นอกเมืองนครหยก ในเขตสุสาน
หลินสวินยืนอยู่ตรงหน้าสุสานบิดามารดาเพียงลำพัง เงียบอยู่นานสายตาจึงค่อยเคลื่อนไปมองท้องฟ้า สูดหายใจเข้าลึกคราหนึ่งก่อนพึมพำว่า “เมื่อเท็จกลายเป็นจริงนานไป จริงย่อมกลายเป็นเท็จ เมื่อไม่มีกลายเป็นมี มีย่อมไม่มี ในความจริงความเท็จและมายา ข้าคือความจริง และมหามรรคก็คือความจริง”
การหยั่งรู้อันลึกซึ้งที่อัศจรรย์และว่างเปล่านี้พวยพุ่งขึ้นในใจหลินสวิน
หิมะหนาโปรยปราย แต่ภาพทุกอย่างตรงหน้าเขากลับค่อยๆ กลายเป็นมายา พร่ามัวและค่อยๆ เลือนหายไปในอากาศ
สมัยดึกดำบรรพ์มีผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง วันหนึ่งฝันว่าตนแปลงกายเป็นผีเสื้อโบยบินกลางดอกไม้ พอตื่นมาก็พลันฉงน
สิ่งใดจริง สิ่งใดลวง?
ผีเสื้อเปลี่ยนเป็นข้า หรือข้าเปลี่ยนเป็นผีเสื้อ
นี่เรียกว่าการสับสนในความจริงเท็จ
ตอนนี้หลินสวินทะลวงด่านที่เก้าของทางเดินเมฆาหยก เข้าสู่วัฏจักร ผ่านประสบการณ์การหยั่งรู้และไตร่ตรองมายี่สิบกว่าปี เข้าใจความจริงเท็จ หยั่งถึงมายา มองเห็นตนเอง
ในการบำเพ็ญเพียร คำว่า ‘จริง’ หมายถึงความกระจ่างของการ ‘มองเห็นตัวตน’ อย่างหนึ่ง
ประสบการณ์เหล่านี้ แม้สุดท้ายภาพลวงตาจะสลายไปแต่อย่างไรก็ล้วนเป็นสิ่งที่หลินสวินประสบ ทั้งหมดจึงเป็น ‘ความจริง’!
……
ห้องโถงมรรคาสวรรค์ บนทางเดินเมฆาหยก
เงาร่างของหลินสวินปรากฏขึ้นอีกครั้ง หลังจากงุนงงเล็กน้อยสายตาของเขาก็กลับคืนสู่ความชัดเจน จิตใจว่างเปล่าโปร่งใส กลิ่นอายรอบตัวก็มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์แห่งการตระหนักรู้และพ้นโลกีย์
“ยินดีกับเจ้าด้วยที่ทะลวงผ่านด่านสุดท้าย”
ใต้ประตูสวรรค์หญิงลึกลับไม่รู้ลุกขึ้นจากการนั่งสมาธิตั้งแต่เมื่อไหร่ สายตาที่มองหลินสวินแฝงความแปลกประหลาดเสี้ยวหนึ่ง
แต่ละเหตุการณ์ที่หลินสวินประสบล้วนอยู่ในสายตาของนาง เวลาที่ดูเหมือนผ่านมายี่สิบกว่าปีราวกับวัฏจักรอันแสนสั้นรอบหนึ่ง
แต่ในห้องโถงมรรคาสวรรค์ก็เพียงยี่สิบกว่าวันเท่านั้น
เพียงแต่หญิงลึกลับกลับยากจะสงบอย่างมาก
เพราะสิ่งที่หลินสวินพบเห็น รู้สึกและหยั่งถึงตอนทะลวงด่าน… นางไม่สามารถมองเห็นได้ และไม่สามารถสัมผัสได้!
สิ่งเดียวที่นางสามารถมั่นใจได้คือ หลินสวินได้ ‘มองเห็นตัวตน’ สำเร็จ ผ่านการทดสอบแล้ว
ก็เพราะเช่นนี้จึงทำให้นางไม่เข้าใจ
“ตอนที่เจ้าทะลวงด่านอยู่ด้านใน หยั่งรู้ตอนไหนหรือ” หญิงลึกลับอดถามไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน
หลินสวินคิดๆ แล้วก็ไม่ได้ปิดบัง พูดว่า “ชั่วขณะที่ถือกำเนิด ข้าก็รู้แล้วว่าตนเป็นใคร”
หญิงลึกลับนัยน์ตาหดรัด “แต่เหตุใดตอนนั้นเจ้าจึงไม่ได้ทะลวงด่านสำเร็จ”
หลินสวินพูด “เพราะตอนนั้นข้าสับสนขึ้นมาอีก แยกไม่ออกว่าตนเป็นใครกันแน่ หากข้ามั่นใจว่าตนไม่ใช่นายน้อยตระกูลหลินแห่งเมืองนครหยก แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าข้าเป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต”
หญิงลึกลับคล้ายงุนงง กล่าวว่า “เจ้ากำลังคิดว่าทุกสิ่งที่เจ้าประสบตอนนี้ก็เป็นภาพลวงตาด้วยหรือ”
หลินสวินพยักหน้า “ใช่ เมื่อก่อนข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย ดังนั้นจึงสับสนมาโดยตลอด ถึงขั้นสงสัยว่า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ประสบก่อนหน้านี้หรือเป็นสิ่งที่ประสบใน ‘วัฏจักร’ ล้วนมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเป็นภาพมายา…”
หยุดไปครู่หนึ่งเขาก็ยิ้มพูด “เพราะฉะนั้นหลายปีนั้นในเมืองนครหยก ข้าจึงคิดมาโดยตลอดว่าข้าเป็นใครกันแน่ อะไรคือความจริง และอะไรคือมายา คิดทีก็คิดไปแล้วยี่สิบกว่าปี”
ในดวงตาหญิงลึกลับเผยประกาย เอ่ยว่า “นี่เรียกว่าด่านมายา และถูกผู้บำเพ็ญธรรมเรียกว่า ‘ด่านเห็นตน’ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่า มีเพียงอริยะจึงจะเผชิญการทดสอบของพลังด่านมารผจญเช่นนี้”
หลินสวินอึ้ง “อริยะหรือ”
หญิงลึกลับกล่าว “ใช่ สิ่งที่เจ้าสับสนในตอนนั้น ก็คือเคราะห์หนึ่งที่ระดับอริยะพบเจอ ชื่อว่า ‘เคาะใจถามความจริง’ ชี้ตรงไปยังสภาวะจิตมหามรรค ถูกเคี่ยวกรำจากความจริงเท็จมหามรรค สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ หากไม่สามารถทลายด่านเคราะห์นี้ได้ มหามรรคทั้งชีวิตจะเปลี่ยนเป็นมายาสลายหายไป!”
หลินสวินประหลาดใจ เพิ่งจะตระหนักได้ว่าความสับสนที่ตนเผชิญถึงกับเกี่ยวข้องกับด่านเคราะห์บนมรรคาระดับอริยะ!
แต่ประเด็นคือ ตนยังไม่บรรลุอริยะนะ…
สีหน้าของหลินสวินเองก็แปลกประหลาดขึ้นมาเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดหญิงลึกลับจึงใช้สายตาแปลกๆ เช่นนั้นมองตน
เห็นได้ชัดว่านางเองก็รู้สึกเหลือเชื่อกับสิ่งนี้อย่างที่สุด
“สุดท้ายเจ้าหยั่งถึงสิ่งใด” หญิงลึกลับถามต่อ
หลินสวินพูดอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด “ข้าคือความจริง”
คำสั้นๆ นี้ดูเหมือนเป็นหลักเหตุผลที่ธรรมดาและง่ายมาก คนที่มีเลือดเนื้ออยู่จริง แน่นอนว่าเป็นความจริง
แต่หญิงลึกลับรู้ว่า หลินสวินเข้าใจแล้วจริงๆ!
และเท่าที่นางรู้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บนมรรคาระดับอริยะภายใต้เคราะห์ ‘เคาะใจถามความจริง’ นี้ อริยะที่เสื่อมสลายไปมีไม่รู้เท่าไหร่!
หลินสวินซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชันอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด กลับสามารถหยั่งรู้เรื่องนี้ได้ในด่านที่เก้าของทางเดินเมฆาหยกด้วยวาสนาและความบังเอิญ ช่างเหมือนปาฏิหาริย์ที่เหลือเชื่อ
“เจ้ารู้สึกว่าตนเองมีการเปลี่ยนแปลงอะไรไหม”
หญิงลึกลับถามอีกครั้ง
หลินสวินใคร่ครวญคร่าวๆ แล้วพูดว่า “สภาวะจิตเปลี่ยนไป ในยี่สิบปีนั้นสภาวะจิตของข้าผ่านการทดสอบและเคี่ยวกรำท่ามกลางความจริงเท็จมาไม่รู้เท่าไหร่ ตอนนี้จะไม่สับสนกับเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว”
คิดๆ แล้วเขาก็พูดอีกว่า “อีกอย่าง ข้าไม่กลัวเคราะห์โชคชะตาอีกแล้ว”
คำพูดราบเรียบ กลับเผยความมั่นใจอันแน่ชัดออกมา
สำหรับเรื่องนี้หญิงลึกลับไม่ถามมากไปกว่านี้ พลิกมือเปล่า
วู้ม!
ทันใดนั้นบนทางเดินเมฆาหยกปรากฏละอองแสงงดงามแถบหนึ่ง สุดท้ายเปลี่ยนเป็นวงแสงสามวงลอยอยู่ตรงหน้าหลินสวิน
ในวงแสงวงแรกเป็นปีกสีดำที่ราวกับมายาคู่หนึ่ง ดำสนิทดุจสีแห่งรัตติกาล ให้ความรู้สึกถึงท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่เลือนรางยืดหยุ่น
เสียงเย็นชาของหญิงลึกลับดังขึ้น
“สมบัติชิ้นแรกคือรางวัลสำหรับการผ่านด่านที่เจ็ด ‘เผาขอบเขต’ ชื่อว่า ‘ปีกผลาญเทพ’ ใช้ปีกนี้บินหนี สามารถเคลื่อนย้ายกลางอากาศได้สามพันลี้ ไม่ต่างอะไรกับเคลื่อนย้ายผ่านอากาศของระดับอริยะ…”
หลินสวินพลันตาเป็นประกาย ตระหนักได้ว่าสมบัติชิ้นนี้เป็นอาวุธเทพที่ใช้หลบหนีอย่างแท้จริง
เคลื่อนย้ายผ่านอากาศ!
แม้พื้นที่เพียงสามพันลี้ หากใช้ในช่วงเวลาเป็นตายก็สามารถสำแดงผลลัพธ์อัศจรรย์ในการช่วยชีวิตได้
“ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือ การเรียกสมบัตินี้ออกมาใช้ด้วยพลังปราณที่ต่ำกว่าระดับอริยะ จะสูญเสียสารกายพลังชีวิตและจิตวิญญาณ ที่รุนแรงหน่อยคือถึงขั้นทำลายรากฐานมหามรรค หากไม่ใช่ช่วงวิกฤตข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าใช้สมบัตินี้จะดีที่สุด”
ประโยคเดียวของหญิงลึกลับทำให้หลินสวินสงบลงไม่น้อย แต่ยังคงอดหวั่นไหวไม่ได้ รู้ดีว่าหากสามารถใช้สมบัตินี้ได้อย่างเต็มที่ ย่อมสามารถถือเป็นไพ่ตายได้เลยทีเดียว!
“สมบัติชิ้นที่สองเป็นรางวัลสำหรับการทะลวงผ่านด่านที่แปด ‘ทลายมรรค’ ชื่อว่า ‘พันฤกษ์วัฏจักรนำพา’ หลงอยู่ในทะเลดาราไร้ขอบเขต ตกอยู่ในด่านปริศนาแห่งฟ้าดิน หลงเข้าไปในเขตแดนอันตรายร้ายแรง… ล้วนสามารถใช้สมบัตินี้อนุมานทางรอด แต่จะสามารถอนุมานโอกาสรอดได้เท่าไหร่นั้น ต้องดูความสูงต่ำของพลังปราณของตัวผู้ฝึกปราณเอง”
ได้ยินเสียงของหญิงลึกลับหลินสวินก็เงยหน้าขึ้นมอง
พลันเห็นว่าในวงแสงดวงที่สองนั่นเป็นเครื่องมือสำริดที่ลักษณะเรียบง่ายคล้ายตะเกียง พื้นผิวปกคลุมด้วยลายมหามรรคแน่นขนัดคลุมเครือ ตรงไส้ตะเกียงเป็นเข็มทิศที่ราวกับงูมังกร
นี่ก็คือพันฤกษ์วัฏจักรนำพา สมบัติโบราณที่มีวิธีการใช้แบบพิเศษ!
แววตาของหลินสวินร้อนระอุขึ้นมา
มูลค่าของสมบัติชิ้นนี้ไม่สามารถประเมินค่าได้อย่างแน่นอน ต่อไปหากเข้าสู่สถานที่แปลกประหลาดอัปมงคลแล้วไม่สามารถออกมาได้ อาจจะสามารถใช้สมบัตินี้ชี้ทางได้
ตอนที่หลินสวินมองไปยังดวงแสงที่สามก็อดอึ้งไม่ได้ เพราะในวงแสงนั่นมีเพียงแสงมรรคสายเดียวปรากฏอยู่!
แสงนี้อ่อนโยนศักดิ์สิทธิ์ ให้ความรู้สึกอัศจรรย์ยากจะคาดเดา
“ผู้อาวุโส รางวัลของด่านที่เก้าคืออะไร”
หลินสวินประหลาดใจ
“นี่เป็นพลังอย่างหนึ่ง”
หญิงลึกลับสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย สายตาล่องลอย “เจ้ายังไม่ได้ปลุกอภินิหารพรสวรรค์ขึ้นมาใช่ไหม”
หลินสวินอึ้ง ส่ายหน้าน้อยๆ
บนโลกนี้หมื่นเผ่าหยัดยืน ทุกเผ่าล้วนมีพลังพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ในสายเลือดแทบจะทั้งหมด
มีพลังแห่งพรสวรรค์ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะปลุกอภินิหารพรสวรรค์ขึ้นมาได้
เช่นอภินิหารพรสวรรค์ของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬคือ ‘รับกลิ่นมรรค’
อภินิหารพรสวรรค์ของเผ่าหงส์เขียวก็คือ ‘ขนนกพึ่งพิง’
หรืออย่างเสี่ยวอิ๋น ในฐานะลูกหลานหนอนกินเทพ อภินิหารพรสวรรค์ของเขาคือ ‘มรรคกระบี่กินเทพ’
ส่วนเผ่ามนุษย์ก็มีพลังพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน อย่างชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดหุบเหวกลืนกินของหลินสวิน
แต่ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ เขายังไม่เคยปลุกอภินิหารพรสวรรค์ของ ‘หุบเหวกลืนกิน’ ได้
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าอภินิหารพรสวรรค์ของหุบเหวกลืนกินก็คือมรรคดับดารากลืนกิน มีความเกี่ยวข้องกับพลังมหามรรค
แต่ตอนนี้หลินสวินมั่นใจนานแล้วว่า มรรคดับดารากลืนกินเป็นเพียงมหามรรคที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง มีเพียงพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินจึงจะสามารถครอบครองและหยั่งรู้ได้ ไม่นับเป็นอภินิหารพรสวรรค์
“หรือว่าพลังนี้เกี่ยวข้องกับอภินิหารพรสวรรค์”
ในใจหลินสวินกระตุกวูบ สายตามองแสงมรรคในวงแสงที่สาม
หญิงลึกลับพยักหน้า “ไม่ผิด มันชื่อว่า ‘พลังเร้นชะตาสวรรค์’ สามารถปลุกพลังพรสวรรค์ กระตุ้นประทับต้นกำเนิดในพรสวรรค์ ทำให้ผู้ฝึกปราณครอบครองวิธีเข้าถึงอภินิหารในพรสวรรค์ของตน”
พูดถึงตรงนี้นางมองหลินสวินแล้วกล่าวว่า “แต่ข้าแนะนำว่าเจ้าใช้ความสามารถของตนปลุกประทับต้นกำเนิดในพรสวรรค์จะดีที่สุด จากนั้นค่อยใช้พลังนี้ เช่นนี้บางทีอาจจะได้รับผลลัพธ์มหัศจรรย์น่าเหลือเชื่อ”
สิ่งที่ตื่นขึ้นมาเอง กับสิ่งที่ถูกปลุกให้ตื่นย่อมไม่เหมือนกัน
หลินสวินเข้าใจทันที อดหวั่นไหวไม่ได้ พลังเร้นชะตาสวรรค์นี่เป็นพลังที่ลึกลับอัศจรรย์เพียงใด ถึงขั้นสามารถกระตุ้นประทับต้นกำเนิดในพรสวรรค์ได้
ไม่นานหลินสวินก็เก็บ ‘ปีกผลาญเทพ’ ‘พันฤกษ์วัฏจักรนำพา’ ‘พลังเร้นชะตาสวรรค์’ ลงไป ในใจปลาบปลื้มอย่างควบคุมไม่อยู่แล้ว
ทะลวงสามด่านสุดท้ายของทางเดินเมฆาหยกต่อเนื่องกัน ทั้งยังได้รับรางวัลมหาศาลและน่าตะลึงเช่นนี้ ทำให้เขาเองยังรู้สึกประหลาดใจอย่างที่สุด
และตอนนี้เขาได้มาถึงหน้าประตูสวรรค์อย่างแท้จริงแล้ว
ประตูนี้สูงตระหง่านเทียมฟ้า สูงใหญ่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด มองไม่เห็นยอดของมัน บนล่างทั้งบานราวกับหล่อจากสำริด แผ่กลิ่นอายที่กว้างใหญ่ไพศาลและห่างไกล
ยืนอยู่หน้าประตูนี้ หลินสวินยังอดรู้สึกเหมือนเป็นข้าวเม็ดหนึ่งในมหาสมุทรไม่ได้ เล็กราวกับมด ประตูสวรรค์นี่สูงตระหง่านเกินไปจริงๆ ไม่เหมือนสิ่งที่มีอยู่บนโลก!
“เจ้าจะลองผลักประตูตอนนี้หรือไม่”
หญิงลึกลับถาม สีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “โอกาสมีเพียงครั้งเดียว หากผลักไม่ออก… ต่อไปก็จะไม่สามารถผลักประตูเข้าไปได้อีก”
ในใจหลินสวินเคร่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ยืนเงียบอยู่หน้าประตูสวรรค์
เวลาผ่านไปทีละนิด
หญิงลึกลับเองก็เงียบเช่นกัน ไม่ได้พูดอะไรอีก ครั้งนี้หลินสวินต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง
ครู่ใหญ่หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ เหมือนได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว