Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1402 ทะเลสาบวาโย

ตอนที่ 1402 ทะเลสาบวาโย

ตำหนักเฉียนหยวน นครต้องห้ามแห่งจักรวรรดิ

ข่าวหนึ่งส่งกลับมาจากชายแดนอย่างเร่งด่วน

“องค์หญิง พ่อมดเถื่อนเก้าสายส่งราชันพ่อมดออกมาสิบสามคน ข้ามแนวป้องกันมาจากแนวหน้าชายแดนทางเหนือของจักรวรรดิ แทรกซึมเข้ามาในอาณาเขตจักรวรรดิขอรับ!”

ด้านหลังโต๊ะ จ้าวจิ่งเซวียนที่กำลังจัดการราชการแผ่นดินเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตากระจ่างราวสายฟ้า “เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนไหนกัน”

“เที่ยงวันนี้ขอรับ”

ข้าหลวงส่งสารเอ่ยเสียงนอบน้อม

“ราชันพ่อมดสิบสามคนร่วมกันเคลื่อนไหว ไม่ใช่หมายความว่าตอนนี้ผู้แข็งแกร่งระดับราชันเกือบครึ่งในกองทัพพ่อมดเถื่อนได้เข้ามาในจักรวรรดิของข้าแล้วหรือ”

จ้าวจิ่งเซวียนนิ่วหน้า รับรู้ได้ว่าสถานการณ์ร้ายแรงอยู่บ้าง

ตอนนี้จักรวรรดิกำลังทำสงครามกับขุมอำนาจสัตว์อสูรมาร อยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ แข็งแกร่งเหิมฮึก ไม่อาจต้านทานได้อย่างแน่นอนแล้ว

เรื่องนี้ย่อมไม่ใช่ข่าวดีสำหรับพ่อมดเถื่อนเก้าสาย

แต่จ้าวจิ่งเซวียนกลับคิดไม่ถึงว่าพ่อมดเถื่อนเก้าสายจะตอบสนองเช่นนี้ ถึงกับส่งเหล่าราชันพ่อมดเข้ามาแทรกซึมในจักรวรรดิเสียได้

นี่พวกเขาต้องการจะทำอะไร

“องค์หญิง จากการวิเคราะห์ของกองยุทธการ เป้าหมายของราชันพ่อมดสิบสามคนนี้เป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับการสังหารคุณชายหลินสวินขอรับ”

ข้าหลวงผู้นั้นเอ่ยเสียงค่อย

จ้าวจิ่งเซวียนสะดุดกึกในใจ คนมาไม่ดี คนดีไม่มา

ในสถานการณ์เช่นนี้พ่อมดเก้าสายต้องมีที่พึ่งพิง แน่ใจว่าสามารถต่อกรกับหลินสวินได้ถึงกล้าทำแบบนี้

นางเอ่ยถาม “ตอนนี้คุณชายหลินอยู่ที่ไหน”

“ตามที่แสดงในข่าวล่าสุด คุณชายหลินกำลังรุดหน้าไปทางใต้ของจักรวรรดิ เป็นไปได้มากที่จะมุ่งหน้าไปทะเลสาบวาโยอสนีพ่ะย่ะค่ะ” ข้าหลวงผู้นั้นรีบร้อนกล่าว

“ทะเลสาบวาโยอสนี… ราชันอาภรณ์ดำหรือ”

เนตรกระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนหดเกร็ง ตามความเข้าใจของนาง ราชันอาภรณ์ดำเป็นราชันอสูรมารที่ลึกลับและยากหยั่งถึงที่สุดตนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

หลินสวินจะเลือกไปต่อกรกับราชันอาภรณ์ดำก็ไม่แปลก

แต่ตอนนี้จ้าวจิ่งเซวียนกลับรู้สึกแปลกชอบกล

เพราะราชันพ่อมดที่แทรกซึมเข้ามาในจักรวรรดิสิบสามคนนั้นเข้ามาจากพื้นที่ชายแดนทางใต้ของจักรวรรดิ หากพวกเขาร่วมมือกับราชันอาภรณ์ดำ…

คิดถึงตรงนี้จ้าวจิ่งเซวียนก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้างามล้ำปรากฏแววเคร่งเครียด ถ้าเป็นอย่างนี้จริง เช่นนั้นหลินสวินก็มีอันตรายแล้ว!

ในตอนนี้เองก็มีข่าวส่งมาอีก…

“รายงาน กองยุทธการส่งข่าวมา อิงจากการวิเคราะห์ข้อมูลมากมาย เป็นไปได้สูงยิ่งที่ราชันอสูรมารที่หลบหนีหายตัวไปเหล่านั้นจะไปทะเลสาบวาโยอสนี เป้าหมายก็คือขอความช่วยเหลือจากราชันอาภรณ์ดำ!”

จ้าวจิ่งเซวียนพลันใจหดเกร็งขึ้นมา ถ้าขุมอำนาจราชันอสูรมารกับขุมอำนาจราชันพ่อมดรวมตัวกันในทะเลสาบวาโยอสนี นี่ต้องเป็นกำลังพลที่น่ากลัวจนไม่อาจจินตนาการได้แน่

กอปรกับมีราชันอาภรณ์ดำที่ลึกลับที่สุดสั่งการ ทะเลสาบวาโยอสนีต้องกลายเป็นบึงมังกรถ้ำพยัคฆ์ ทันทีที่หลินสวินไป…

เป็นไปได้สูงมากว่าจะประสบอันตรายอย่างไม่เคยมีมาก่อน

“สั่งการลงไป ส่งกำลังพลระดับราชันที่กระจายตัวอยู่ภายในจักรวรรดิ รุดหน้าไปทะเลสาบวาโยอสนีเต็มกำลัง!”

จ้าวจิ่งเซวียนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วตัดสินใจ

นางพูดพลางสาวเท้าออกไปนอกตำหนัก

“องค์หญิง ตอนนี้ค่ำมากแล้ว พระองค์จะไปไหนพ่ะย่ะค่ะ”

ข้าหลวงเหล่านั้นล้วนตื่นตระหนก

“อยู่ในวังอุดอู้เกินไปแล้ว จะออกไปเดินสักหน่อย จริงด้วย อย่าบอกเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้นะ ให้บอกว่าข้าต้องปิดด่านหลายวัน”

เมื่อเสียงพูดเงียบลง เงาร่างของจ้าวจิ่งเซวียนก็หายลับไปนอกตำหนักท่ามกลางท้องฟ้ายามดึกอันเวิ้งว้าง

สถานการณ์คราวนี้อันตรายเกินไปแล้ว แม้แต่นางยังออกจะกังวลใจ ต้องการไปทะเลสาบวาโยอสนีด้วยตัวเอง!

……

“พวกเรากับราชันอสูรมารพวกนั้นมีศัตรูร่วมกัน ถ้าร่วมมือกันพวกเขาย่อมไม่ปฏิเสธ”

“คราวนี้ราชันพ่อมดสิบสามคนร่วมกันออกเคลื่อนไหวโดยที่พกสมบัติสำคัญของพวกเราพ่อมดเถื่อนมาด้วย ฆ่าหลินสวินคนเดียวคงไม่ใช่เรื่องยาก”

“สรุปแล้วเรื่องที่ควรทำพวกเราก็ทำหมดแล้ว ที่เหลือก็ดูฟ้าลิขิตล่ะ!”

คืนนี้เสียงแหบแห้งชราวัยของราชันพ่อมดอสนีดังขึ้นในค่ายทัพใหญ่พ่อมดเถื่อน

คนใหญ่คนโตพ่อมดเถื่อนคนอื่นๆ ต่างรู้ดีว่าหากการเคลื่อนไหวคราวนี้สำเร็จ จักรวรรดิจะต้องได้รับการโจมตีอันหนักอึ้งหาใดเทียบ ต่อแต่นี้ไปก็จะไม่เป็นภัยคุกคามอีก

แต่หากล้มเหลว…

เกรงว่าในช่วงเวลาหลายปี พวกเขาพ่อมดเถื่อนเก้าสายจะไม่อาจโจมตีรุกรานดินแดนของจักรวรรดิอันกว้างใหญ่แห่งนี้ได้อีก

พูดง่ายๆ พวกเขากำลังพนัน!

พนันว่าคราวนี้หลินสวินต้องตาย!

……

สวบ!

ยานสำเภาลำหนึ่งแหวกเวิ้งฟ้า ห้อตะบึงท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี

หลินสวินนั่งสบายใจอยู่ที่หัวเรือ จุดชีพจรสามพันจุดภายในร่าง กำลังหล่อหลอมบ่มเพาะปราณกระบี่ไท่เสวียนสามพันสายรอบแล้วรอบเล่าเหมือนเตาหล่อเลี้ยงกระบี่

ระหว่างการต่อสู้หลายเดือนนี้ แม้พลังปราณของหลินสวินไม่ได้บรรลุ แต่กลับบ่มเพาะปราณกระบี่ไท่เสวียนสามพันสายได้อย่างราบรื่น

นี่เป็นขั้นสูงสุดที่สามารถบรรลุได้ระหว่างการฝึกคัมภีร์กระบี่ไท่เสวียนในระดับอมตะเคราะห์แล้ว

ที่หลินสวินต้องทำต่อไปก็คือนำปราณกระบี่มาหล่อหลอมคมกระบี่ รวบรวมเจตกระบี่ และหลอมจิตกระบี่ แล้วแปลงเป็นวิญญาณกระบี่!

ซ่า!

คราหลินสวินครุ่นคิด ปราณกระบี่สามพันสายก็เหมือนฝูงมัจฉาแหวกว่ายเวียนวนรอบกายเขา ส่งเสียงรื่นเริงปรีดา

และก็พบว่าปราณกระบี่เหล่านี้บางครั้งแปรสภาพเป็นค่ายกลกระบี่ทึบทึมราวความว่างเปล่า บางคราวกลายเป็นค่ายกลกระบี่โชติช่วง เปล่งประกายเจิดจรัส บางทียังแปลงเป็นค่ายกลกระบี่ที่ไม่ติดอยู่ในกรอบ เต็มไปด้วยกลิ่นอายผ่อนคลายเป็นอิสระยิ่ง…

ต่างมีความอัศจรรย์ แปรผันได้นับหมื่นพัน

‘น่าเสียดาย ตั้งแต่มาถึงโลกชั้นล่างก็ไม่ได้พบกับศัตรูที่รับการโจมตีได้สักคน จึงไม่อาจสืบเสาะอานุภาพที่แท้จริงของค่ายกลกระบี่นี้’

หลินสวินออกจะเสียดาย

โลกชั้นล่างแม้มีพื้นที่ลึกลับพิสดารมากมายซ่อนอยู่ แต่ไม่อาจเทียบได้กับดินแดนรกร้างโบราณอยู่ดี จะเทียบกับแดนมกุฎยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

‘ไปทะเลสาบวาโยอสนีคราวนี้ หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังเกินไป…’

หลินสวินครุ่นคิด ปราณกระบี่สามพันสายหายลับไปในร่างเหมือนหมื่นกระแสหวนคืนต้นกำเนิด

‘รอสะสางภัยอสูรมารเสร็จ จะต้องเริ่มลงมือทะลวงระดับแล้ว’

แววแน่วแน่ไหวเคลื่อนในดวงตาดำของหลินสวิน

ตอนนี้พลังมหามรรค พลังยุทธ์ และพลังจิตวิญญาณของเขาต่างเคี่ยวกรำจนถึงขั้นสูงสุดของระดับนี้

หากไม่อาจบรรลุพลังปราณได้ พลังอื่นก็ย่อมไม่อาจเพิ่มพูนขึ้นอีกขั้น

ทว่าหลินสวินกลับไม่ได้เปลืองเวลาเปล่า ในช่วงที่ผ่านมานี้เขาหลอมพลังกายอยู่ตลอด อีกทั้งยังเลื่อนระดับอย่างรวดเร็วยิ่ง พลังหลอมกายได้บรรลุเข้าสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านสองแล้ว

สิ่งนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างเหนียวแน่นกับวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์ที่เขาฝึก รวมถึงใจความหลอมกายของจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพที่เขาได้มา

อีกทั้งเขาได้ฝ่าอมตะเคราะห์ในช่วงหลอมปราณไปนานแล้ว ยามพัฒนาพลังหลอมกายจึงไม่ต้องผ่านด่านเคราะห์อีก

เรื่องเดียวที่ทำให้หลินสวินรับมือได้ยากก็คือ เขาไม่แน่ใจนักว่า ‘เคราะห์มรรคตัดขาด’ ที่พุ่งเป้าไปยังการฝึกมรรคาทั้งสามสายร่วมกัน อย่างการหลอมกาย หลอมปราณและหลอมจิต จะมาเยือนเมื่อไรกันแน่

‘จักรพรรดิเคยตรัสไว้ว่า ในโลกชั้นล่างแห่งนี้มีโอกาสที่สามารถทำให้ข้ากลายเป็นมกุฎอริยะได้ซุกซ่อนอยู่ ภายหน้าต้องไปถามจิ่งเซวียนเสียหน่อยว่าตอนจักรพรรดิเสด็จไปได้ทิ้งเบาะแสอะไรไว้หรือไม่…’

กระแสความคิดของหลินสวินโบยบิน

ภายในสิบปีการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนก็จะปะทุขึ้น ถ้าบรรลุระดับอริยะได้ก่อนการต่อสู้นี้ย่อมเป็นเรื่องดียิ่ง

‘ไหนจะเจ้าคางคก อีกเดี๋ยวจะครึ่งปีแล้ว ยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขาได้พบอะไรที่สุสานสมุทรฝังมรรคแห่งนั้นหรือไม่…’

หลินสวินนึกถึงเจ้าคางคกขึ้นมาอีก

สุดท้ายเขาก็ส่ายหน้า สลัดกระแสความคิดที่โบยบินอยู่ในสมอง

ตอนนี้ต้องสะสางภัยพิบัติสัตว์อสูรมารครั้งนี้ ส่วนเรื่องอื่นต่างทำได้เพียงคลี่คลายไปทีละก้าว

……

ราตรีดุจน้ำหมึกจากไปช้าๆ แสงอุษากวาดล้างความมืดมิด ส่องสว่างภูผาธารา เผยให้เห็นอรุณรุ่งตระการตา

ณ สถานที่ไกลออกไปจากทะเลสาบวาโยอสนี

ครืน!

เรือรบจักรวรรดิลำแล้วลำเล่าส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น โรยตัวลงมาช้าๆ จากบนเวิ้งฟ้า

เหล่าผู้แข็งแกร่งระดับราชันของจักรวรรดิกรูกันออกมาจากเรือ นับคร่าวๆ มีอยู่ยี่สิบกว่าคน ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตที่มีความสำคัญยิ่งในจักรวรรดิ ไม่เป็นขุนนางใหญ่ที่ควบคุมพื้นที่แถบหนึ่ง ก็เป็นแม่ทัพที่เป็นผู้นำกองทัพในสนามรบ

ก่อนฟ้าดินแปรผันฉับพลัน ทะเลสาบวาโยอสนีธรรมดานัก แต่ตอนนี้พอราชันอาภรณ์ดำยึดที่นี่เป็นที่มั่น ทะเลสาบนี้ก็เหมือนกลายเป็นเขตหวงห้าม

และบัดนี้ หน้าทะเลสาบวาโยอสนีแห่งนี้ก็แน่นขนัดไปด้วยฝูงชน!

หลังจากได้รับข่าวของจักรวรรดิ ผู้แข็งแกร่งที่เดิมกระจายตัวอยู่ทางใต้ของจักรวรรดิล้วนพากันมารวมตัวที่นี่

เพราะต่างได้ยินมาว่ามีเหล่าราชันอสูรมารรวมตัวอยู่ที่นี่ และหลินสวินก็กำลังจะมาเปิดศึกใหญ่!

แต่ขอเพียงเป็นผู้ที่รู้ข่าววงในต่างก็รู้ว่า ศึกนี้ย่อมอันตรายหาใดเทียบ!

“สวี่ซานชี เจ้าก็มาด้วย”

ชายวัยกลางคนผู้มีร่างกำยำผึ่งผาย สีหน้าน่าเกรงขามคนหนึ่งหัวเราะร่าเอ่ยปาก

“ศึกใหญ่เช่นนี้สามารถชี้ขาดโชคชะตาของจักรวรรดิได้แล้ว ข้าจะพลาดไปได้อย่างไร”

ไกลออกไปสวี่ซานชีกล่าวอย่างเรียบเฉย เงาร่างเขาผอมบาง ดวงตากระจ่าง สง่างามยิ่งกว่าตอนนั้น

“ได้ยินว่าตอนนั้นคุณชายหลินออกมาจากค่ายกระหายเลือดของพวกเจ้าหรือ”

บุคคลระดับราชันของจักรวรรดิที่อยู่ใกล้เคียงบางคนต่างเดินมาทางนี้

“อืม”

สวี่ซานชีพยักหน้า ในใจก็ทอดถอนใจครู่หนึ่ง

ตอนนั้นเป็นเขาเองที่ออกมาจากค่ายกระหายเลือด พาหลินสวินกับสืออวี่เด็กหนุ่มสองคนนั้นเข้าไปในค่าย

ทว่าเขากลับคิดไม่ถึงว่าหลายปีผ่านไป เด็กหนุ่มผอมแห้งและทรหดในตอนนั้น เหมือนจะกลายเป็นบุคคลไร้เทียมทานที่มีอิทธิพลต่อภาพรวมของจักรวรรดิไปแล้ว

“องค์หญิง!”

ความระส่ำระสายระลอกหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปพลันดึงดูดสายตาของพวกสวี่ซานชี

ก็พบว่าจ้าวจิ่งเซวียนแต่งกายเป็นชาย สวมชุดม่วงทั้งตัว เอวคาดเข็มขัดหยกเดินมาไกลๆ นี่ทำให้คนใหญ่คนโตในจักรวรรดิต่างตกตะลึง

พวกเขาคิดไม่ถึงว่าด้วยฐานะอันสูงส่งของจ้าวจิ่งเซวียนจะมาเยือนที่แห่งนี้เองเสียได้!

“หลินสวินยังไม่มาหรือ”

จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยถาม

“ยังขอรับ”

ทุกคนพากันส่ายหัว

จ้าวจิ่งเซวียนลอบถอนหายใจแล้วพูดว่า “อย่างนี้ดีที่สุด ตามที่ข้ารู้มา ตอนนี้ภายในทะเลสาบวาโยอสนีแห่งนี้มีจิตสังหารทุกย่างก้าว จะพูดว่าเป็นบึงมังกรถ้ำพยัคฆ์ก็ไม่เกินเลย”

นางทอดสายตามองไปก็เห็นว่าในบริเวณใกล้เคียงมีกลุ่มคนหนาแน่น ไม่ได้มีแต่คนใหญ่คนโตระดับราชันของจักรวรรดิเหล่านั้น ยังมีผู้ฝึกปราณมากมายด้วย

“คนเยอะขนาดนี้เลยหรือ” จ้าวจิ่งเซวียนออกจะประหลาดใจ

คนใหญ่คนโตจากจักรวรรดิผู้หนึ่งกล่าวเสียงขรึม “ศึกนี้จะตัดสินทิศทางสถานการณ์ของจักรวรรดิ ย่อมได้รับความสนใจจากทั่วสารทิศพ่ะย่ะค่ะ!”

คนอื่นก็พากันเอ่ยปาก “ใช่แล้ว ตามที่ข้ารู้มา ในคืนเดียวข่าวก็กระจายไปทั่ว ทุกพื้นที่ในจักรวรรดิต่างทอดสายตามารวมที่ทะเลสาบวาโยอสนีแห่งนี้พ่ะย่ะค่ะ”

มุมปากจ้าวจิ่งเซวียนยกยิ้มเย็นชา “เช่นนี้ดูท่าขุมอำนาจสัตว์อสูรมารที่อยู่ภายในจักรวรรดินี้ รวมถึงกำลังพลพ่อมดเถื่อนเก้าสายที่กระจายอยู่นอกจักรวรรดิ เกรงว่าคงติดตามศึกใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ด้วยกระมัง”

ทุกคนต่างพยักหน้า นี่เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว

และยามนี้ก็ได้ยินเสียงลั่นสนั่นฟ้าเสียงหนึ่ง ดังไกลออกมาจากในทะเลสาบวาโยอสนีแห่งนั้น คลื่นเสียงดั่งสายฟ้า สั่นสะเทือนฟ้าดิน ส่งผลให้สภาพอากาศเปลี่ยนสี

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท