Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1401 เขามาแน่

ตอนที่ 1401 เขามาแน่

พร้อมๆ กับเวลาที่ล่วงเลยไป การโจมตีกลับอย่างแข็งกร้าวก็เปิดฉากขึ้นในที่ต่างๆ ของจักรวรรดิ!

“ฆ่า!”

ในแต่ละพื้นที่ของจักรรรดิมีแต่ทหารออกศึกล้อมสังหารขุมอำนาจสัตว์อสูรมาร ฆ่าฟันกันจนภูผาธาราหลั่งเลือด สุริยันจันทราอับแสง

หลายปีมานี้ศึกในศึกนอกของจักรวรรดิสถานการณ์กระง่อนกระแง่น วุ่นวายไม่สงบ ทุกคนต่างอัดอั้นตันใจ

แต่ก่อนกำลังพลสัตว์อสูรมารรุกรานอาณาเขตจักรวรรดิ ขอเพียงยึดเมืองได้เมืองหนึ่งก็จะเข่นฆ่าอย่างเลวร้าย ซากศพกองสุม ก่อเรื่องจนฟ้าพิโรธคนอาฆาต เสียงคับแค้นใจดังระงม

แต่ตอนนี้สถานการณ์พลิกผันแล้ว!

หลินสวินคนเดียวกรำศึกไปทุกแห่งหนในจักรวรรดิ กระบี่เดียวต้านศัตรูได้นับแสน ปลิดชีพราชันอสูรมาร ทำลายกองทัพอสูรมาร ไม่มีศัตรูใดต้านทานได้

กล่าวอย่างไม่เกินเลยได้ว่า ที่สถานการณ์ทั้งจักรวรรดิพลิกผันล้วนเกิดจากการนำของหลินสวินเพียงคนเดียว!

ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่อาจต้านทานได้เช่นนี้ ด้านขุมอำนาจสัตว์อสูรมารก็แสดงแนวโน้มว่าจะพ่ายแพ้ถอยทัพอย่างต่อเนื่อง แทบจะแตกกระสานซ่านเซ็น

ได้ยินว่าตอนนี้ขอเพียงเอ่ยคำว่า ‘หลินสวิน’ สัตว์อสูรมารก็ต้องหวาดวิตกแล้ว!

……

“สะใจ! สะใจมากจริงๆ!”

“จักรวรรดิมีคุณชายหลินออกศึก ใครจะสู้ได้”

ขณะนี้ตามที่ต่างๆ ของจักรวรรดิ ไม่ว่าจะเป็นตาสีตาสาหรือผู้สูงส่งในวัดวาอาราม ขอเพียงพูดถึงหลินสวินก็ต่างเจือความเคารพและชื่นชมจากภายในจิตใจทั้งนั้น

ความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เช่นนี้สะเทือนขุมอำนาจพ่อมดเถื่อนเก้าสายเช่นกัน พอกองทัพพ่อมดเถื่อนที่กำลังรุกรานพื้นที่ชายแดนเหล่านั้นได้ข่าวเหล่านี้เข้า ก็ขวัญหนีดีฝ่ออย่างห้ามไม่ได้

หลินสวิน!

คุมแผ่นดินแต่ผู้เดียว ประหนึ่งตำนานเทพ ตลอดทางที่ห้อตะบึงไปไร้ศัตรูใดเทียบเทียม

ในช่วงใกล้ๆ นี้ แค่ราชันอสูรมารที่ตายด้วยน้ำมือหลินสวินก็มีหลายสิบตน ส่วนจำนวนสัตว์อสูรมารที่ตายด้วยน้ำมือเขา…

ไม่มีทางรวบรวมสถิติได้โดยสิ้นเชิง!

มีคนที่ทำศึกเด็ดขาด น่ากลัวถึงที่สุดเช่นนี้คนหนึ่งควบคุมดูแลในจักรวรรดิ จะไม่ทำให้พ่อมดเถื่อนเก้าสายเหล่านั้นตระหนกได้อย่างไร

“ถ้าจักรวรรดิคลี่คลายศึกในได้ เกรงว่าพวกเราจะลำบากแล้ว…”

ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นต่างรับรู้ได้ว่าสถานการณ์ของทั้งจักรวรรดิเริ่มต่างออกไป พร้อมๆ กับการออกโจมตีอันแข็งกร้างของหลินสวิน

นี่ทำให้พวกเขากังวลใจ

ตอนนี้ยังมีขุมอำนาจสัตว์อสูรมารเหล่านั้นมาดึงดูดความสนใจของหลินสวิน

แต่ยามขุมอำนาจเหล่านี้วอดวาย สายตาของหลินสวินก็ต้องเบนมาที่พวกเขาพ่อมดเถื่อนเก้าสายไปด้วย!

ในค่ายทัพใหญ่พ่อมดเถื่อนแห่งหนึ่ง พื้นที่ตะวันตกสุดของจักรวรรดิ

เหล่าคนใหญ่คนโตชั้นสูงพ่อมดเถื่อนรวมตัวอยู่ด้วยกัน ล้วนสีหน้าอึมครึม หว่างคิ้วเจือความกังวล

“ตอนนี้ขุมอำนาจจักรวรรดิกำลังทรงพลังรุ่งโรจน์ เฉียบคมไม่อาจต้านทาน เพียงอาศัยการรุกจู่โจมยากนักที่จะฝ่าเข้าไปในอาณาเขตจักรวรรดิในเวลาอันสั้น”

“แต่ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง รอหลังสัตว์อสูรมารพวกนั้นวอดวายไป กำลังพลของจักรวรรดิจะต้องพุ่งมาหาพวกเราทั้งหมดแน่!”

“ทำอย่างไรดี”

ชายชราผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงต่ำลึก

“ไอ้เวรหลินสวินนี่ ตั้งแต่มันโผล่หัวมาสถานการณ์ในจักรวรรดิก็เปลี่ยนไป ทำไมเจ้าหมอนี่ต้องกลับมาจากดินแดนรกร้างโบราณด้วย”

มีคนกัดฟันเข่นเขี้ยว แค้นเคืองไม่หยุดหย่อน

ตอนนี้พวกเขาสืบตื้นลึกหนาบางของหลินสวินอย่างถ่องแท้มานานแล้ว ทั้งรู้ว่าเมื่อหลายเดือนก่อนเขาเพิ่งกลับมาจากดินแดนรกร้างโบราณเช่นกัน

“สิบกว่าปีมานี้ผู้แข็งแกร่งระดับอริยะในจักรวรรดิล้วนจากไป เรื่องนี้เดิมทีเป็นโอกาสงามให้พวกเราจู่โจมจักรวรรดิ แต่ตอนนี้… ดันมีหลินสวินแจ้นออกมา!”

“เจ้านี่มันน่าชังจริงๆ!”

เหล่าบุคคลชั้นสูงพ่อมดเถื่อนต่างแย่งกันพูด ระบายความโกรธเคืองในใจ

คนผู้เดียวก็พลิกสถานการณ์จักรวรรดิครั้งใหญ่ นี่ทำให้พวกเขาต่างคาดไม่ถึง

“พอแล้ว! ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาบ่นเสียหน่อย”

ทันใดนั้นชายชราคนหนึ่งที่นั่งตำแหน่งหลักก็เอ่ยปากอย่างเย็นชา เขาผมเผ้าเรียบร้อย สูงวัยแก่หง่อม ตามผิวหนังมีสัญลักษณ์สายฟ้าแปลกประหลาดอยู่เต็มไปหมด

ผู้นี้คือราชันพ่อมดที่มีชีวิตอยู่ในโลกนานแล้วผู้หนึ่ง มาจากสายคนเถื่อนอสนี ตำแหน่งและฐานะสูงส่งอย่างยิ่ง

บรรยากาศในที่นั้นพลันเงียบเชียบไร้เสียง

“เรื่องเร่งด่วนขณะนี้คือต้องสะสางเรื่องยุ่งยากตรงหน้า และจะสะสางได้ก็ต้องจัดการหลินสวินคนนี้ให้ได้ก่อน”

เสียงแหบแห้งแก่ชราของราชันพ่อมดอสนีดังขึ้นในที่นั้น “จากที่ข้าเห็น ราชันอสูรมารที่เหลืออยู่พวกนั้น เกรงว่าคงรู้นานแล้วว่าถ้าไม่กำจัดหลินสวิน พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างไร้ข้อกังขา”

เหล่าคนใหญ่คนโตพ่อมดเถื่อนต่างครุ่นคิด

“พวกเราจะทำเช่นไรดี” มีคนถาม

ราชันพ่อมดอสนีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ไม่แน่บางทีอาจสามารถติดต่อราชันอสูรมารเหล่านั้น แล้วส่งราชันพ่อมดเถื่อนของพวกเราไปร่วมกันจัดการสังหารหลินสวินคนนี้!”

พอพูดถึงตรงนี้ดวงตาขุ่นมัวของเขาก็มีประกายเยียบเย็นวาบผ่าน “ขอเพียงกำจัดเด็กนี่ได้ เสือร้ายอย่างจักรวรรดิก็จะถูกดึงเขี้ยวเล็บที่แหลมคมที่สุดไป!”

วันนั้น เหล่าพ่อมดเถื่อนเก้าสายต่างส่งกำลังพลออกมาเคลื่อนไหวเป็นการลับครั้งหนึ่ง

……

มณฑลเหิงสุ่ยแห่งจักรวรรดิ

เบื้องหน้าสายธารยาวมหึมายืดยาวลดเลี้ยวสายหนึ่ง หลินสวินหยุดเดิน นิ่วหน้าใคร่ครวญ

ครู่หนึ่งเขาจึงส่ายหัวอย่างอดไม่อยู่ รับรู้ได้ว่าราชันอสูรมารตนหนึ่งที่ยึดพื้นที่ใต้แม่น้ำแห่งนี้ หนีหายไร้ร่องรอยไปก่อนที่ตนจะมาถึงแล้ว

“ฆ่ายากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…”

หลินสวินถอนใจเบาๆ

ช่วงสองเดือนมานี้เขาสังหารอสูรมารฟาดฟันศัตรูตลอดทางจนราบเป็นหน้ากลอง ประหัตประหารขุมอำนาจสัตว์อสูรมารหลายสิบกลุ่มอย่างต่อเนื่อง

แต่ก็เป็นเพราะข่าวกระจายไป ทำให้ราชันอสูรมารเหล่านั้นล้วนเห็นท่าไม่ดี หลบหนีไปโดยเร็วไปด้วย เหลือเพียงรังเปล่าๆ เท่านั้น

นี่ทำให้หลินสวินก็ออกจะจนใจ ศัตรูไม่ได้โง่เขลา เป็นไปไม่ได้ที่จะบื้อรอให้ตนมาฆ่าถึงที่

สิ่งเดียวที่ทำให้หลินสวินดีใจก็คือ สถานการณ์ของจักรวรรดิในตอนนี้เริ่มฉายแววสดใส ดีขึ้นมากแล้ว

สวบ!

หลินสวินเอาม้วนหยกออกมาประเมินอย่างถี่ถ้วน

บนม้วนหยกบันทึกการกระจายตัวของสัตว์อสูรมารตามที่ต่างๆ ในอาณาเขตจักรวรรดิ ทั้งยังมีข้อมูลและเบาะแสราชันอสูรมารอยู่จำนวนหนึ่ง

ตอนนี้ขุมอำนาจสัตว์อสูรมารที่อยู่บนม้วนหยกเกินครึ่งถูกทำลายไปแล้ว เหล่าราชันอสูรมารก็ตายไปเกือบหมด

แต่หลินสวินยังสังเกตได้อย่างฉับไวว่าตัวร้ายที่แท้จริงบางตนยังไม่ตาย

เช่นราชันผึ้งขาวและราชันเถาวัลย์เพลิงที่อยู่ในสิบพญาราชันอสูรมาร

หรืออย่างเช่นราชันอาภรณ์ดำที่ลึกลับและเก็บตัวที่สุด

นี่ก็หมายความว่าขุมอำนาจสัตว์อสูรมารในตอนนี้ดูเหมือนพ่ายแพ้ถอยทัพอย่างต่อเนื่อง กำลังพลเสียหายสาหัส แต่หากไม่กำจัดราชันอสูรมารที่ร้ายกาจที่สุดเหล่านั้น ก็ยังเป็นภัยคุกคามยิ่งใหญ่ที่แฝงตัวอยู่ดังเดิม! Aileen-novel

ในขณะเดียวกัน พอนึกถึงข้อมูลของราชันอาภรณ์ดำก็ทำให้หลินสวินสังเกตเห็นจุดที่น่าสนใจได้อย่างหนึ่ง

ราชันอาภรณ์ดำไม่เหมือนราชันอสูรมารตนอื่น อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีสังกัดมาโดยตลอด อีกทั้งในช่วงสิบกว่าปีมานี้ ถึงกับเป็นไปได้สูงยิ่งว่าไม่เคยก่อบาปสังหารใดๆ!

แต่ศักยภาพของราชันอาภรณ์ดำกลับแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย ลือกันว่ามีพลังปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้าแล้ว ถึงกับเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะสัมผัสระดับอริยะแล้ว

‘ถูกกำราบเช่นนี้ ราชันอสูรมารที่เหลืออยู่พวกนั้นต้องทนรับความพ่ายแพ้ของตนไว้ เกรงว่าพวกเขาคงจะ… ไปขอความช่วยเหลือจากราชันอาภรณ์ดำ’

ริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ หลินสวินก่อกองไฟ โยนปูยักษ์อวบอ้วนตัวหนึ่งลงไปต้มในหม้อ รอไปพลางครุ่นคิด

เขารู้ดีว่าราชันอสูรมารทุกตนในอาณาเขตจักรวรรดินี้ต่างต้องฟังคำสั่งของ ‘บรรพจารย์อสูรมาร’ ที่ถูกขังอยู่ในสถานที่ที่ไม่อาจล่วงรู้ได้สักแห่งเหมือนราชันเกราะทองตนนั้น

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ราชันอาภรณ์ดำจะเก็บตัวและทนเงียบเพียงใด แต่ถ้าเป็นบรรพจารย์อสูรมารบัญชาให้มาต่อกรกับตน เขาจะไม่เชื่อฟังได้อย่างไร

คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็นำแผนที่ดินแดนจักรวรรดิออกมา สายตาเริ่มกวาดไปมาในพื้นที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ทะเลสาบวาโยอสนี’ ในตอนใต้ของจักรวรรดิ

ทะเลสาบวาโยอสนีมีพายุใหญ่และสายฟ้าปกคลุมตลอดปี ในทะเลสาบมหึมาแห่งนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายยอดวายุและยอดอสนีอันน่ากลัวถึงที่สุด

สิบกว่าปีก่อนฟ้าดินแปรผันฉับพลัน ในทะเลสาบวาโยอสนีมีภูเขาใหญ่แปลกประหลาดลูกหนึ่ง มีสีดำสนิททั้งลูก ไม่มีหญ้าโตสักกระเบียด ถูกขนานนามว่าเขาวายุดำ

ราชันอาภรณ์ดำก็ยึดที่มั่นอยู่ในนั้น

หลายปีมานี้ในจักรวรรดิก็มีผู้ฝึกปราณมากมายไปยังทะเลสาบวาโยอสนี เพื่อลองเปิดเผยโฉมหน้าอันลึกลับของราชันอาภรณ์ดำ

แต่ต่างจบลงด้วยความล้มเหลวทุกคนไป

ที่น่าประหลาดคือผู้ฝึกปราณที่ไปสืบเสาะเหล่านั้นต่างกลับมาอย่างปลอดภัย ไม่ได้ประสบเคราะห์ ถึงกับมีผู้ฝึกปราณที่ได้รับอันตรายที่ทะเลสาบวาโยอสนีบางคน ยังถูกคนอื่นช่วยส่งออกมาจากทะเลสาบวาโยอสนีอย่างลับๆ

แน่นอนว่าไม่มีใครยอมรับว่าเป็นการกระทำด้วยความหวังดีของราชันอาภรณ์ดำผู้นี้

แต่ในความคิดหลินสวิน การกระทำผิดปกติแต่ละอย่างนี้ของราชันอาภรณ์ดำกลับดูน่าสนใจนัก

ราชันอสูรมารที่มีพลังปราณมากที่สุด ทั้งยังลึกลับที่สุดในบรรดาราชันอสูรมารในจักรวรรดิ กลับไม่เคยเข่นฆ่า ถึงขั้นยังช่วยผู้ฝึกปราณที่ติดอยู่ในทะเลสาบวาโยอสนีเหล่านั้นด้วย

เรื่องนี้ดูผิดแผกไปอย่างไม่ต้องสงสัย

และเพราะเหตุนี้ หลายปีมานี้แม้จักรวรรดิล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของราชันอาภรณ์ดำ แต่กลับส่งกำลังพลชั้นเลิศออกไปต่อกรราชันอาภรณ์ดำน้อยครั้งยิ่งนัก

‘ราชันอสูรมารเหล่านั้น… จะไปขอให้ราชันอาภรณ์ดำช่วยหรือไม่นะ’

หลินสวินไม่แน่ใจอยู่บ้าง

เกิดเสียงดังซ่า เขางมปูยักษ์ที่ต้มจนแดงก่ำตัวนั้นออกมาจากหม้อ หักก้ามปูกับขาปูไปแล้วเปิดกระดองปูออก เผยให้เห็นไข่ปูสีขาวนุ่มเปล่งปลั่ง กลิ่นหอมหวนยวนใจก็ตลบอบอวลออกมาด้วย

“รสชาติไม่เลว” หลินสวินลิ้มรสไข่ปูพลางดื่มสุรา ครู่หนึ่งก็กินปูยักษ์ตัวหนึ่งหมดเกลี้ยง

“ความสงบหายากจังนะ…”

หลินสวินถอนหายใจ

หลายเดือนมานี้เขาเร่งรุดกรำศึกตลอดทาง ไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนวันนี้เลย

แต่หลินสวินก็รู้ว่าถ้าไม่ขจัดภัยอสูรมารครั้งนี้ให้สิ้นซาก ตนย่อมไม่มีทางผ่อนคลายได้โดยสมบูรณ์

และในวันนี้ หลินสวินหันกายรุดหน้าไปยังมณฑลทางใต้ของจักรวรรดิ

เขาอยากดูเสียหน่อยว่าการคาดเดาของตนจะเป็นจริงหรือไม่

……

ทะเลสาบวาโยอสนี

ราชันผึ้งขาวอาภรณ์ปลิวไสวยืนอยู่เหนือทะเลสาบ ทอดสายตามองไปไกล

รูปลักษณ์ของเขาหล่อเหลายิ่งนัก ประหนึ่งเด็กหนุ่มงามสง่าผู้หนึ่ง แต่งกายด้วยชุดสีหยกทั้งตัว บุคลิกผ่าเผย คนทั่วไปดูไม่ออกเลยว่านี่เป็นพญาราชันอสูรมารที่มีพลังปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านแปดผู้หนึ่ง!

“ราชันเถาวัลย์เพลิง เจ้าว่าถ้าหลินสวินนั่นเดาได้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่ จะกล้าฝ่ามาคนเดียวหรือไม่”

ราชันผึ้งขาวพลันเอ่ยถาม

“ตอนนี้มีผู้ร่วมมรรครวมสิบหกคนมารวมตัวกันที่นี่ ทั้งยังมีราชันอาภรณ์ดำควบคุมดูแล เขาจะกล้าหรือ”

ราชันเถาวัลย์เพลิงโผล่หัวออกมาจากใต้น้ำ ผมสีแดงเพลิงทั้งหัวแผ่สยายบนผิวน้ำ นางเป็นสตรีทรงเสน่ห์คนหนึ่ง ผิวพรรณขาวปลอด ร่างกายอ่อนช้อยมีสัดส่วน ชวนดึงดูดยั่วยวนใจถึงที่สุด

“กล้าสิ”

ราชันผึ้งขาวนิ่งเงียบไปเล็กน้อยก็เอ่ยเรียบเฉยว่า “ช่วงที่ผ่านมานี้ราชันอสูรมารที่เคยประเมินเด็กนี่ต่ำไปล้วนถูกฆ่าไม่เว้น คนร้ายกาจที่เหิมเกริมไม่หวั่นเกรงเช่นนี้ คงไม่มีเรื่องที่เขาไม่กล้า”

ไออำมหิตปรากฏขึ้นบนหว่างคิ้วราชันเถาวัลย์เพลิง กล่าวว่า “เจ้าจะบอกว่าเขาอาจจะมาที่นี่หรือ”

ราชันผึ้งขาวพยักหน้า “ขอเพียงไม่โง่ก็จะเดาได้ว่าพวกเราต้องมาขอให้ราชันอาภรณ์ดำช่วย เขาหลินสวินคงไม่ปล่อยโอกาสที่จะกำจัดพวกเราในคราวเดียวนี้ไป ดังนั้นเขาต้องมาแน่!”

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท