลประโยชน์จนลืมคุณธรรม!

จากนั้นหลินสวินจึงรู้ว่าเดิมทีหลิ่วหงคนนี้เป็นบันฑิตที่มาจากครอบครัวที่ยากจน ต้อยต่ำอย่างที่สุด ภายหลังได้รับความชื่นชมจากบิดาจึงค่อยๆ ตั้งตัวในเมืองนครหยกได้ทีละก้าว และภายใต้การสนับสนุนของบิดา ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในสามรองเจ้าเมืองของเมืองนครหยก

เพียงแต่ก่อนหน้านี้น้อยมากที่หลินสวินจะปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก และไม่เคยเห็นหลิ่วหงมาก่อน จึงไม่ได้รู้ว่าคนผู้นี้เป็นใครตอนแวบแรกที่เห็น

“เจ้ารู้จักข้าหรือ”

หน้าประตูหลิ่วหงหันมา ขมวดคิ้วพูด

“รู้จักหรือไม่รู้จักไม่สำคัญ ที่สำคัญคือวันนี้เจ้ามาได้บังเอิญมาก ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหาเจ้า”

หลินสวินพูดเรียบๆ

หลิ่วหงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “เจ้าหนุ่ม คำพูดนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“ผู้อาวุโสโปรดระงับโทสะ ท่านเป็นแขกผู้มีเกียรติของตระกูลหวัง เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ให้พวกเราจัดการเถอะ”

หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลหวัง สีหน้าของผู้คุ้มกันเหล่านั้นเย็นเยียบขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าคิดว่าหลินสวินมาก่อกวน

หลิ่วหงแค่นเสียงอย่างเย็นชาแล้วหมุนตัวจากไป

หากเป็นที่อื่น เพียงแค่คำพูดไม่เคารพอย่างหลินสวิน เขารับรองว่าจะให้บทเรียนที่ยากจะลืมไปทั้งชีวิตกับอีกฝ่าย

นับเป็นอะไรกัน เจ้าหนุ่มที่แม้แต่ประตูใหญ่ตระกูลหวังยังเข้าไม่ได้ คำพูดกลับไร้มารยาทเพียงนี้ ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!

หลิ่วหงไปแล้ว หลินสวินไม่ได้ลงมือ

จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าในเมื่อหลิ่วหงมาแล้ว คนใหญ่คนโตคนอื่นๆ ในเมืองก็คงมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้รอสักหน่อยจะเป็นไร

ไม่แน่ว่าจะได้เจอพวกคนที่เคยเอาเปรียบตระกูลหลินอีก

“สหาย ให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง หายไปจากเบื้องหน้าข้าเดี๋ยวนี้!”

ผู้คุ้มกันคนหนึ่งสีหน้ามืดทะมึนเย็นชา จ้องหลินสวิน ไอสังหารเด่นชัด

หลินสวินหมุนตัวจากไป ไปยืนอยู่บนถนนฝั่งตรงข้ามไกลๆ ตรงนั้นมีต้นไทรต้นใหญ่เต็มไปด้วยหิมะ ยืนอยู่ใต้ต้นไทรนี้สามารถบังหิมะได้พอดี

เห็นว่าหลินสวินถอยไปอย่างรู้ความเช่นนี้ ผู้คุ้มกันเหล่านั้นต่างอึ้ง จากนั้นล้วนเผยสีหน้าดูถูก อดส่ายหน้าไม่ได้

เดิมคิดว่าเป็นหนามที่แหลมคม ไม่คิดว่ากลับเป็นก้อนกรวดก้อนหนึ่ง!

เสี่ยวเฉ่ากลับฉงนใจอย่างมาก ก่อนหน้านี้นางตึงเครียดอย่างมาก คิดว่ากำลังจะเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่แปลกประหลาดและนองเลือดอย่างที่สุด ไม่คิดว่าหลินสวินกลับถอยง่ายๆ แบบนี้!

“ทำไม ตอนนี้เจ้ากลัวเป็นแล้วหรือ”

เสี่ยวเฉ่าพูดเสียงเย็น

ใต้ต้นไทรหลินสวินสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ เอ่ยว่า “ในสายตาข้า ตระกูลหวังก็เหมือนแหใหญ่ รอปลาเข้ามาให้หมดก่อนค่อยเก็บแหก็ยังไม่สาย”

ประโยคเดียวทำให้ดวงตาเสี่ยวเฉ่าเบิกกว้างโดยพลัน ในใจเกิดความหนาวเยือกที่พูดไม่ออก เจ้าหมอนี่คิดจะทำลายล้างศัตรูที่เคยทำไม่ดีกับตระกูลหลินตอนนั้นในรวดเดียวหรือ

แต่เขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหน

ในความทรงจำของเสี่ยวเฉ่า ตั้งแต่เกิดมานายน้อยโง่คนนี้ก็ไม่เคยฝึกปราณเลย!

ผู้นำตระกูลหลินเตรียมโอสถวิเศษและตำราลับในการฝึกปราณไว้ให้เขามากเท่าไหร่ แต่เขากลับไม่เคยแม้แต่จะอ่าน นับประสาอะไรกับการฝึกปราณ

เสี่ยวเฉ่าไม่เชื่อหรอกว่าบนโลกนี้จะมีคนที่หลังจากคิดปัญหาบางอย่างออกแล้ว จากคนธรรมดาคนหนึ่งจะสามารถก้าวกระโดดกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ทำได้ทุกอย่าง!

อีกอย่างเจ้าโง่ที่ในอดีตโง่เขลาเลอะเลือน ไม่รู้เรื่องราวในโลก จะรู้ได้อย่างไรว่าในหลายปีที่ผ่านมามีขุมอำนาจใด ศัตรูคนไหนเคยทำไม่ดีกับหลินสวิน

ทั้งหมดนี้ดูเหลวไหลมาก!

เสี่ยวเฉ่ามีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ ยังไม่เคยเห็นเรื่องที่เหลวไหลเช่นนี้มาก่อน

นางไม่รู้ว่าตอนนั้นตั้งแต่ชั่วขณะที่ถือกำเนิดพร้อมกับปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดิน หลินสวินก็ได้ปลุกการรับรู้บางอย่างขึ้นมา มีเจตจำนงจิตวิญญาณที่เหนือจินตนาการ!

ยี่สิบกว่าปีมานี้เขาเพียงคิดคำถามหนึ่งไม่ตกเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนโง่จริงๆ และไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รับรู้แต่ละเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลหลิน

สรุปแล้วอย่าว่าแต่สาวใช้อย่างเสี่ยวเฉ่า แม้เป็นเหล่าคนใหญ่คนโตที่พลังปราณลึกล้ำในโลกนี้ เกรงว่าก็คงไม่เข้าใจและดูไม่ออก!

แน่นอนว่าหลินสวินย่อมไม่อธิบายเรื่องพวกนี้

เวลาค่อยๆ ล่วงเลยไป

ตอนแรกเหล่าผู้คุ้มกันที่เฝ้าอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลหวังยังระแวงอยู่บ้าง ถึงอย่างไรหลินสวินก็ไม่เคยจากไปอย่างแท้จริง ดูผิดปกติไม่น้อย

แต่ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้นหลินสวินยังยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่กระทำการใดๆ พวกเขาจึงคร้านจะสนใจอีก

“น่าจะพอแล้ว”

หลินสวินมองสีท้องฟ้าพลางเอ่ยกับตัวเอง

ตอนนี้เสี่ยวเฉ่าหนาวจนริมฝีปากม่วงแล้ว ใบหน้างามขาวซีด ร่างกายแข็งทื่อ ถึงอย่างไรในฤดูหิมะเช่นนี้ ยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ไม่ขยับเป็นเรื่องที่ทรมานเกินไปแล้วจริงๆ

แต่พอได้ยินคำพูดของหลินสวิน ร่างของเสี่ยวเฉ่าพลันสะท้าน ก็ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนเอ่ยว่า “เจ้าจะไปรนหาที่ตายจริงๆ หรือ”

หลินสวินเหลือบมองนางแวบหนึ่งพร้อมพูดว่า “หลายปีมานี้ชีวิตเจ้าในตระกูลหวังไม่ดีมากเลยใช่ไหม”

เสี่ยวเฉ่าหลุดพูดออกมาโดยไม่ทันคิด “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

หลินสวินเอ่ย “พวกเรายืนอยู่ตรงนี้นานขนาดนี้แล้ว พวกเขาไม่รู้จักข้ายังพอเข้าใจได้ แต่กลับไม่มีใครจำได้ว่าเจ้าเป็นสาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายหวังจื่อหลวน เจ้าคิดว่าปกติหรือ อย่างน้อย… ตอนนี้เจ้าก็นับว่าเป็นคนของตระกูลหวังแล้ว”

เสี่ยวเฉ่าชะงัก สีหน้าเปลี่ยนไป ราวกับถูกหลินสวินอ่านความทุกข์ในใจออก พูดอย่างขมขื่น “คนที่ข้าปรนนิบัติไม่ใช่หวังจื่อหลวนหรอก แต่เป็นสุนัขข้างกายหวังจื่อหลวนก็เท่านั้น มีฐานะอะไรให้พูดถึง”

ครั้งนี้หลินสวินอึ้งไปจริงๆ ครู่ใหญ่จึงพูดว่า “คิดไม่ถึง”

“ก็เพราะเจ้านั่นแหละ!”

เสี่ยวเฉ่าพูดอย่างขุ่นเคือง “ตระกูลหลินล่มสลาย ข้าไม่มีที่ไป เพื่อความอยู่รอดทำได้เพียงบากหน้าไปขอพึงพิงคนอื่น และพอรู้ว่าข้าเคยปรนนิบัติเจ้า หวังจื่อหลวนก็บอกว่าคนที่ข้าปรนนิบัติก่อนหน้านี้เป็นคนโง่คนหนึ่ง มีคุณสมบัติไปปรนนิบัตินางเสียที่ไหน อย่างมากก็ทำได้เพียงปรนนิบัติสุนัขที่นางเลี้ยงเท่านั้น!”

ยิ่งพูดนางก็ยิ่งน้อยใจ ถึงกับน้ำตาไหลออกมา

“เหตุใดเจ้าต้องไปตระกูลหวัง”

หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้น

เสี่ยวเฉ่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “เจ้าคิดว่าข้าอยากหรือ เจ้าลองไปถามสิ ในเมืองนครหยกหากตระกูลหวังไม่พยักหน้า ใครกล้ารับคนใช้ที่ออกมาจากตระกูลหลินอย่างข้าไว้บ้าง”

หลินสวินกล่าว “ถ้าอย่างนั้น บรรดาข้ารับใช้และบริวารที่ไปจากตระกูลหลินตอนนั้น สิ่งที่ต้องประสบก็ไม่ต่างจากเจ้าหรือ”

เสี่ยวเฉ่าแค่นเสียงเย็นเอ่ย “ก็ไม่ใช่ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่ข้าเคยปรนนิบัติเจ้า! รู้หรือไม่ว่าเพราะเจ้า จึงทำให้หลายปีมานี้แต่ละวันข้าทำได้เพียงไปปรนนิบัติสุนัขตัวหนึ่ง!”

นางราวกับเก็บความเคียดแค้นและอัดอั้นใจมาเต็มอก ระเบิดออกมาทั้งหมดในชั่วขณะนี้

“มิน่าเมื่อวานตอนที่เจอกันบนถนน เจ้าเร่งรีบจะขีดเส้นความสัมพันธ์กับข้าขนาดนั้น และไม่แปลกที่เจ้าจะพาผู้คุ้มกันเหล่านั้นไปฆ่าข้าในวันนี้…”

หลินสวินถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง

เสี่ยวเฉ่าเอ่ย “ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือ”

ดวงตาดำของหลินสวินลึกล้ำ มองเสี่ยวเฉ่าพร้อมพูดว่า “เจ้ารู้สึกว่าทุกอย่างเป็นความผิดของข้าหรือ”

เสี่ยวเฉ่าพูดอย่างไม่ลังเล “งั้นจะเป็นความผิดของใครได้ ของข้าหรือ”

หลินสวินพูดราบเรียบ “ตอนที่อยู่ตระกูลหลิน ตระกูลหลินไม่เคยเอาเปรียบเจ้า ข้าหลินสวินไม่เคยเอาเปรียบเจ้า แม้ฐานะเจ้าจะเป็นสาวใช้ แต่ค่าตอบแทนที่ได้รับสูงกว่าสาวใช้ไม่รู้เท่าไหร่ อยู่ดีกินดี ชีวิตไม่มีอะไรต้องกังวล แต่เจ้ากลับไม่เคยซาบซึ้ง เมื่อตระกูลหลินล่มสลาย เจ้าไปจากตระกูลหลินอย่างไม่ลังเล เข้าพึ่งพิงตระกูลหวังเพื่อความอยู่รอด แต่โทษทุกอย่างที่พบเจอในตระกูลหวังว่าเป็นเพราะข้า เจ้าไม่คิดว่าตลกมากหรือ”

พูดถึงตรงนี้เสียงของหลินสวินราบเรียบขึ้น “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงพูดกับเจ้ามากขนาดนี้ เพราะเจ้าเคยปรนนิบัติข้าอยู่หลายปี ข้าเห็นเจ้าเป็นคนกันเอง แต่น่าเสียดายที่… เจ้าทำให้ข้าผิดหวังมาก”

พูดจบเขาก็เดินไกลออกไป

เสี่ยวเฉ่าอึ้งงันอยู่ตรงนั้น ใบหน้างามสับสน สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ครู่ใหญ่จึงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “หากเจ้าฉลาดเช่นนี้ต้ั้งแต่แรก เหตุใดข้าจึงต้องทำเช่นนี้ ผิดหวังหรือ คนที่ควรผิดหวังคือข้าต่างหาก!”

พูดพลางนางสูดหายใจเข้าลึกๆ ลมเย็นยะเยือกอัดเข้าอก ทำให้นางใจเย็นลงไม่น้อย มองแผ่นหลังของหลินสวินที่อยู่ห่างออกไป สายตาเย็นเยียบเต็มประดา ในใจคิดอย่างบ้าคลั่ง ‘เจ้าไปรนหาที่ตายเถอะ รอเจ้าตายไป ข้าก็จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าอีกต่อไป!’

ในจิตใต้สำนึก นางไม่เชื่อเลยจริงๆ ว่าหลินสวินจะสามารถรอดออกจากตระกูลหวังได้

และตอนนี้หลินสวินมาถึงหน้าประตูใหญ่คฤหาสน์ตระกูลหวังอีกครั้ง

ผู้คุ้มกันเหล่านั้นเห็นเขาต่างอดอึ้งไม่ได้ จากนั้นสีหน้าพลันมืดทะมึน

“เจ้าอีกแล้ว ยังไม่ตัดใจอีกหรือ รีบไสหัวไปซะ ไม่ว่าเจ้าจะมีจุดประสงค์หรือความคิดอะไร ประตูใหญ่คฤหาสน์ตระกูลหวังก็ไม่ใช่ที่ที่คนอย่างเจ้าจะเข้าได้!”

ผู้คุ้มกันคนหนึ่งตะคอก ว่าพลางโบกฝ่ามือหนึ่งไปทางหลินสวิน

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท