พอเห็นพวกฉินเฟยอวี่โกรธเกรี้ยวจนเหมือนไปฆ่าพ่อแม่ตาย หนิงเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเดือดดาลยิ่งว่า “เจ้าโง่ เขาตายเอง!”
ได้ยินดังนั้นฉินเฟยอวี่รู้สึกว่าสติปัญญาของตนถูกดูหมิ่น หน้าเขียวไปด้วยความโกรธ “ตายเองหรือ ผู้แข็งแกร่งระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดจะตายเองได้หรือ คิดว่าข้าฉินเฟยอวี่เป็นคนโง่เขลาจริงๆ หรือ”
เขาพูดพลางจ้องพวกหลินสวิน หนิงเหมิง เย่เสี่ยวชีแล้วเอ่ยว่า “องค์ชายรองหวังดีช่วยหลี่ตู๋สิงรักษาบาดแผล พวกเจ้ากลับทำเรื่องชั่วร้ายต่ำทรามอย่างการฆ่าคน ช่างโหดเหี้ยมสารเลวถึงที่สุด ไม่อาจอภัยได้!”
ที่นอกตำหนักผู้แข็งแกร่งจักรวรรดิมากมายฉงนใจไม่หยุด ได้ยินเสียงคำรามเดือดดาลจากข้างในอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ในใจก็ประหลาดใจไม่ว่างเว้น
องค์ชายรองจ้าวจิ่งหลินถูกหลินสวินสังหารหรือ
นี่จะโหดร้ายบ้าระห่ำเกินไปแล้ว!
โดยเฉพาะองค์ชายเจ็ดจ้าวจิ่งเฟิง ดวงตาเบิกกว้างไปหมด ทั้งร่างสั่นระรัว เจ้าหมอนั่นถึงกับฆ่าพี่รองเลยหรือ
สำหรับจักรวรรดิแล้ว ฐานะขององค์ชายอย่างพวกเขาย่อมสูงส่งหาใดเทียบ แม้พลังอาจจะสู้ผู้แข็งแกร่งคนอื่นไม่ได้ แต่เพียงอาศัยฐานะของพวกเขาก็สามารถทำให้ผู้อื่นยำเกรงได้บ้าง
ทว่าตอนนี้หลินสวินไม่เพียงตบหน้าเขาจ้าวจิ่งเฟิงไปสองฉาด ยังสังหารองค์ชายรองจ้าวจิ่งหลินด้วย!
“พวกเจ้ายังอึ้งหาอะไรกันอยู่ ยังไม่ไปฆ่าไอ้สารเลวนั่นอีกหรือ!”
จ้าวจิ่งเฟิงคำรามกราดเกรี้ยว
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นเห็นดังนี้สีหน้าต่างปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ พอกำลังเตรียมจะลงมือ เสียงหยันเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ทุกคนอย่าขยับ!”
เสียงนั้นราวกลับอสนีบาตมหามรรค สะเทือนจนทุกคนในที่นั้นตัวสั่นเทา
ก็เห็นว่าในห้วงอากาศหญิงที่สวมเสื้อคลุมนกกระเรียนสีดำ เงาร่างสูงโปร่งอรชร รูปโฉมงดงามล่มนครคนหนึ่งเคลื่อนตัวในห้วงอากาศ
ราชินีกระหายเลือดจ้าวซิงเย่!
ทุกคนในที่นั้นต่างแสดงสีหน้าเคารพยำเกรงกันหมด
พวกเขาล้วนจำได้อย่างชัดเจนว่าสิบกว่าปีก่อนในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ ราชินีกระหายเลือดจ้าวซิงเย่ฝ่ามหาเคราะห์บรรลุอริยะในคราวเดียวท่ามกลางการปกป้องของเหล่าคนใหญ่คนโต กลายเป็นอริยะที่แท้จริงผู้หนึ่ง!
และในช่วงสิบกว่าปีมานี้ ก็เป็นเพราะมีจ้าวซิงเย่สั่งการ จึงทำให้ทัพจักรวรรดิสามารถทัดเทียมกับสองขุมอำนาจอย่างพ่อมดเถื่อนกับพันธมิตรหมื่นเผ่าได้
“เสด็จอา ในที่สุดท่านก็มาแล้ว หลินสวินนั่นฆ่าพี่รอง ท่านต้องออกหน้าแทนเขา จะไว้ชีวิตเจ้าสารเลวหลินสวินไม่ได้เด็ดขาด!”
จ้าวจิ่งเฟิงร้องเสียงดัง สีหน้าทั้งเศร้าทั้งโกรธเคือง
จ้าวซิงเย่ชำเลืองมองเขาปราดหนึ่งแล้วพูดเพียงว่า “อับอายขายหน้า” ก็ก้าวเท้ายาวเดินเข้าไปในตำหนัก ทิ้งให้จ้าวจิ่งเฟิงงุนงงไปหมด
คนอื่นเห็นดังนี้ก็ลอบถอนหายใจโล่งอก
ท่านจ้าวซิงเย่มาแล้ว เรื่องราวย่อมต้องได้รับการคลี่คลาย หากหลินสวินโหดเหี้ยมเลวทรามเช่นนั้น ย่อมต้องได้รับการลงโทษ
ในส่วนลึกของตำหนักขณะนี้หนิงเหมิงก็โกรธแล้ว “ไม่อาจอภัยได้หรือ เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก ถ้าไม่ใช่พวกเรารีบมา หลี่ตู๋สิงเกือบจะถูกไอ้หมอนี่ฆ่าตายแล้ว!”
ฉินเฟยอวี่สีหน้าอึมครึม “ยังเล่นลิ้นอีก รอท่านจ้าวซิงเย่มาถึง ดูซิพวกเจ้าจะยังพูดอะไรอีก! บอกพวกเจ้าให้ว่าถ้าองค์ชายรองสิ้นแล้ว พวกเจ้าก็รอรับโทษเถอะ!”
“ไม่รู้เรื่องรู้ราว”
หลินสวินคร้านจะอธิบาย
ฉินเฟยอวี่ตาเบิกกว้าง ชี้หน้าตน “คนร้ายฆ่าคนตายอย่างเจ้ายังกล้าบอกว่าข้าไม่รู้เรื่องรู้ราวหรือ”
“ไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ”
คนที่เอ่ยปากคราวนี้ไม่ใช่หลินสวิน แต่เป็นจ้าวซิงเย่ที่เดินเข้ามาในตำหนัก ทันทีที่มาถึงก็กลายเป็นจุดสนใจของทั้งที่นั้น
ทว่าฉินเฟยอวี่กลับดูอัดอั้นตันใจและงุนงงนัก หะ… เหตุใดท่านจ้าวซิงเย่ก็พูดเช่นนี้
หรือนางดูไม่ออกว่าองค์ชายรองจ้าวจิ่งหลินถูกฆ่า
เขาอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่างก็ถูกจ้าวซิงเย่ตัดบท “พวกเจ้าออกไปให้หมด ข้ามีเรื่องอยากถามหลินสวิน”
หนิงเหมิงกับเย่เสี่ยวชีย่อมไม่มีความเห็น กุมมือคารวะแล้วหันตัวจากไป
พวกฉินเฟยอวี่ต่างอึ้งไป พอจะสัมผัสได้รางๆ ว่าเรื่องราวออกจะไม่ชอบมาพากล แต่เมื่อเผชิญหน้ากับดวงตาเย็นชาของจ้าวซิงเย่ พวกเขาเพียงรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัว ไม่กล้าพูดอะไรอีกสักนิด จึงจากไปพร้อมกับความฉงนใจและความขุ่นเคืองเต็มอก
ทันใดนั้นในห้องก็เหลือเพียงจ้าวซิงเย่ หลินสวิน และหลี่ตู๋สิงที่สลบอยู่บนเตียง
“ข้าเพิ่งกลับมา คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้”
จ้าวซิงเย่ถอนหายใจเบาๆ
เกศาดำขลับราวน้ำตกทั้งศีรษะนางเกล้าเป็นมวย เผยให้เห็นคอระหงเรียวยาวเปล่งปลั่ง ริมฝีปากอิ่มเอิบ สันจมูกโด่ง ตาโตและมีชีวิตชีวา คิ้วงามตรงแน่วทั้งสองดั่งน้ำหมึก กรอบหน้ามีกลิ่นอายตระการตางามวิจิตรสมบูรณ์แบบ
แต่หากมองดูโดยละเอียดก็จะพบว่าในดวงตาพริ้มเพราของนางมีปรากฏการประหลาดน่าหวาดหวั่นมากมายปรากฏขึ้น คล้ายสามารถกลืนกินฉีกทึ้งจิตวิญญาณ น่าพรั่นพรึงหาใดเทียบ
ในอดีตหลินสวินก็รู้ว่าจ้าวซิงเย่น่ากลัวถึงที่สุด และตอนนี้ยามได้พบกัน หลินสวินเป็นมกุฎราชันระดับอมตะเคราะห์ด่านแปดแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับจ้าวซิงเย่ก็ยังคงรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายเลิศลอยไม่อาจหยั่งถึงดังเดิม
นี่ทำให้เขารับรู้ได้ว่าจ้าวซิงเย่เป็นอริยะแท้ผู้หนึ่งไปแล้ว!
หากมีพลังปราณเพียงระดับอมตะเคราะห์จะไม่อาจบัญชาการทัพจักรวรรดิได้ และไม่ทางทำให้ตนรู้สึกกดดันในด้านระดับพลังได้เด็ดขาด
หลินสวินเอ่ย “เขาไม่ได้ถูกข้าฆ่าขอรับ”
“ข้ารู้”
จ้าวซิงเย่เหลือบมองหลินสวินครั้งหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ที่ข้าออกไปข้างนอกก็เพื่อไปสืบหาสาเหตุที่หลี่ตู๋สิงได้รับบาดเจ็บ เจ้ารู้ไหมว่าสืบเจออะไร”
หลินสวินเอ่ย “ขอผู้อาวุโสชี้แนะขอรับ”
“ผู้ที่ทำให้หลี่ตู๋สิงได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นไปได้สูงยิ่งว่าจะเป็นยอดฝีมือสายคนเถื่อนมืดในทัพพ่อมดเถื่อน สิ่งที่ใช้ก็คือวิชาลับอัมพาตกับกัดกร่อนจิตวิญญาณ”
จ้าวซิงเย่กล่าว “วิชาลับนี้ไม่ถึงกับร้ายกาจมากมาย แต่ทำให้ผู้อื่นสลบไป ไม่ได้สติและสูญเสียการรับรู้ไปช่วงเวลาหนึ่ง”
“ไม่ใช่พันธมิตรหมื่นเผ่าทำหรือขอรับ” หลินสวินประหลาดใจ
“เจ้าก็รับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากลหรือ”
จ้าวซิงเย่ดวงตาเย็นเยียบจนน่ากลัว “นี่พิสูจน์ได้เพียงว่าทัพใหญ่ทั้งสองนี้กำลังมีข้อตกลงบางอย่างลับๆ หรือพูดว่าเป็นไปได้สูงที่จะร่วมมือกันแล้ว”
“องค์ชายรองถูกพันธมิตรหมื่นเผ่าเปลี่ยนให้เป็นข้ารับใช้มายาร้าย ส่วนหลี่ตู๋สิงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากทัพพ่อมดเถื่อน ตอนนี้องค์ชายรองยังเสแสร้งมารักษาบาดแผลหลี่ตู๋สิงเพื่อเข้ายึดครองและควบคุมจิตวิญญาณของหลี่ตู๋สิง จะเปลี่ยนเขาให้เป็นข้ารับใช้มายาร้ายไปด้วย…”
หลินสวินพึมพำ “พอดูเช่นนี้แล้ว เป็นไปได้ว่าทัพใหญ่ทั้งสองนี้จะรวมหัวกันแล้วจริงๆ”
“ดังนั้นสถานการณ์ของจักรวรรดิพวกเราในภายหน้า… เป็นไปได้มากที่จะยิ่งลำบากขึ้นไปเสียแล้ว”
จ้าวซิงเย่เอ่ย “เรื่องพรรค์นี้ข้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ทำได้เพียงพึ่งพาการประชันและต่อสู้ระหว่างคนรุ่นเยาว์อย่างพวกเจ้า”
หลินสวินเข้าใจความหมายของจ้าวซิงเย่
ในทัพใหญ่ทั้งสามต่างมีบุคคลระดับอริยะคนหนึ่งบัญชาการ ต่างควบคุมซึ่งกันและกัน หากไม่พบวิกฤตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ใครก็ไม่กล้าทำเรื่องหุนหันพลันแล่น
ถ้าจ้าวซิงเย่ไปจู่โจมศัตรูถึงที่โดยไม่สนใจสิ่งใดเพราะองค์ชายรองถูกฆ่า หลี่ตู๋สิงบาดเจ็บสาหัส เช่นนั้นผลลัพธ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทัพจักรวรรดิจะรับไหวเช่นกัน
หลินสวินก็ถอนใจเบาๆ อย่างอดไม่ได้ “ดูท่าสถานการณ์ของทัพจักรวรรดิย่ำแย่กว่าที่ข้าคาดการณ์ไว้อยู่บ้าง”
คราวนี้จ้าวซิงเย่กลับยิ้มขึ้นมา “ยังดีที่เจ้ามาแล้ว เมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนพวกจักรพรรดิจากไปก็เคยตรัสว่า ภายหน้าเจ้าจะต้องกลับมา”
หลินสวินชะงัก จากนั้นก็ยิ้มขื่น “ผู้อาวุโสจะประเมินข้าสูงไปแล้วหรือไม่”
จ้าวซิงเย่ส่งเสียงหึ “ถ้าขนาดเรื่องวุ่นวายเท่านี้เจ้ายังคลี่คลายไม่ได้ ยังต้องพูดถึงเรื่องไปป่าต้นหม่อนอีกหรือ หรือจะบอกว่าเจ้าไม่อยากลงแรงเพื่อจักรวรรดิ”
“ข้า…”
หลินสวินกำลังจะพูดอะไรก็ถูกจ้าวซิงเย่ตัดบท ชี้ไปที่หลี่ตู๋สิงที่อยู่บนเตียง “เขาเป็นเพื่อนเจ้าเชียวนะ ตอนนี้ถูกคนอื่นเล่นงาน ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าจะนิ่งดูดายได้จริงๆ หรือ”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่”
จ้าวซิงเย่ตัดบทหลินสวินอีกครั้ง บนใบหน้าเพริศพรายจนสะท้านจิตวิญญาณปรากฏรอยยิ้มชวนเคลิ้ม “องค์ชายรองประสบเคราะห์แล้ว เจ้าคงไม่อยากจะถูกคนมองว่าเป็นฆาตกรจริงๆ ใช่ไหม”
เสียงนุ่มนวลแหบแห้งเจือความรู้สึกน่าดึงดูดอย่างบอกไม่ถูก
แต่หลินสวินพอได้ยินกลับเหงื่อกาฬผุดพราย ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ข้ายังไม่บอกว่าจะไม่ช่วยนะขอรับ”
จ้าวซิงเย่ถอนหายใจเบาๆ “เจ้าลำบากใจมากใช่ไหม งั้นเจ้าคงไม่เข้าใจว่าในใจข้าไม่พอใจขนาดไหน จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้กลับถูกสวะพ่อมดเถื่อนกับพวกต่างเผ่าพันธุ์อย่างพันธมิตรหมื่นเผ่ารังแกขนาดนี้ ความรู้สึกนี้… น่าหงุดหงิดใจเกินไปแล้ว”
ทันใดนั้นนางก็เปลี่ยนเรื่อง เอ่ยสีหน้าเศร้าสร้อยว่า “ถ้าเจ้าไม่อยากทำจริงๆ ข้าก็จะไม่ฝืนใจเจ้า คนเราต่างใจ ไปฝืนไม่ได้”
หลินสวินทำตัวไม่ถูก ทันใดนั้นก็เอ่ยอย่างรวดเร็วว่า “ผู้อาวุโสวางใจได้ ข้าจะไม่ทำเฉยนิ่งดูดายแน่!”
จ้าวซิงเย่ยื่นมือเรียวงามออกมาตบไหล่หลินสวิน เอ่ยอย่างยินดีปรีดาว่า “ไม่เพียงทำเฉยนิ่งดูดายไม่ได้ ยังต้องแสดงอานุภาพของจักรวรรดิเราออกมา ทำลายพวกเด็กผีอย่างสองทัพใหญ่นั่นให้หมดด้วยจะดีที่สุด!”
พูดถึงท้ายที่สุดเสียงก็เจือไปด้วยความพยาบาท ทำให้หลินสวินรับรู้ได้ว่าในใจจ้าวซิงเย่ต้องเก็บกลั้นไฟแค้นเอาไว้
ทำให้อริยะท่านหนึ่งเป็นเช่นนี้ได้ เพียงคิดก็รู้ว่าสถานการณ์ของทัพจักรวรรดิหลายปีมานี้ย่ำแย่ขนาดไหน…
“อีกสองปีศึกถกมรรคเขาพินิจมรรคก็จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นพวกเรากับพันธมิตรหมื่นเผ่านั่นที่จะส่งตัวแทนออกไปฝ่ายละสิบคน เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าก็เข้าร่วมด้วย”
จ้าวซิงเย่กล่าว “ในศึกถกมรรคเขาพินิจมรรค พวกเราแพ้มากกว่าชนะ ความพ่ายแพ้ทุกครั้งก็แปลว่าจะเสียผู้แข็งแกร่งที่ล้ำเลิศที่สุดไปส่วนหนึ่ง คราวนี้ข้าหวังว่าเจ้าจะเปลี่ยนสถานการณ์ได้”
“ขอรับ”
หลินสวินตอบรับ เขาก็ไม่มีทางปฏิเสธได้
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อแก้แค้นแทนหลี่ตู๋สิงหรือสู้เพื่อจักรวรรดิ เขาก็ปฏิเสธไม่ได้
จ้าวซิงเย่ยิ้มระรื่นมองดูหลินสวินเหมือนกับมองดูสมบัติล้ำค่าหายากในโลกชิ้นหนึ่ง เปี่ยมไปด้วยการตั้งตาคอย เอ่ยว่า “ดี ขอเพียงเจ้าชนะอย่างสวยงาม ถึงเวลาข้าจะส่งเจ้าไปป่าต้นหม่อนเอง ส่วนหลี่ตู๋สิง ข้าจะช่วยเจ้ารักษาอาการบาดเจ็บให้หาย”
ได้ยินดังนั้นหลินสวินก็วางใจ
……
วันนี้หลินสวินมาถึงภูเขาเมฆาคราม ตบหน้าองค์ชายเจ็ดจ้าวจิ่งเฟิง เปิดโปงตัวตนขององค์ชายรองจ้าวจิ่งหลินที่ตกเป็นข้ารับใช้มายาร้ายไปแล้ว ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาและตื่นตระหนก
ที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงอ้าปากค้างที่สุดก็คือจ้าวซิงเย่ผู้มีฐานะเป็นผู้กุมบังเหียนแห่งทัพจักรวรรดิ จัดงานเลี้ยงใหญ่โตโอฬารเพื่อรับการมาเยือนของหลินสวินด้วยตัวเอง เป็นการต้อนรับและปลอบขวัญ
นี่ทำให้ทุกคนต่างรับรู้ได้ว่าหลินสวินมีตำแหน่งแห่งที่อันสำคัญในใจจ้าวซิงเย่กว่าที่ทุกคนคาดคิดไว้มาก!
ส่วนพวกฉินเฟยอวี่กลับหน้าเสียกันหมด เศร้าซึมถึงที่สุด ล้วนรับรู้ได้ว่าหากภายหน้าพวกเขาคิดจะงัดข้อทั้งในที่แจ้งและที่ลับกับพวกหนิงเหมิงและเย่เสี่ยวชีอย่างก่อนหน้านี้อีก ย่อมเป็นไปไม่ได้แล้ว
ไม่เพียงเพราะหัวหน้าในขุมอำนาจของพวกเขาอย่างองค์ชายรองจ้าวจิ่งหลินสิ้นแล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือ…
หลินสวินมาแล้ว!
เขาคนเดียวก็เพียงพอจะกดข่มจนพวกเขาหายใจติดขัด
มิเห็นหรือว่าด้วยพลังต่อสู้ขององค์ชายเจ็ดจ้าวจิ่งเฟิง ยังรับสองฝ่ามือของหลินสวินไม่ได้
——