ครั้งนี้หิมะตกหนักเป็นพิเศษ เมฆขาวปกคลุม เมืองนครหยกโพลนทั้งแถบ
บนถนนหลินสวินเดินอยู่เพียงลำพัง ในแววตาเหม่อลอย เขาเดินอย่างไร้เป้าหมายอยู่อย่างนี้ หิมะตกใส่เต็มตัว ผมดำย้อมเป็นสีเกล็ดหิมะ
สุนัขล่าสัตว์ตัวหนึ่งหนีออกมา ส่ายหางไปมาใส่หลินสวินอย่างได้ใจ
สุนัขตัวหนึ่งเท่านั้นกลับสวมใส่เสื้อผ้าที่ตัดขึ้นพิเศษหรูหราพอดีตัว แม้แต่ตรงคอยังมีกระดิ่งทองคาดอยู่พวงหนึ่ง
โครก…
หลินสวินท้องร้องขึ้นมาอย่างไม่เอาไหน
เขาเคลื่อนสายตาเหลือบมองสุนัขตัวนั้นปราดหนึ่ง อีกฝ่ายสั่นระริกไปทั้งตัว ขนลุกซู่ขึ้นมาทีหนึ่ง เหมือนตกใจกลัวอย่างมาก หนีบหางหนีกระเจิงไป
ภาพนี้ทำให้อดนึกถึงคำพูดที่ว่า ‘หนีกระเจิงราวกับสุนัขจรจัด’ ไม่ได้
หลินสวินเก็บสายตา ในใจกลับคิดว่า ตนเหมือนจะไม่ได้ชิมรสชาติเนื้อสุนัขมานานมากแล้ว…
“มั่งมี มั่งมี!”
ห่างออกไป กลุ่มคนที่เหมือนจะเป็นข้ารับใช้ไล่ตามสุนัขล่าสัตว์ที่หนีออกมาตัวนั้นอย่างร้อนใจ
“เจ้าขอทาน หยุดนะ!”
ข้ารับใช้หญิงที่รูปลักษณ์งดงาม ท่าทางกลับดูเย่อหยิ่งคนหนึ่งขวางทางหลินสวินไว้อย่างขุ่นเคือง ชี้หน้าหลินสวินต่อว่าออกมา
“เจ้าทำอะไรลงไป ทำสุนัขแสนรักของฮูหยินตระกูลข้าตกใจ… เอ๊ะ เจ้า… เจ้าคือนายน้อยหรือ”
เสียงต่อว่าหยุดไปอย่างกะทันหัน
ข้ารับใช้หญิงจำหลินสวินได้แล้ว เบิกตาโพลงเหมือนยากจะเชื่อ
หลินสวินเองก็จำได้ ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคือเสี่ยวเฉ่า ข้ารับใช้หญิงที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายหลินสวินตั้งแต่เด็ก
เพียงแต่หลังจากตระกูลหลินล่มสลาย เขาก็ไม่ได้เจออีกฝ่ายมาหลายปีแล้ว
ดูจากสถานการณ์ หลังไปจากตระกูลหลินชีวิตนางไม่เลวเลย แม้ดูแล้วยังคงเป็นข้ารับใช้คนหนึ่ง แต่กลับแต่งกายครบครัน ชุดผ้าแพรขนสัตว์ เปล่งประกายกลิ่นอายสูงส่งไปทั่วทั้งตัว
“เจ้าเองหรือ เสี่ยวเฉ่า”
หลินสวินรู้สึกว่าจำเป็นต้องทักทายอีกฝ่าย ถึงอย่างไรเมื่อก่อนเสี่ยวเฉ่าก็นับว่าเป็น ‘คนคุ้นเคย’ คนหนึ่ง
“อย่าเรียกข้าว่าเสี่ยวเฉ่า!”
ทันใดนั้นข้ารับใช้หญิงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา หัวเราะเยาะเอ่ย “เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นนายน้อยตระกูลหลินหรือ ดูสภาพเจ้าตอนนี้ แม้แต่สุนัขตัวหนึ่งยังสู้ไม่ได้ ยังอยากจะมาเชื่อมสัมพันธ์กับข้า จะบอกเจ้าให้ ต่อไปหากเจ้ากล้าพูดกับคนอื่นว่าข้าเป็นข้ารับใช้ข้างกายเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้าเป็นคนแรก!”
นางดูตื่นตระหนกมาก รีบขีดเส้นความสัมพันธ์กับหลินสวิน
หลินสวินมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรแล้วเดินหน้าต่อไป
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีความแปรปรวนของอารมณ์สักนิด นี่ทำให้เสี่ยวเฉ่าประหลาดใจ
หลังจากประหลาดใจก็เป็นความโกรธ นางพุ่งเข้าไปอีกครั้งพร้อมพูดว่า “เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่ เจ้าช่างเป็นคนโง่คนหนึ่งจริงๆ มีชีวิตอยู่มาหลายปีขนาดนี้แล้ว แม้แต่สุนัขยังสู้ไม่ได้ พ่อแม่ตายหมดแล้ว ตระกูลหลินก็ล่มสลายไปแล้ว แม้แต่เจ้าก็ถูกไล่ออกจากตระกูลหลิน ไม่แน่ว่าวันใดจะแข็งตายกลางพายุหิมะ แม้แต่ศพก็ไม่มีใครช่วยเจ้าเก็บ!”
หลินสวินยังคงเดินหน้า เหมือนไม่ได้ยิน
นี่ทำให้เสี่ยวเฉ่ายิ่งโกรธ ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันพูด “เป็นคนโง่จริงๆ ด้วย ถึงว่าตอนนั้นฮูหยินเลือกจะถอนหมั้น ใครจะยินยอมแต่งงานกับคนโง่ปัญญาทึบอย่างเจ้า”
หลินสวินชะงักฝีเท้าพลันเอ่ย “ฮูหยินหรือ”
เห็นว่าในที่สุดเจ้าโง่คนนี้ก็ตอบสนองบ้างแล้ว เสี่ยวเฉ่าเหมือนสู้รบชนะอย่างไรอย่างนั้น หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความได้ใจและดูถูก “เจ้าถึงกับยังจำฮูหยินได้หรือ ไม่ผิด ฮูหยินตระกูลข้าก็คือหวังจื่อหลวน!”
ในเมืองนครหยกตอนนี้ ใครจะไม่รู้จักชื่อเสียงของหวังจื่อหลวน ส่วนหวงฝู่เซ่าอวี่สามีของหวังจื่อหลวน ยิ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้
ว่ากันว่าหวงฝู่เซ่าอวี่ถูกกำหนดให้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักสำนักเมฆาเขียวเป็นการภายในแล้ว ต่อไปไม่ช้าก็เร็วจะต้องครองอำนาจใหญ่ในสำนักเมฆาเขียว!
“เป็นอย่างไร ตอนนี้เจ้าทรมานมากใช่หรือไม่ รู้สึกโกรธมากใช่ไหม”
เสี่ยวเฉ่ายิ้มเยาะ “น่าเสียดาย หากข้าเป็นฮูหยิน ตอนนั้นก็ไม่มีทางแต่งกับคนโง่ปัญญาทึบอย่างเจ้าเช่นกัน!”
“ยังจำได้ว่า ตอนนั้นเจ้าเคยถามข้าว่าไม่โกรธหรือ”
หลินสวินขมวดคิ้ว เหมือนกำลังระลึกความทรงจำที่ยากลำบาก ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ตอนนั้นข้าบอกว่านางไม่มีค่าให้ข้าโกรธ”
เสี่ยวเฉ่าอึ้งไป เอ่ยว่า “ตอนนี้ล่ะ”
หลินสวินพูด “ตอนนี้ก็เช่นกัน”
ตอนที่พูดประโยคนี้ออกมา สายตาที่ตอนแรกเหม่อลอยของเขา ราวกับผิวทะเลสาบที่ถูกสลายหมอกหนา ใสกระจ่างไม่แปดเปื้อนมลทินแม้แต่เสี้ยวเดียว
ในใจเสี่ยวเฉ่ากลับมีความไม่จำยอมและจนปัญญาอย่างบอกไม่ถูก เจ้าโง่คนนี้แม้กระทั่งการเย้ยหยัน หัวเราะเยาะและโจมตียังสัมผัสไม่ได้หรือ
ช่างเป็น… เจ้าโง่ที่เกิดมาพร้อมกับปรากฏการณ์ประหลาดจากฟ้าดิน!
หากเป็นผู้ชายทั่วไปคนอื่นๆ คงโกรธจนเลือดขึ้นหน้าตั้งนาน เดือดดาลจนปะทุตั้งนานแล้ว แต่ดูเขา กลับไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด!
ตอนนี้เสี่ยวเฉ่าถึงขั้นรู้สึกเหมือนจะคลั่ง รู้สึกว่าคุยกับเจ้าโง่คนนี้อีกประโยคเดียวตนจะต้องโกรธจนกระอักเลือดแน่
“แม่นางเสี่ยวเฉ่า เจอมั่งมีแล้ว”
ห่างออกไป ข้ารับใช้เหล่านั้นอุ้มสุนัขล่าสัตว์ที่สวมเสื้อผ้างดงามหรูหราตัวนั้นกลับมาอย่างดีอกดีใจ
เสี่ยวเฉ่าฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ ชี้หลินสวินที่อยู่ข้างๆ แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “เมื่อครู่นี้เขานี่แหละที่ทำให้มั่งมีตกใจ พวกเจ้ารู้ว่าควรทำอย่างไรแล้วใช่ไหม”
ทันใดนั้นสายตาที่ข้ารับใช้เหล่านั้นมองหลินสวินพลันไม่เป็นมิตรขึ้นมา ถูมือไปมาเตรียมพร้อมลงมือ
หลินสวินกลับเหมือนไม่รู้สึกรู้สา เพียงแต่ตอนที่เขาเห็นสุนัขล่าสัตว์ที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ตัวนั้น ท้องก็ร้องขึ้นมาอีกทีหนึ่ง
“เอ๋งๆ!”
สุนัขล่าสัตว์มั่งมีส่งเสียงเห่าเศร้ารันทดอย่างที่สุด ราวกับตกใจเกินเหตุอย่างไรอย่างนั้น ดิ้นอย่างแรงจนหลุดแล้ววิ่งออกไปอย่างบ้าคลั่งทันที
ทุกคนต่างอึ้ง
เสี่ยวเฉ่าลนลานยกใหญ่ “ยังนิ่งอยู่ทำไม รีบตามไป! ถ้ามั่งมีหายไป พวกเจ้าก็อย่ากลับมาอีก!”
ทุกคนรีบตามไป
“สุนัขตัวนี้น่าสนใจ”
หลินสวินยิ้มออกมา แววตากระจ่างชัด พิสุทธิ์ เหมือนหิมะที่ตกลงมาพวกนั้น หมดจดจนพาให้คนใจสั่น
เสี่ยวเฉ่าอึ้ง หากนางจำไม่ผิด หลายปีมานี้นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นหลินสวินยิ้ม
ทันใดนั้นนางพลันเดือดดาลขึ้นมา เจ้าโง่คนหนึ่งเท่านั้น ควรค่าให้ตนให้ความสนใจหรือ
“จำคำพูดของข้าไว้ ต่อไปหากข้าได้ยินเจ้าพูดถึงความสัมพันธ์กับข้าให้คนอื่นฟังอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเป็นคนแรก!”
เสี่ยวเฉ่าสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดทิ้งท้ายเอาไว้ประโยคหนึ่งแล้วจากไปอย่างเร่งรีบ
หลินสวินอึ้ง ดูเหมือนแปลกใจเล็กน้อยและเหมือนเสียดายอยู่บ้าง พลันถอนหายใจแล้วก้าวย่างไปในฟ้าดินที่หิมะขาวโพลน
“เอ๊ะ นั่นนายน้อยโง่ตระกูลหลินของพวกเจ้ามิใช่หรือ จุ๊ๆๆ เจ้าดูสิ เขาไม่ต่างอะไรกับขอทานเลย”
ในหอสุราแห่งหนึ่ง แขกชั้นสูงนั่งกันจนเต็มร้าน บรรยากาศครื้นเครง คุณชายรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งในเมืองนครหยกรวมตัวกัน สนทนากันอย่างออกรส
เพียงแต่หลังจากชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ริมหน้าต่างพูดประโยคนี้ออกมา ก็เรียกเสียงหัวเราะจากคนจำนวนไม่น้อยทันที ต่างมองไปที่ถนนด้านนอกโดยพร้อมเพรียงกัน
ที่ตรงนั้นหิมะโปรยปราย คนหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อตัวบางเดินอยู่เพียงลำพัง หิมะหนาปกคลุมร่างกาย โดดเดี่ยวเดียวดาย
“เป็นเขาจริงๆ ด้วย ใครจะจินตนาการได้ว่าคนที่ตอนนั้นถูกทุกคนรักถนอม ตอนนี้กลับเร่ร่อนอยู่ข้างถนน”
“ฮ่าๆ ตอนนี้เจ้าโง่นี่ถูกไล่ออกจากตระกูลหลินแล้ว”
“เฮ้อ ตระกูลหลินในตอนนั้นรุ่งเรืองเพียงใด แต่ตอนนี้กลับอับแสง ตระกูลล่มสลาย บนโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริงๆ”
ทุกคนต่างถอนหายใจ
แน่นอนว่านี่เป็นความเวทนาที่สูงส่ง ไม่ขาดความรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
ในหมู่คนที่นั่งอยู่ก็มีลูกหลานตระกูลหลินส่วนหนึ่ง แต่ทำได้เพียงนั่งอยู่ในที่นั่งมุมสุด ไม่มีใครถามไถ่
คนรุ่นเยาว์เหล่านั้นกล้าวิจารณ์ตระกูลหลินโดยไม่เกรงกลัว แต่พวกเขากลับไม่กล้าโกรธหรือระบายโทสะ ช่วยไม่ได้ เวลาเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยน ตระกูลหลินไม่ใช่ตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองนครหยกอย่างตอนนั้นตั้งนานแล้ว…
“เจ้าสารเลวสมควรตายนั่น ทำไมไม่ตายๆ ไปเสีย!”
ลูกหลานตระกูลหลินเหล่านั้นลอบกัดฟัน คิดว่าการปรากฏตัวของหลินสวินทำให้พวกเขาขายหน้า ความโกรธที่สุมเต็มทรวงไม่มีที่ระบาย ทำได้เพียงระบายไปที่หลินสวิน
“ทุกท่าน เจ้าหมอนั่นไม่ได้แซ่หลินแล้ว ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเราอีกต่อไปแล้ว”
ลูกหลานตระกูลหลินคนหนึ่งอดส่งเสียงไม่ได้
“ฮ่าๆๆ ดูๆ แม้แต่ตระกูลหลินก็ไม่ยอมรับเจ้าโง่คนนั้นแล้ว เขาช่างน่าสงสารเหลือเกิน”
ในหอสุราเสียงหัวเราะครื้นเครงดังขึ้นระลอกหนึ่ง
ลูกหลานตระกูลหลินเหล่านั้นสีหน้าแข็งทื่อ เงียบไม่พูดจา
“เฮ้อ เจ้าโง่นั่นน่าสงสารเกินไปแล้ว ให้เขากินกระดูกสักชิ้น”
ลูกหลานตระกูลหวังคนหนึ่งก้าวออกมา หยิบกระดูกไก่ชิ้นหนึ่งโยนออกนอกหน้าต่าง ร่วงลงข้างเท้าหลินสวิน
“เจ้าโง่รีบกินซะ อย่าหิวตายล่ะ”
ลูกหลานตระกูลหวังคนนั้นตะโกน
ทันใดนั้นบรรยากาศในหอสุราเงียบลงไม่น้อย การกระทำเช่นนี้เท่ากับการหยามหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย รุนแรงยิ่งกว่าตบหน้าเสียอีก
แต่ไม่มีใครพูดอะไร
เพราะนั่นคือลูกหลานตระกูลหวัง ตระกูลหวังในตอนนี้เป็นถึงขุมอำนาจอันดับหนึ่งของเมืองนครหยก อำนาจล้นฟ้า ความยิ่งใหญ่ของอำนาจยิ่งกว่าตระกูลหลินในตอนนั้นเสียอีก
เหตุผลเป็นเพราะว่า ตระกูลหวังได้ลูกเขยที่ดีอย่างหวงฝู่เซ่าอวี่
ลูกหลานตระกูลหวังที่อยู่ตรงหน้านามว่าหวังจื่อหลง เป็นน้องชายแท้ๆ ของหวังจื่อหลวน
หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นหวังจื่อหลวนถอนหมั้น หวังจื่อหลงยังต้องเรียกหลินสวินว่าพี่เขยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้… แน่นอนว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
หลินสวินเป็นเจ้าโง่ที่เร่ร่อนอยู่ข้างถนน ส่วนเขาหวังจื่อหลงเป็นถึงคุณชายลูกผู้ดีในตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองนครหยกแห่งนี้ พี่เขยของเขายิ่งเป็นถึงหวงฝู่เซ่าอวี่ บุคคลระดับผู้กล้าที่ชื่อเสียงโด่งดังไปไกล!
ตอนนี้หวังจื่อหลงใช้วิธีโยนกระดูกเย้ยหยันหลินสวิน แม้ทุกคนจะเห็น แต่ใครจะกล้าพูดอะไร
แม้แต่ลูกหลานตระกูลหลินยังเงียบไม่พูดจา ก้มหน้าดื่มเหล้าอย่างอัดอั้น ในใจกลับยิ่งเจ็บแค้นหลินสวิน เหตุใดเขาจึงไม่แข็งตายท่ามกลางหิมะครั้งนี้
บนถนนหลินสวินชะงักเท้า มองกระดูกไก่ข้างเท้าแล้วหันมองหอสุราที่อยู่ห่างไป รวมถึงเหล่าลูกหลานตระกูลร่ำรวยในหอสุราที่กำลังยกมือวาดเท้าใส่ตน หลังจากนั้น…
เขาก้มลงเก็บกระดูกไก่ชิ้นนั้นแล้วเดินโบกไปทางหอสุราพร้อมพูดว่า “ต่อไปจะไปตอบแทนถึงที่”
พูดจบเขาก็เก็บกระดูกไก่นั่น เงาร่างค่อยๆ หายไปในระยะไกล
ในหอสุราทุกคนหัวเราะอย่างครื้นเครง หลายคนหัวเราะจนตัวโยน หัวเราะจนน้ำตาเกือบไหล
ใช่แล้ว ใครก็คิดไม่ถึงว่าเผชิญกับการเย้ยหยันเช่นนี้ เจ้าโง่หลินสวินกลับ… กลับยังเก็บกระดูกไก่ชิ้นนั้นขึ้นมา!
แม้แต่หวังจื่อหลงยังอึ้ง ประหลาดใจมาก ในปากพึมพำ “ช่างเป็นเจ้าโง่คนหนึ่งจริงๆ ยังจะตอบแทนถึงที่ หรือเขาคิดจะคืนกระดูกไก่ชิ้นหนึ่งให้ข้า บ้าไปแล้วจริงๆ…”
พูดถึงสุดท้ายเขาเองยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ในหอสุราเสียงหัวเราะครื้นเครงดังกว่าเดิม
มีเพียงเหล่าลูกหลานตระกูลหลินที่ยิ่งอึดอัด เหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็มอย่างไรอย่างนั้น
วันนั้นข่าวที่นายน้อยโง่ตระกูลหลินเร่ร่อนอยู่ข้างถนน เก็บกระดูกไก่ที่หวังจื่อหลงโยนให้ก็แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเรื่องตลกอีกเรื่องในเมือง
——