Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1405 เงามายาเทพเถื่อน

ตอนที่ 1405 เงามายาเทพเถื่อน

เขาวายุดำ ทะเลสาบวาโยอสนี

ชั่วพริบตานั้นที่หลินสวินปรากฏตัวนอกทะเลสาบวาโยอสนี ก็ถูกราชันผึ้งขาวสังเกตเห็นแล้ว แต่เขาไม่ได้กังวลอะไร

ตอนนี้ในทะเลสาบวาโยอสนีแห่งนี้มีราชันอสูรมารรวมตัวอยู่ ทั้งยังมีราชันพ่อมดสิบสามคนมาร่วมเป็นพันธมิตร ราชันผึ้งขาวจึงมองว่าหลินสวินมาคราวนี้รอดยากแน่

มิหนำซ้ำยังมีราชันอาภรณ์ดำควบคุมที่นี่ด้วย

แต่หลังจากได้เห็นสถานการณ์การต่อสู้ที่หลินสวินคนเดียวสังหารราชันอสูรมารไปสิบกว่าตน ราชันผึ้งขาวพลันนั่งไม่ติดแล้ว หน้าเปลี่ยนสีทันตา

เขารับรู้ได้ว่าตนยังประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไปมาก!

ไม่เพียงแต่ราชันผึ้งขาว เหล่าราชันอสูรมารที่รวมตัวอยู่ใกล้เคียงในตอนนี้ แต่ละคนต่างหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ กระวนกระวายไม่สงบ

“ทำไมเขา… ถึงน่ากลัวขนาดนี้ได้นะ”

ราชันอสูรมารเหล่านั้นเอ่ยปาก ต่างตกตะลึงไม่หยุด

“ร้ายกาจ!”

ข้างกัน ราชันพ่อมดเถื่อนคนหนึ่งชื่นชม

คนผู้นี้ร่างสูงโปร่ง บนผิวหนังประทับสักสัญลักษณ์แน่นขนัด นัยน์ตาทั้งสองเป็นแนวตั้ง ดูพิสดารหาใดเทียบ

คนผู้นี้ก็คือ ‘ราชันพ่อมดภูเขา’ สายคนเถื่อนพสุธา!

ราชันพ่อมดสิบสามคนร่วมกันเคลื่อนไหวคราวนี้ ก็มีราชันพ่อมดภูเขาเป็นผู้นำ

“สหายยุทธ์ เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

ราชันผึ้งขาวสีหน้านิ่งขึง

“ยอมรับความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ไม่ได้เป็นเรื่องน่าอาย”

ราชันพ่อมดภูเขาเอ่ยเรียบเฉย “ถ้าไม่ทำเช่นนี้ จะยังมีโอกาสให้พวกเราได้ลงมือได้อย่างไร”

ราชันผึ้งขาวหัวเราะหยัน “พูดเช่นนี้ สหายยุทธ์มั่นใจว่าจะกำราบเด็กนี่ได้แล้วหรือ”

ราชันอสูรมารตนอื่นก็ทอดสายตามองมา สีหน้าไม่เป็นมิตร

“ถ้าไม่แน่ใจพวกเราจะมาทำอะไรที่นี่ มาหาที่ตายหรือ”

ราชันพ่อมดภูเขาหัวเราะขึ้นมา เขาดูอวดดีและมั่นใจนัก มองไปไกลๆ แล้วเอ่ยว่า “ทุกคนอยู่รอก็พอ ตอนเด็กนี่มาถึงให้พวกข้าลงมือก็จะสังหารไอ้เวรนี่ได้!”

ราชันผึ้งขาวหวังใจให้ราชันพ่อมดเหล่านี้ลงมือ พอได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นอย่างไม่ลังเลว่า “เช่นนั้นพวกเราก็จะเช็ดตาคอยดูแล้ว หวังว่าสหายยุทธ์จะทำให้พวกเราประหลาดใจได้สักครั้ง ทั้งให้พวกเราได้เห็นฝีมือของพ่อมดเถื่อนเสียหน่อย”

ราชันพ่อมดภูเขายิ้มแต่ไม่พูดอะไร

ข้างกายเขา ราชันพ่อมดอีกสิบสองคนต่างสงบเยือกเย็น

ตั้งแต่เริ่มจนจบ ภายในถ้ำสถิตปิดเงียบแห่งนั้นราชันอาภรณ์ดำไม่ได้พูดจาสักคำ คล้ายไม่รับรู้เรื่องราวในโลกภายนอกเลย

“มาแล้ว!”

ราชันผึ้งขาวหรี่ตาลง

เหล่าราชันอสูรมารกับราชันพ่อมดต่างพากันทอดสายตามองออกไปไกล

เหนือทะเลสาบ หลินสวินเดินเหยียบย่างบนอากาศอยู่ผู้เดียว แขนเสื้อโบกสะบัด กลิ่นอายราบเรียบปลอดโปร่งผิดจากปุถุชน

“ดูท่าพวกเจ้าคงเตรียมรับความตายกันแล้ว ใครจะมาสู้ก่อน หรือพวกเจ้าจะมาเสียด้วยกัน”

หลินสวินเงยหน้าขึ้น สายตาทอดมองไปยังเขาวายุดำที่อยู่ไกลออกไป ดวงตาเย็นเยียบดุจสายฟ้า น้ำเสียงเรียบเฉย แต่กลับดังไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบพิภพ

“หึ!”

พวกอสูรมารเช่นราชันผึ้งขาวแต่ละคนสีหน้าอึมครึม แค้นจนเข่นเขี้ยว พวกเขาเคยถูกคนอื่นปฏิบัติเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร

“หลินสวิน ความตายจะมาเยือนเจ้าอยู่แล้วยังไม่รู้ตัวอีกหรือ”

ทันใดนั้นราชันพ่อมดภูเขาก็ส่งเสียงเฉยชา เงาร่างทะยานขึ้นฟ้า

สวบๆๆ!

ราชันพ่อมดอีกสิบสองคนก็ทะยานขึ้นฟ้าตามไปด้วย มองไกลๆ เหมือนกับเทพเถื่อนสิบสามองค์ กลิ่นอายดูน่าครั่นคร้ามผิดธรรมดา

‘สวะพ่อมดเถื่อนหรือ’

หลินสวินคล้ายครุ่นคิด “ดูท่าพวกเจ้าก็คงนั่งไม่ติดแล้ว กังวลว่าหลังจากข้าฆ่าเดรัจฉานชั่วพวกนี้ไปแล้วจะไปก่อความยุ่งยากให้พวกเจ้าพ่อมดเถื่อนเก้าสาย ดังนั้นพวกเจ้าเลยแจ้นมาหาที่ตายก่อนใช่ไหม”

“หึ ปากคอเราะราย ปล่อยเจ้าไว้ไม่ได้ จะส่งเจ้าไปตายเสียตอนนี้เลย!”

ราชันพ่อมดภูเขาส่งเสียงหยันครั้งหนึ่ง พอสะบัดแขนเสื้อ รูปปั้นสีเลือดพิลึกพิลั่นตัวหนึ่งก็ทะยานขึ้นฟ้า

ขณะเดียวกันเขากับราชันพ่อมดอีกสิบสองคนสวดคาถาคลุมเครือและน่าพิศวง เต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณดึกดำบรรพ์

ภาพที่น่าตื่นตะลึงปรากฏขึ้นแล้ว…

ร่างกายของราชันพ่อมดทั้งสิบสามคนแปรเปลี่ยนเป็นรุ้งเทพสายแล้วสายเล่า แทนพลังมหามรรคของธาตุทองไม้น้ำไฟดิน เมฆลมอสนี พุ่งเข้าไปในรูปปั้นสีเลือดแปลกประหลาดตัวนั้นด้วยกัน

ตูม!

ชั่วพริบตารูปปั้นนั้นพลันมีรุ้งเทพทะลวงเมฆาลอยสูงขึ้นแทงทะลุเวิ้งฟ้า เผยให้เห็นดวงดาราดวงแล้วดวงเล่า

กลิ่นอายน่าตื่นตะลึงนัก!

หลินสวินนัยน์ตาหดรัดลง

ก็เห็นว่ารูปปั้นนั้นราวกับตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนเป็นมหึมาหาใดเทียบในทันใด กลายเป็นเงาร่างสูงตระหง่านร่างหนึ่ง

เขาหน้าเขียวมีเขี้ยวงอก เท้าเหยียบวาโยอสนีหยินหยาง หูห้อยห่วงอสูร ที่คอยังสวมสร้อยกระดูกเส้นหนึ่ง บนผิวหนังเปลือยประทับไปด้วยสัญลักษณ์แน่นขนัด

ในสัญลักษณ์นั้นมีปรากฏการณ์อย่างปัญจธาตุ หยินหยาง รวมถึงสุริยันจันทราดวงดารา ตัวเขาคนเดียวกลับเหมือนเทพองค์หนึ่ง มีอานุภาพรองรับฟ้าดิน ควบคุมสรรพสิ่ง!

“ดี!”

เหล่าอสูรมารอย่างราชันผึ้งขาวดวงตาเปล่งประกาย แม้แต่พวกเขายังคิดไม่ถึงว่าราชันพ่อมดเหล่านี้จะเตรียมตัวมา ฝีมือที่สำแดงออกมายิ่งแข็งแกร่งอย่างน่าอัศจรรย์

ด้วยพลังปราณของพวกเขา ให้ไปเผชิญหน้ากับเงาร่างสูงตระหง่านน่าหวาดหวั่นร่างนั้นยังรู้สึกกดดันหาใดเทียบ แข็งทื่อไปทั้งตัว

‘แม้สู้อริยะไม่ได้ แต่เกรงว่าคงจะไม่พร่องไปกว่ากันเท่าไรแล้ว’ ราชันผึ้งขาวลอบเอ่ย

เขาจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่าแท้จริงแล้วเงาร่างดุจดั่งเทพร่างนี้รวบรวมพลังราชันพ่อมดสิบสามคนเอาไว้ พิศวงและน่ากริ่งเกรงถึงที่สุด

โครม!

กลางฟ้าดินสภาพอากาศเปลี่ยนไป สรรพสัตว์ล้วนมืดหม่น ในชั่วลมหายใจเข้าออก เงาร่างดั่งเทพเถื่อนดึกดำบรรพ์นั้นก็สะเทือนห้วงอากาศจนยุ่งเหยิงเหมือนพายุฝนซัดสาด

พร้อมกับที่เขาปรากฏตัวขึ้นกลางฟ้าดิน ฤทธิ์เดชน่ากริ่งเกรงไม่มีที่สิ้นสุดแผ่กระจายออกมา ม้วนตลบไปสิบทิศ

“นี่มัน…”

“กลิ่นอายน่าสะพรึงชะมัด!”

นอกทะเลสาบวาโยอสนี ตอนนี้ผู้แข็งแกร่งจากจักรวรรดิล้วนหายใจติดขัด อกสั่นขวัญแขวนไปครู่หนึ่ง รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายกดข่มปะทะหน้า

“มีพวกร้ายกาจที่แท้จริงปรากฏตัวแล้ว”

เนตรกระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนก็นิ่งขึง

นางก็รับรู้ได้นานแล้วว่าราชันอสูรมารที่มารวมตัวกันคราวนี้ต้องเตรียมตัวไว้แล้ว แม้นางเชื่อมั่นในตัวหลินสวินยิ่งนัก แต่ยังกังวลใจอย่างเลี่ยงได้ยาก

‘ต้องระวังตัวนะ…’ จ้าวจิ่งเซวียนพึมพำในใจ

……

“น่าสนใจ ถึงกับบรรจุพลังระดับราชันสิบสามคนเอาไว้ในร่างเดียวด้วยสมบัติชิ้นหนึ่ง วิธีนี้พบเห็นได้ยากจริงๆ”

ในขณะเดียวกันหลินสวินก็รู้สึกได้ถึงความกดดันอย่างหนึ่ง

และเป็นครั้งแรกตั้งแต่เขากลับมายังโลกชั้นล่างที่รู้สึกได้ถึงความกดดันอันคุ้นเคยนี้ ความรู้สึกที่ไม่ได้รู้สึกมานานเช่นนี้กระตุ้นจิตต่อสู้ที่แท้จริงในใจหลินสวินเช่นกัน

“หลินสวิน ข้าจะจับเจ้าแล้วเลี้ยงไว้เป็นทาส เป็นข้ารับใช้ของเผ่าพ่อมดเถื่อนของข้า!”

เงาร่างเทพเถื่อนร่างนั้นส่งเสียงดังสนั่น ทำให้ห้วงอากาศระเบิดแหลก

“เหอะๆ”

รอยยิ้มหลินสวินเย็นชา ทันใดนั้นก็ก้าวออกไปก้าวหนึ่ง ลอยตัวสูงขึ้นไปที่ศีรษะของเงาร่างเทพเถื่อนนั้น จากนั้นก็เหยียบลงไป

ตูม!

คล้ายภูเขาเทพลูกหนึ่งตกลงมาจากฟ้า

ห้วงอากาศแยกออก แสงมรรคเปล่งประกายหาใดเทียบปะทุออกมาจากใต้เท้าหลินสวิน

“หึ!” Aileen-novel

เงาร่างเทพเถื่อนไหววูบเบาๆ แล้วหลบหลีกไป

ท่ามกลางสายตาจับจ้องตกตะลึงทั้งมวล พลังบาทาของหลินสวินนี้เหยียบภูเขาใหญ่ในบริเวณใกล้เคียงลูกหนึ่งจนแหลกละเอียดระเบิดออกมา ฟ้าดินสั่นระรัว ฝุ่นควันถั่งโถม

เฮือก!

พอเห็นภาพนี้เข้า พวกราชันผึ้งขาวต่างสูดหายใจเย็นอย่างอดไม่ได้ ด้วยความสามารถของพวกเขาอาจจะตั้งรับพลังบาทานี้ไว้ได้ แต่ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่

ตูม!

คราวนี้หลินสวินกวาดหมัดมาอีก

พลังหมัดกล้าแกร่งดิบเถื่อนซัดห้วงอากาศพันจั้งจนแหลก

แต่ตอนนี้เงาร่างเทพเถื่อนไม่ถอยอีกแล้ว ฝ่ามือหนึ่งกดลงไป แสงเลือดน่าสะพรึงก็โฉบออกมา รวมตัวเป็นประทับฝ่ามือรอยหนึ่ง เสียงผีครวญหมาป่าหอนดังขึ้น

ทั้งสองปะทะกัน เกิดเป็นเสียงดังสะเทือนฟ้าดิน ในพื้นที่พันลี้ทะเลสาบระเหยสิ้น แสงเทพน่ากลัวม้วนตลบ ทำให้สรรพสิ่งต่างถูกทำลาย!

ตึงๆๆ!

ก็เห็นว่าเหนือห้วงอากาศ หลินสวินกับเงาร่างเทพเถื่อนนั้นต่างถอยออกไปหลายก้าว ถึงกับเสมอกันเสียอย่างนั้น

“เป็นไปได้อย่างไร” พวกราชันผึ้งขาวหน้าเปลี่ยนสี

เงาร่างเทพเถื่อนนั้นน่ากลัวปานไหน แต่ยังกำราบหลินสวินไว้ไม่ได้หรือ เรื่องนี้ดูน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

“เจ้ามีพลังแค่ระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดชัดๆ แต่ทำไมถึงแข็งแกร่งปานนี้”

เงาร่างเทพเถื่อนนั้นตกตะลึงเช่นกัน

หลินสวินไม่ปริปาก จิตต่อสู้ของเขาถาโถม บุกประชิดอีกครั้งโดยไม่ลังเล

โครม! ตูม!

มองจากไกลๆ เงาร่างหลินสวินกวาดตัดเก้าชั้นฟ้า บดขยี้สิบทิศ ยามยกมือวาดเท้าล้วนเจืออานุภาพผลาญภูเขาเผาสมุทร พลิกผันจักรวาล

แม้ถูกเงาร่างเทพเถื่อนรับการโจมตีไว้ได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่พลานุภาพของเขากลับยิ่งสู้ยิ่งแกร่งกล้า เหล่าอสูรมารอย่างราชันผึ้งขาวพวกนั้นดูจนขวัญฝ่อไม่หยุด

แน่ใจได้ว่าหากเปลี่ยนเป็นตนเข้าไปสู้ จะต้องประสบเคราะห์ไปนานแล้ว!

ชั่วพริบตาทั้งสองก็ประมือกันแล้วหลายร้อยครั้ง

หลินสวินท่วงท่าดุจสายรุ้ง พลานุภาพเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกลับมาดูที่เงาร่างเทพเถื่อนนั้น แม้ไม่ชัดแต่ยังมีเค้าถูกกดข่ม!

“ความสามารถเพียงเท่านี้ ยังกล้าร้องว่าจะรับข้าเป็นทาสหรือ”

หลินสวินยิ้มหยัน

เขายกมือขึ้น พลังแห่งมรรคดับดารากลืนกินซึ่งบรรจุนัยเร้นลับมหามรรคทั้งปวง หลอมรวมไว้ในหมัดเดียวแล้วซัดออกไปอย่างรุนแรง

ปึง!

หมัดนี้ซัดให้เงาเทพเถื่อนนั้นโซเซ กระเด็นสูงขึ้นไปบนฟ้า พลังที่ปกคลุมผิวกายถูกตีแตก ส่งเสียงร้องเจ็บปวด

“นี่…”

เมื่อได้เห็นภาพนี้พวกราชันผึ้งขาวหนังหัวชาหนึบไปครู่หนึ่ง แข็งแกร่งเกินไปแล้ว พลังต่อสู้ที่หลินสวินสำแดงออกมาเหนือความคาดหมายของพวกเขาไปอีกครั้ง

พวกเขาจึงตระหนักได้ในตอนนี้ว่า ยามหลินสวินสังหารราชันอสูรมารอย่างพวกราชันเถาวัลย์เพลิงสิบกว่าคน ไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดสักนิด!

“เจ้ามันสมควรตาย!”

ไกลออกไปเงาร่างเทพเถื่อนเดือดดาล ห่วงกระดูกที่ห้อยไว้ที่หูโฉบพุ่งออกมาดังหึ่ง กลายเป็นทวนยาวกระดูกขาวเล่มหนึ่ง

ทวนยาวเล่มนี้มีรังสีบริสุทธิ์ไหลวนอยู่ พอเห็นได้รางๆ ว่ายังมีบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นด้วย เห็นชัดว่าเป็นสมบัติอริยะชิ้นหนึ่ง!

กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นยิ่งขึ้นกระจายออกมาจากเงาร่างเทพเถื่อน

เห็นได้ชัดว่าเขาอับอายจนกลายเป็นโกรธ เริ่มทุ่มสุดตัวแล้ว

แต่นี่ก็ยังไร้ประโยชน์เช่นเคย

สมบัติอริยะหรือ

ในมือหลินสวินก็มี มีไม่น้อยเสียด้วย!

ชิ้ง!

กระบี่เทพสีแดงชาดดุจโลหิตเล่มหนึ่งโฉบออกไป ตัวกระบี่กว้างสองนิ้วมือปรากฏธารโลหิตสายหนึ่งออกมาอย่างคลุมเครือ น้ำในสายธารมีซากศพเทพมารจมอยู่ ภาพสะท้านโลกา

กระบี่ยอดสังหาร!

กระบี่ดุร้ายหายากเล่มหนึ่งที่ในยุคบรรพกาลสามารถทำให้อริยะพูดถึงแล้วหน้าเปลี่ยนสี ได้กินเลือดอริยะมากมายจนอิ่มเอม!

สมัยอยู่ที่แดนมกุฎ หลินสวินชิงกระบี่นี้จากมือบุตรนรกแล้วเก็บไว้กับตัวมาโดยตลอด เอาออกมาใช้น้อยครั้งยิ่งนัก

ขณะนี้เมื่อเรียกกระบี่นี้ออกมา บนตัวหลินสวินพลันเปล่งพลังฆ่าฟ้าฆ่าดินฆ่าเทพผีออกมา ไม่มีสิ่งใดสังหารไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดไม่มลาย

ปึงๆๆ!

ชั่วพริบตาหลินสวินซึ่งควบคุมกระบี่ยอดสังหารกับเงาร่างเทพเถื่อนที่มือถือทวนยาวกระดูกขาวก็เข้าห้ำหั่นดุเดือด กลิ่นอายที่สมบัติอริยะทั้งสองชิ้นแผ่ออกมา ทำให้ทั้งทะเลสาบวาโยอสนีตกอยู่ในความโกลาหลยุ่งเหยิง

ภูผาธาราแปดพันลี้สั่นระรัวไปหมด ประหนึ่งยอมก้มหัวศิโรราบ

ส่วนเหล่าอสูรมารอย่างราชันผึ้งขาวต่างสั่นสะท้านจนหน้าซีดขาว จิตวิญญาณไหวหวั่น

พวกเขาไม่เคยเห็นการประชันอันตรายหายากเช่นนี้มาก่อน ต่อให้มองดูอยู่ไกลๆ ยังรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามถึงชีวิต!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท