Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1418 รางวัลมหาศาลที่คาดไม่ถึง

ตอนที่ 1418 รางวัลมหาศาลที่คาดไม่ถึง

นอกเมืองนครหยก ในเขตสุสาน

หลินสวินยืนอยู่ตรงหน้าสุสานบิดามารดาเพียงลำพัง เงียบอยู่นานสายตาจึงค่อยเคลื่อนไปมองท้องฟ้า สูดหายใจเข้าลึกคราหนึ่งก่อนพึมพำว่า “เมื่อเท็จกลายเป็นจริงนานไป จริงย่อมกลายเป็นเท็จ เมื่อไม่มีกลายเป็นมี มีย่อมไม่มี ในความจริงความเท็จและมายา ข้าคือความจริง และมหามรรคก็คือความจริง”

การหยั่งรู้อันลึกซึ้งที่อัศจรรย์และว่างเปล่านี้พวยพุ่งขึ้นในใจหลินสวิน

หิมะหนาโปรยปราย แต่ภาพทุกอย่างตรงหน้าเขากลับค่อยๆ กลายเป็นมายา พร่ามัวและค่อยๆ เลือนหายไปในอากาศ

สมัยดึกดำบรรพ์มีผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง วันหนึ่งฝันว่าตนแปลงกายเป็นผีเสื้อโบยบินกลางดอกไม้ พอตื่นมาก็พลันฉงน

สิ่งใดจริง สิ่งใดลวง?

ผีเสื้อเปลี่ยนเป็นข้า หรือข้าเปลี่ยนเป็นผีเสื้อ

นี่เรียกว่าการสับสนในความจริงเท็จ

ตอนนี้หลินสวินทะลวงด่านที่เก้าของทางเดินเมฆาหยก เข้าสู่วัฏจักร ผ่านประสบการณ์การหยั่งรู้และไตร่ตรองมายี่สิบกว่าปี เข้าใจความจริงเท็จ หยั่งถึงมายา มองเห็นตนเอง

ในการบำเพ็ญเพียร คำว่า ‘จริง’ หมายถึงความกระจ่างของการ ‘มองเห็นตัวตน’ อย่างหนึ่ง

ประสบการณ์เหล่านี้ แม้สุดท้ายภาพลวงตาจะสลายไปแต่อย่างไรก็ล้วนเป็นสิ่งที่หลินสวินประสบ ทั้งหมดจึงเป็น ‘ความจริง’!

……

ห้องโถงมรรคาสวรรค์ บนทางเดินเมฆาหยก

เงาร่างของหลินสวินปรากฏขึ้นอีกครั้ง หลังจากงุนงงเล็กน้อยสายตาของเขาก็กลับคืนสู่ความชัดเจน จิตใจว่างเปล่าโปร่งใส กลิ่นอายรอบตัวก็มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์แห่งการตระหนักรู้และพ้นโลกีย์

“ยินดีกับเจ้าด้วยที่ทะลวงผ่านด่านสุดท้าย”

ใต้ประตูสวรรค์หญิงลึกลับไม่รู้ลุกขึ้นจากการนั่งสมาธิตั้งแต่เมื่อไหร่ สายตาที่มองหลินสวินแฝงความแปลกประหลาดเสี้ยวหนึ่ง

แต่ละเหตุการณ์ที่หลินสวินประสบล้วนอยู่ในสายตาของนาง เวลาที่ดูเหมือนผ่านมายี่สิบกว่าปีราวกับวัฏจักรอันแสนสั้นรอบหนึ่ง

แต่ในห้องโถงมรรคาสวรรค์ก็เพียงยี่สิบกว่าวันเท่านั้น

เพียงแต่หญิงลึกลับกลับยากจะสงบอย่างมาก

เพราะสิ่งที่หลินสวินพบเห็น รู้สึกและหยั่งถึงตอนทะลวงด่าน… นางไม่สามารถมองเห็นได้ และไม่สามารถสัมผัสได้!

สิ่งเดียวที่นางสามารถมั่นใจได้คือ หลินสวินได้ ‘มองเห็นตัวตน’ สำเร็จ ผ่านการทดสอบแล้ว

ก็เพราะเช่นนี้จึงทำให้นางไม่เข้าใจ

“ตอนที่เจ้าทะลวงด่านอยู่ด้านใน หยั่งรู้ตอนไหนหรือ” หญิงลึกลับอดถามไม่ได้

นี่เป็นครั้งแรกที่นางเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน

หลินสวินคิดๆ แล้วก็ไม่ได้ปิดบัง พูดว่า “ชั่วขณะที่ถือกำเนิด ข้าก็รู้แล้วว่าตนเป็นใคร”

หญิงลึกลับนัยน์ตาหดรัด “แต่เหตุใดตอนนั้นเจ้าจึงไม่ได้ทะลวงด่านสำเร็จ”

หลินสวินพูด “เพราะตอนนั้นข้าสับสนขึ้นมาอีก แยกไม่ออกว่าตนเป็นใครกันแน่ หากข้ามั่นใจว่าตนไม่ใช่นายน้อยตระกูลหลินแห่งเมืองนครหยก แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าข้าเป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต”

หญิงลึกลับคล้ายงุนงง กล่าวว่า “เจ้ากำลังคิดว่าทุกสิ่งที่เจ้าประสบตอนนี้ก็เป็นภาพลวงตาด้วยหรือ”

หลินสวินพยักหน้า “ใช่ เมื่อก่อนข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย ดังนั้นจึงสับสนมาโดยตลอด ถึงขั้นสงสัยว่า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ประสบก่อนหน้านี้หรือเป็นสิ่งที่ประสบใน ‘วัฏจักร’ ล้วนมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเป็นภาพมายา…”

หยุดไปครู่หนึ่งเขาก็ยิ้มพูด “เพราะฉะนั้นหลายปีนั้นในเมืองนครหยก ข้าจึงคิดมาโดยตลอดว่าข้าเป็นใครกันแน่ อะไรคือความจริง และอะไรคือมายา คิดทีก็คิดไปแล้วยี่สิบกว่าปี”

ในดวงตาหญิงลึกลับเผยประกาย เอ่ยว่า “นี่เรียกว่าด่านมายา และถูกผู้บำเพ็ญธรรมเรียกว่า ‘ด่านเห็นตน’ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่า มีเพียงอริยะจึงจะเผชิญการทดสอบของพลังด่านมารผจญเช่นนี้”

หลินสวินอึ้ง “อริยะหรือ”

หญิงลึกลับกล่าว “ใช่ สิ่งที่เจ้าสับสนในตอนนั้น ก็คือเคราะห์หนึ่งที่ระดับอริยะพบเจอ ชื่อว่า ‘เคาะใจถามความจริง’ ชี้ตรงไปยังสภาวะจิตมหามรรค ถูกเคี่ยวกรำจากความจริงเท็จมหามรรค สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ หากไม่สามารถทลายด่านเคราะห์นี้ได้ มหามรรคทั้งชีวิตจะเปลี่ยนเป็นมายาสลายหายไป!”

หลินสวินประหลาดใจ เพิ่งจะตระหนักได้ว่าความสับสนที่ตนเผชิญถึงกับเกี่ยวข้องกับด่านเคราะห์บนมรรคาระดับอริยะ!

แต่ประเด็นคือ ตนยังไม่บรรลุอริยะนะ…

สีหน้าของหลินสวินเองก็แปลกประหลาดขึ้นมาเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดหญิงลึกลับจึงใช้สายตาแปลกๆ เช่นนั้นมองตน

เห็นได้ชัดว่านางเองก็รู้สึกเหลือเชื่อกับสิ่งนี้อย่างที่สุด

“สุดท้ายเจ้าหยั่งถึงสิ่งใด” หญิงลึกลับถามต่อ

หลินสวินพูดอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด “ข้าคือความจริง”

คำสั้นๆ นี้ดูเหมือนเป็นหลักเหตุผลที่ธรรมดาและง่ายมาก คนที่มีเลือดเนื้ออยู่จริง แน่นอนว่าเป็นความจริง

แต่หญิงลึกลับรู้ว่า หลินสวินเข้าใจแล้วจริงๆ!

และเท่าที่นางรู้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บนมรรคาระดับอริยะภายใต้เคราะห์ ‘เคาะใจถามความจริง’ นี้ อริยะที่เสื่อมสลายไปมีไม่รู้เท่าไหร่!

หลินสวินซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชันอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด กลับสามารถหยั่งรู้เรื่องนี้ได้ในด่านที่เก้าของทางเดินเมฆาหยกด้วยวาสนาและความบังเอิญ ช่างเหมือนปาฏิหาริย์ที่เหลือเชื่อ

“เจ้ารู้สึกว่าตนเองมีการเปลี่ยนแปลงอะไรไหม”

หญิงลึกลับถามอีกครั้ง

หลินสวินใคร่ครวญคร่าวๆ แล้วพูดว่า “สภาวะจิตเปลี่ยนไป ในยี่สิบปีนั้นสภาวะจิตของข้าผ่านการทดสอบและเคี่ยวกรำท่ามกลางความจริงเท็จมาไม่รู้เท่าไหร่ ตอนนี้จะไม่สับสนกับเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว”

คิดๆ แล้วเขาก็พูดอีกว่า “อีกอย่าง ข้าไม่กลัวเคราะห์โชคชะตาอีกแล้ว”

คำพูดราบเรียบ กลับเผยความมั่นใจอันแน่ชัดออกมา

สำหรับเรื่องนี้หญิงลึกลับไม่ถามมากไปกว่านี้ พลิกมือเปล่า

วู้ม!

ทันใดนั้นบนทางเดินเมฆาหยกปรากฏละอองแสงงดงามแถบหนึ่ง สุดท้ายเปลี่ยนเป็นวงแสงสามวงลอยอยู่ตรงหน้าหลินสวิน

ในวงแสงวงแรกเป็นปีกสีดำที่ราวกับมายาคู่หนึ่ง ดำสนิทดุจสีแห่งรัตติกาล ให้ความรู้สึกถึงท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่เลือนรางยืดหยุ่น

เสียงเย็นชาของหญิงลึกลับดังขึ้น

“สมบัติชิ้นแรกคือรางวัลสำหรับการผ่านด่านที่เจ็ด ‘เผาขอบเขต’ ชื่อว่า ‘ปีกผลาญเทพ’ ใช้ปีกนี้บินหนี สามารถเคลื่อนย้ายกลางอากาศได้สามพันลี้ ไม่ต่างอะไรกับเคลื่อนย้ายผ่านอากาศของระดับอริยะ…”

หลินสวินพลันตาเป็นประกาย ตระหนักได้ว่าสมบัติชิ้นนี้เป็นอาวุธเทพที่ใช้หลบหนีอย่างแท้จริง

เคลื่อนย้ายผ่านอากาศ!

แม้พื้นที่เพียงสามพันลี้ หากใช้ในช่วงเวลาเป็นตายก็สามารถสำแดงผลลัพธ์อัศจรรย์ในการช่วยชีวิตได้

“ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือ การเรียกสมบัตินี้ออกมาใช้ด้วยพลังปราณที่ต่ำกว่าระดับอริยะ จะสูญเสียสารกายพลังชีวิตและจิตวิญญาณ ที่รุนแรงหน่อยคือถึงขั้นทำลายรากฐานมหามรรค หากไม่ใช่ช่วงวิกฤตข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าใช้สมบัตินี้จะดีที่สุด”

ประโยคเดียวของหญิงลึกลับทำให้หลินสวินสงบลงไม่น้อย แต่ยังคงอดหวั่นไหวไม่ได้ รู้ดีว่าหากสามารถใช้สมบัตินี้ได้อย่างเต็มที่ ย่อมสามารถถือเป็นไพ่ตายได้เลยทีเดียว!

“สมบัติชิ้นที่สองเป็นรางวัลสำหรับการทะลวงผ่านด่านที่แปด ‘ทลายมรรค’ ชื่อว่า ‘พันฤกษ์วัฏจักรนำพา’ หลงอยู่ในทะเลดาราไร้ขอบเขต ตกอยู่ในด่านปริศนาแห่งฟ้าดิน หลงเข้าไปในเขตแดนอันตรายร้ายแรง… ล้วนสามารถใช้สมบัตินี้อนุมานทางรอด แต่จะสามารถอนุมานโอกาสรอดได้เท่าไหร่นั้น ต้องดูความสูงต่ำของพลังปราณของตัวผู้ฝึกปราณเอง”

ได้ยินเสียงของหญิงลึกลับหลินสวินก็เงยหน้าขึ้นมอง

พลันเห็นว่าในวงแสงดวงที่สองนั่นเป็นเครื่องมือสำริดที่ลักษณะเรียบง่ายคล้ายตะเกียง พื้นผิวปกคลุมด้วยลายมหามรรคแน่นขนัดคลุมเครือ ตรงไส้ตะเกียงเป็นเข็มทิศที่ราวกับงูมังกร

นี่ก็คือพันฤกษ์วัฏจักรนำพา สมบัติโบราณที่มีวิธีการใช้แบบพิเศษ!

แววตาของหลินสวินร้อนระอุขึ้นมา

มูลค่าของสมบัติชิ้นนี้ไม่สามารถประเมินค่าได้อย่างแน่นอน ต่อไปหากเข้าสู่สถานที่แปลกประหลาดอัปมงคลแล้วไม่สามารถออกมาได้ อาจจะสามารถใช้สมบัตินี้ชี้ทางได้

ตอนที่หลินสวินมองไปยังดวงแสงที่สามก็อดอึ้งไม่ได้ เพราะในวงแสงนั่นมีเพียงแสงมรรคสายเดียวปรากฏอยู่!

แสงนี้อ่อนโยนศักดิ์สิทธิ์ ให้ความรู้สึกอัศจรรย์ยากจะคาดเดา

“ผู้อาวุโส รางวัลของด่านที่เก้าคืออะไร”

หลินสวินประหลาดใจ

“นี่เป็นพลังอย่างหนึ่ง”

หญิงลึกลับสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย สายตาล่องลอย “เจ้ายังไม่ได้ปลุกอภินิหารพรสวรรค์ขึ้นมาใช่ไหม”

หลินสวินอึ้ง ส่ายหน้าน้อยๆ

บนโลกนี้หมื่นเผ่าหยัดยืน ทุกเผ่าล้วนมีพลังพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ในสายเลือดแทบจะทั้งหมด

มีพลังแห่งพรสวรรค์ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะปลุกอภินิหารพรสวรรค์ขึ้นมาได้

เช่นอภินิหารพรสวรรค์ของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬคือ ‘รับกลิ่นมรรค’

อภินิหารพรสวรรค์ของเผ่าหงส์เขียวก็คือ ‘ขนนกพึ่งพิง’

หรืออย่างเสี่ยวอิ๋น ในฐานะลูกหลานหนอนกินเทพ อภินิหารพรสวรรค์ของเขาคือ ‘มรรคกระบี่กินเทพ’

ส่วนเผ่ามนุษย์ก็มีพลังพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน อย่างชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดหุบเหวกลืนกินของหลินสวิน

แต่ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ เขายังไม่เคยปลุกอภินิหารพรสวรรค์ของ ‘หุบเหวกลืนกิน’ ได้

ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าอภินิหารพรสวรรค์ของหุบเหวกลืนกินก็คือมรรคดับดารากลืนกิน มีความเกี่ยวข้องกับพลังมหามรรค

แต่ตอนนี้หลินสวินมั่นใจนานแล้วว่า มรรคดับดารากลืนกินเป็นเพียงมหามรรคที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง มีเพียงพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินจึงจะสามารถครอบครองและหยั่งรู้ได้ ไม่นับเป็นอภินิหารพรสวรรค์

“หรือว่าพลังนี้เกี่ยวข้องกับอภินิหารพรสวรรค์”

ในใจหลินสวินกระตุกวูบ สายตามองแสงมรรคในวงแสงที่สาม

หญิงลึกลับพยักหน้า “ไม่ผิด มันชื่อว่า ‘พลังเร้นชะตาสวรรค์’ สามารถปลุกพลังพรสวรรค์ กระตุ้นประทับต้นกำเนิดในพรสวรรค์ ทำให้ผู้ฝึกปราณครอบครองวิธีเข้าถึงอภินิหารในพรสวรรค์ของตน”

พูดถึงตรงนี้นางมองหลินสวินแล้วกล่าวว่า “แต่ข้าแนะนำว่าเจ้าใช้ความสามารถของตนปลุกประทับต้นกำเนิดในพรสวรรค์จะดีที่สุด จากนั้นค่อยใช้พลังนี้ เช่นนี้บางทีอาจจะได้รับผลลัพธ์มหัศจรรย์น่าเหลือเชื่อ”

สิ่งที่ตื่นขึ้นมาเอง กับสิ่งที่ถูกปลุกให้ตื่นย่อมไม่เหมือนกัน

หลินสวินเข้าใจทันที อดหวั่นไหวไม่ได้ พลังเร้นชะตาสวรรค์นี่เป็นพลังที่ลึกลับอัศจรรย์เพียงใด ถึงขั้นสามารถกระตุ้นประทับต้นกำเนิดในพรสวรรค์ได้

ไม่นานหลินสวินก็เก็บ ‘ปีกผลาญเทพ’ ‘พันฤกษ์วัฏจักรนำพา’ ‘พลังเร้นชะตาสวรรค์’ ลงไป ในใจปลาบปลื้มอย่างควบคุมไม่อยู่แล้ว

ทะลวงสามด่านสุดท้ายของทางเดินเมฆาหยกต่อเนื่องกัน ทั้งยังได้รับรางวัลมหาศาลและน่าตะลึงเช่นนี้ ทำให้เขาเองยังรู้สึกประหลาดใจอย่างที่สุด

และตอนนี้เขาได้มาถึงหน้าประตูสวรรค์อย่างแท้จริงแล้ว

ประตูนี้สูงตระหง่านเทียมฟ้า สูงใหญ่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด มองไม่เห็นยอดของมัน บนล่างทั้งบานราวกับหล่อจากสำริด แผ่กลิ่นอายที่กว้างใหญ่ไพศาลและห่างไกล

ยืนอยู่หน้าประตูนี้ หลินสวินยังอดรู้สึกเหมือนเป็นข้าวเม็ดหนึ่งในมหาสมุทรไม่ได้ เล็กราวกับมด ประตูสวรรค์นี่สูงตระหง่านเกินไปจริงๆ ไม่เหมือนสิ่งที่มีอยู่บนโลก!

“เจ้าจะลองผลักประตูตอนนี้หรือไม่”

หญิงลึกลับถาม สีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “โอกาสมีเพียงครั้งเดียว หากผลักไม่ออก… ต่อไปก็จะไม่สามารถผลักประตูเข้าไปได้อีก”

ในใจหลินสวินเคร่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ยืนเงียบอยู่หน้าประตูสวรรค์

เวลาผ่านไปทีละนิด

หญิงลึกลับเองก็เงียบเช่นกัน ไม่ได้พูดอะไรอีก ครั้งนี้หลินสวินต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง

ครู่ใหญ่หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ เหมือนได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท