Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1429 ข้ารับใช้มายาร้าย

ตอนที่ 1429 ข้ารับใช้มายาร้าย

เพี๊ยะ!

เสียงตบหน้านั้นดังจนทำให้ทุกคนที่อยู่โดยรอบจิตใจสั่นระรัว รู้สึกเจ็บไปด้วย

ก็พบว่าจ้าวจิ่งเฟิงที่ท่าทางดุดันถูกฝ่ามือหนึ่งตบให้กระเด็นออกไปอีกครั้ง

คราวนี้ตัวเขากระแทกลงไปบนเสาหินของตำหนัก หน้าบวมเป่งเป็นหัวหมู เลือดสดๆ ไหลรินออกมาจากปากและจมูก หน้าตาต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง อนาถเสียจนทนดูไม่ได้

เฮือก!

หลายคนสูดหายใจเย็น ในใจตกตะลึง

ด้านพวกฉินเฟยอวี่กลับมุมปากกระตุกอย่างแรง รู้สึกหวาดผวาหาใดเทียบเช่นกัน

องค์ชายเจ็ดจ้าวจิ่งเฟิงเป็นถึงคนร้ายกาจที่ดุร้ายถึงที่สุดคนหนึ่ง มีพลังต่อสู้น่าเกรงขามของระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด ในทัพจักรวรรดิก็อยู่ในห้าอันดับแรก!

แต่ตอนนี้กลับถูกคนอื่นตบให้กระเด็นออกไปสองครั้งติด เสียงตบดังเพี๊ยะๆ นั้นทำให้ทุกคนต่างรู้สึกครั่นคร้าม

ที่น่ากลัวที่สุดก็คือคู่ต่อสู้ของเขาตั้งแต่เริ่มจนจบท่าทางสุขุมเยือกเย็น ผ่อนคลายสบายใจมาตลอด เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ใช้พลังที่แท้จริงสักนิด

สิ่งนี้พิสูจน์ได้อย่างไร้ข้อกังขาว่าคู่ต่อสู้แข็งแกร่งนัก และไม่ได้แข็งแกร่งอย่างธรรมดาสามัญด้วย

ต่อให้เป็นหนิงเหมิงหรือเย่เสี่ยวชียังสับสนไปครู่หนึ่ง พวกเขาต่างรู้ดีว่าพลังต่อสู้ขององค์ชายเจ็ดจ้าวจิ่งเฟิงแข็งแกร่งขนาดไหน

แต่ภายใต้น้ำมือของหลินสวิน ก็ดูไม่มีราคาเลย

“รีบไป ข้าห่วงว่าหลี่ตู๋สิงจะถูกลอบทำร้ายแล้ว!”

ทันใดนั้นหนิงเหมิงก็ร้องเสียงดัง

หลินสวินหรี่ตาลง ไม่ได้คิดอะไรอีกก็เดินเข้าไปในตำหนักนั้น ก่อนที่เข้าจะมาถึงที่นี่จิตรับรู้ของเขาก็ปกคลุมที่นี่ไว้ก่อนแล้ว ได้เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นทุกเรื่อง

เพียงเห็นท่าทางร้อนรนเช่นนั้นของหนิงเหมิงก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล

“ไสหัวไป!”

หลินสวินชำเลืองมองพวกฉินเฟยอวี่ที่ยังขวางหน้าตำหนักปราดหนึ่ง ปากก็โพล่งออกมาไม่กี่คำ

เพียงไม่กี่คำ แต่พอไปถึงหูของพวกฉินเฟยอวี่ก็เหมือนก้นบึ้งของจิตใจมีสายฟ้าฟาดระเบิดออกที่ก้นบึ้งจิตใจ สะเทือนจนพวกเขาจิตวิญญาณสั่นไหว ภาพตรงหน้าพร่าเลือน รู้สึกแย่จนแทบกระอักเลือดออกมา

พวกเขาโซเซหลีกทางให้โดยแทบจะเป็นไปตามสัญชาตญาณ

เมื่อพวกฉินเฟยอวี่ได้สติเต็มที่อีกครั้ง หลินสวินก็พาหนิงเหมิงกับเย่เสี่ยวชีเข้าไปในตำหนักนานแล้ว

นี่ทำให้พวกเขาทั้งโมโหทั้งโกรธเคือง ทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว สีหน้าก็เดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด ย่ำแย่กันหมดแล้ว

เจ้าหมอนี่เป็นใครกันแน่

ด้านคนอื่นๆ พอเห็นเช่นนี้ต่างก็จิตใจสั่นสะท้านยกใหญ่อย่างห้ามไม่อยู่ ล้วนคิดไม่ถึงว่าพลานุภาพของหลินสวินจะแกร่งกล้าได้ปานนี้

ตุ้บ!

จ้าวจิ่งเฟิงที่ถูกกระแทกเข้ากับเสาหิน ตอนนี้ร่างถึงอ่อนยวบตกลงมากับพื้น

เห็นได้ชัดว่าเขาถูกอัดจนมึนงง แต่ยังคงกัดฟันเอ่ยเสี่ยงขุ่นเคืองว่า “ไม่ว่ามันเป็นใคร ข้าจะต้องฆ่ามัน ต้องฆ่ามันให้ได้!”

ในที่นั้นเงียบสงัด

มีคนอดไม่ไหวเอ่ยเตือนว่า “องค์ชายเจ็ด เป็นไปได้สูงยิ่งที่คนผู้นั้นจะเป็นหลินสวิน”

หลินสวินหรือ

พวกฉินเฟยอวี่อึ้งไป

“ข้าพูดแล้ว ไม่ว่ามันเป็นใคร ข้าก็ต้อง…”

จ้าวจิ่งเฟิงคำรามด้วยสีหน้าดุร้าย เพียงแต่พูดได้ครึ่งเดียวเขาก็คล้ายรับรู้อะไรบางอย่าง พลันเอ่ยว่า “เจ้าบอกว่าเขาคือหลินสวินหรือ ผู้นำตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตที่ถูกขนานนามว่าอำนาจทั่วนครหลวงคนนั้นหรือ”

หลายคนต่างพยักหน้า

พวกฉินเฟยอวี่ต่างก็ได้สติกลับมาแล้ว แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสี “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เขาไม่ได้ไปดินแดนรกร้างโบราณเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้วหรือ”

นั่นสิ ทำไมหลินสวินคนนี้ถึงปรากฏตัวได้

คนอื่นต่างก็สงสัยอยู่ในใจ ควรรู้ว่าสิบกว่าปีมานี้ช่องทางสู่สมรภูมิกระหายเลือดถูกปิดลงแล้ว ไม่มีใครเข้ามาได้อีก

แล้วหลินสวินเข้ามาได้อย่างไร

“ที่แท้ก็เป็นเขา… สารเลว!!”

จ้าวจิ่งเฟิงเสียงต่ำลึกเหมือนบีบเค้นออกมาจากทรวงอก เผยให้เห็นความเคียดแค้นหาใดเทียบ

ถูกหลินสวินตบใส่สองฝ่ามือจนท่าทางน่าอนาถเช่นนี้ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย นี่ย่อมเป็นความอัปยศครั้งใหญ่ยิ่งครั้งหนึ่ง ทำให้เขารู้สึกอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี

“แย่แล้ว!”

ทันใดนั้นจ้าวจิ่งเฟิงพลันหน้าเปลี่ยนสี นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ คำรามดาลเดือดว่า “เร็วเข้า รีบไปขวางพวกมัน จะให้พวกมันทำลายแผนของพี่รองไม่ได้!”

พวกฉินเฟยอวี่อึ้งไป ในหัวงุนงงไปหมด องค์ชายรองจ้าวจิ่งหลินไม่ได้ช่วยหลี่ตู๋สิงรักษาแผลอยู่หรือ

แม้ในใจสงสัยแต่พวกเขากลับไม่กล้าปฏิเสธ รีบร้อนถลาเข้าไปในตำหนัก

คนอื่นที่อยู่ในที่นั้นต่างมองหน้ากัน พอจะรู้สึกได้รางๆ ว่าเรื่องนี้เหมือนมีกลิ่นไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง

……

ห้องที่ปิดสนิทห้องหนึ่งในส่วนลึกของตำหนัก หลี่ตู๋สิงหมดสตินอนอยู่บนเตียงไม่ไหวติง สีหน้าที่เดิมซีดเซียวกลับร้อนแดงเป็นไฟ

วู้ม!

ที่หน้าเตียง กระพรวนสีเขียวมรกตพิสดารสิบสามลูกลอยหมุนติ้วอยู่กลางอากาศ กระพรวนแต่ละลูกต่างฉายวงแสงสีเขียวหยกน่าหวั่นใจออกมา

จ้าวจิ่งหลินสวมชุดคลุมมังกรสี่เล็บสีเหลืองอร่ามทั้งตัว ใบหน้าขาวสะอาดหล่อเหลามีสีเขียวประหลาดภายใต้แสงสีเขียวหยกที่สาดส่อง

เขาสีหน้าสงบนิ่ง มองดูหลี่ตู๋สิงที่อยู่บนเตียงแล้วเอ่ยว่า “เจ้าวางใจได้ ข้าจะช่วยรักษาแผลเจ้าให้หายแน่ อีกทั้งจะไม่ทำร้ายมรรควิถีของเจ้า รับรองว่าจะทำให้เจ้าไปร่วมศึกถกมรรคเขาพินิจมรรคในอีกสองปีข้างหน้าได้”

ยามเอ่ยวาจามือเขาก็ทำมุทรา

กรุ๊งกริ๊ง…

กระพรวนสีเขียวมรกตสิบสามลูกนั้นเขย่าไปมา มีแสงเทพสีเขียวลอยละล่องออกมาราวกระแสคลื่น เข้าปกคลุมหลี่ตู๋สิ่งที่อยู่บนเตียงเหมือนกระแสน้ำเชี่ยว

ตูม!

แต่ก็ในตอนนี้เอง ประตูใหญ่ที่ปิดสนิทนั้นระเบิดเป็นจุณในทันใด เงาร่างหลินสวินฉายออกมา พอเห็นภาพนี้เข้าก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างห้ามไม่อยู่เล็กน้อย

“ใครให้พวกเจ้าเข้ามา ไสหัวออกไป!”

จ้าวจิ่งหลินตะคอกลั่น สีหน้าอึมครึมลงทันที ยามเอ่ยว่าจาเขาไม่ได้หยุดสิ่งที่ทำอยู่

หลินสวินหัวเราะหยัน สะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง แสงมรรคราวพายุคลั่งสายหนึ่งเคลื่อนออกมา กระพรวนสีเขียวมรกตสิบสามลูกที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันส่งเสียงระเบิด สั่นโคลงกำลังจะร่วงลงมา

“เจ้ารนหาที่ตาย!”

จ้าวจิ่งหลินสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมหาใดเทียบฉับพลัน มือข้างหนึ่งเข้าไปตบหลินสวิน

“เจ้าคุกเข่าให้ข้าก่อนเถอะ!”

หลินสวินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ไม่หลบไม่หนี กดฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาเช่นกัน

ไม่เกิดการกระทบกระแทกขึ้นสักนิด พลังฝ่ามือของจ้าวจิ่งหลินดับสนิทในชั่วพริบตาเหมือนเปลวเทียนริบหรี่กลางพายุ ส่วนตัวเขากลับถูกหลินสวินใช้ฝ่ามือตบให้คุกเข่าลงไปกับพื้น

ปึง!

จ้าวจิ่งหลินคุกเข่าทั้งสองลงไปกับพื้น ทำให้ทั้งห้องสะเทือนรุนแรงไปครู่หนึ่ง ชั่วพริบตาเขาก็ดวงตาวาวโรจน์ ตาแทบหลุดออกจากเบ้า “เจ้าเป็นใคร ถึงได้กล้าบุกเข้ามาที่นี่ ไม่กลัวตายหรือ”

หลินสวินเมินเขาไปตรงๆ เขาชูมือขึ้นคว้ากระพรวนสีเขียวมรกตเหล่านั้นมา พอประเมินเล็กน้อยกลิ่นอายอึมครึมน่ากลัวก็กระทบหน้า ทำให้ตาดำของหลินสวินหดเกร็ง นี่มันสมบัติอะไรกัน ทำไมพลังถึงพิสดารปานนี้

ครืน!

ขณะที่ครุ่นคิด รอบตัวส่องแสง พอชูมือขึ้นก็ผนึกกระพรวนสีเขียวมรกตเหล่านี้เอาไว้ จากนั้นจึงทอดสายตามองไปยังจ้าวจิ่งหลินที่อยู่กับพื้น “พูดมาเถอะ เจ้าทำอะไรอยู่”

“ไอ้โง่ เจ้าตาบอดแล้ว ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังรักษาแผลให้หลี่ตู๋สิง”

จ้าวจิ่งหลินคำรามดาลเดือด ท่าทางขุ่นเคืองที่ถูกใส่ร้าย

หลินสวินยิ้มเหี้ยม ดวงตาลุ่มลึก เอ่ยพูดว่า “ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้าดันไม่คว้าไว้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าโทษข้าแล้วกัน”

จ้าวจิ่งหลินหน้าเปลี่ยนสี คล้ายเห็นท่าไม่ดี ทันใดนั้นก็ดิ้นรนลุกขึ้นร้องคำรามดังว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร ที่นี่เป็นสถานที่สำคัญของทัพจักรวรรดิเชียวนะ ข้าคือองค์ชายรองจ้าวจิ่งหลิน…”

พูดมาถึงครึ่งทาง เสียงก็ถูกพลังฝ่ามือน่ากลัวที่หลินสวินกดลงมาตัดบท

“บังอาจ!”

จ้าวจิ่งหลินคล้ายบ้าคลั่งโดยสมบูรณ์ ที่กลางหน้าผากเขาพลันมีนัยน์ตาสีแดงฉานราวกับดวงตาของเทพอสูรมารดึกดำบรรพ์ดวงหนึ่งโฉบออกมา ประกายเทพแดงฉานพิสดารผุดขึ้น ท่ามกลางความคลุมเครือเหมือนกับมีปรากฏการณ์ประหลาดที่เทพผีคร่ำครวญ สุริยันจ่อมจมจันทรามลายฉายขึ้นในดวงตาสีแดงฉานนั้น

ชั่วพริบตา ด้วยพลังจิตวิญญาณของหลินสวินในตอนนี้ยังหวาดหวั่นไปครู่หนึ่ง รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายคุกคามอันเย็นชาน่ากลัว

“นายท่าน นี่คือเนตรโลหิตมายาร้าย ชั่วร้ายถึงที่สุด ให้ข้าต่อกรมันขอรับ!”

แทบจะในขณะเดียวกัน เสี่ยวอิ๋นกระโจนออกมาทันควัน

สวบ!

คมกระบี่ที่แทบไร้รูปร่างเคลื่อนออกมาจากฝ่ามือเสี่ยวอิ๋นแล้วไหววูบกลางอากาศ

เสียงฟุบดังขึ้น นัยน์ตาสีแดงฉานแปลกประหลาดดวงนั้นถูกปราณกระบี่แทงทะลุท่ามกลางประกายสีเงินที่ระเบิดออกมา น้ำเลือดสีดำคาวคลุ้งไหลออกมาเป็นสาย

ด้านจ้าวจิ่งหลินกลับเหมือนถูกพลังสะท้อนกลับ ส่งเสียงร้องคำรามเจ็บปวดออกมาทันที ก็เห็นว่าร่างกายเขาแตกระแหงไปทุกกระเบียด ผิวหนังและกระดูกลอกออก เลือดเนื้อหล่นลงมาเผาะๆ

ชั่วพริบตาเท่านั้นคนเป็นๆ คนหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งระดับอมตะเคราะห์คนหนึ่งกลับแปรสภาพเป็นกองเลือดเต็มพื้น!

หลินสวินดวงตานิ่งขึง ในใจสะท้านรุนแรง ตกตะลึงกับภาพพิสดารนี้

“จะหนีไปไหน!”

และในตอนนี้เสี่ยวอิ๋นตะบึงออกไป ใบหน้าหล่อเหลาหาใดเทียบเย็นชาถึงที่สุด ถือกระบี่สังหาร

“หึ!”
Aileen-novel
นัยน์ตาสีแดงฉานที่ถูกแทงทะลุนั้นกลับส่งเสียงหัวเราะหยันออกมาครั้งหนึ่งคล้ายโกรธเกรี้ยวหาใดเทียบ หันกายจะหนี

แต่ต่อให้มันไวแค่ไหนมีหรือจะเร็วเท่ากระบี่ของเสี่ยวอิ๋น ชั่วพริบตานัยน์ตาสีแดงฉานก็ถูกฟันออกเป็นสองท่อน ระเบิดดังลั่นในห้วงอากาศ

เพียงแต่ที่ประหลาดก็คือ แม้นัยน์ตาสีแดงฉานนี้จะถูกทำลายไปแล้ว กลับมีเสียงเย็นยะเยือกไม่ชัดเจนเสียงหนึ่งดังขึ้น

“สายตาบางคู่ไม่อาจสลายไปเท่านี้ ไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ที่ไหนทำอะไร ข้ามองเห็นทั้งนั้น พวกเจ้าต้องตายไม่ช้าก็เร็ว!”

เสียงค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าแล้วหายไปโดยสิ้นเชิง

“นายท่าน นี่เป็นฝีมือของเผ่าวิญญาณมายาร้ายขอรับ ที่เผ่านี้เชี่ยวชาญที่สุดก็คือวิชาจิตวิญญาณ บุกรุกควบคุมจิตวิญญาณของผู้อื่น คนที่ถูกพวกเขาควบคุมจะถูกขนานนามว่า ‘ข้ารับใช้มายาร้าย’ แท้จริงชีวิตถูกยึดไปนานแล้วขอรับ”

เสี่ยวอิ๋นสีหน้าเคร่งเครียด นิ่วหน้าเอ่ยว่า “เห็นได้ชัดว่าจ้าวจิ่งหลินผู้นี้ถูกยอดฝีมือของเผ่าวิญญาณมายาร้ายยึดครองจิตวิญญาณและกายหยาบมานานแล้ว ตกเป็นข้ารับใช้มายาร้ายผู้หนึ่ง กรณีอย่างเขา ต่อให้เป็นอริยะ หากไม่ตั้งใจสำรวจยังพบได้ยากขอรับ”

หลินสวินมองดูแอ่งน้ำเลือดบนพื้นนั้น สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ เอ่ยว่า “แล้วกระพรวนพวกนี้มีประโยชน์อะไร”

เสี่ยวอิ๋นชำเลืองมองแล้วตอบทันควันว่า “ดูดวิญญาณ! นี่คือ ‘กระพรวนบ่มมายา’ สามารถยึดครองจิตวิญญาณของคนอื่นเงียบๆ ควบคุมเขา แล้วแปรสถาพเป็นข้ารับใช้มายาร้าย”

หลินสวินเสียวสันหลังวาบไปครู่หนึ่ง ลอบดีใจ หากตนมาช้ากว่านี้ไปก้าวเดียว เกรงว่าหลี่ตู๋สิงที่หมดสติอยู่บนเตียงจะถูกลอบทำร้ายไปแล้ว!

“แม่งเอ๊ย พูดแบบนี้องค์ชายรองก็ไม่ใช่องค์ชายรองมานานแล้วหรือ ข้าก็ว่าอยู่ว่าเรื่องมันไม่ชอบมาพากล ที่แท้ก็ไม่ชอบมาพากลจริงๆ ด้วยโว้ย!”

หนิงเหมิงที่เห็นทุกอย่างโกรธจนเข่นเขี้ยว

“เจ้ารู้จักเผ่าวิญญาณมายาร้ายหรือ” หลินสวินถาม

หนิงเหมิงส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ข้ารู้สึกว่าต้องเป็นคนของพันธมิตรหมื่นเผ่า ฝั่งพวกเขามีผู้แข็งแกร่งจากเผ่าต่างๆ ไม่น้อย ของบ้าอะไรก็มีหมด”

หลินสวินหรี่ตาลงเล็กน้อย ในใจลอบเอ่ยว่าศึกถกมรรคเขาพินิจมรรคในอีกสองปีข้างหน้าที่จะเปิดฉากขึ้น เป็นการต่อสู้ระหว่างทัพจักรวรรดิกับพันธมิตรหมื่นเผ่า

ตอนนี้ไม่เพียงองค์ชายรองจ้าวจิ่งหลินถูกทำร้าย กระทั่งหลี่ตู๋สิงยังถูกทำร้ายด้วย ไม่ต้องสงสัยว่าหากเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นจริงๆ พันธมิตรหมื่นเผ่าจะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุด!

ในตอนนี้เองพวกเฉินเฟยอวี่กระโจนเข้ามา เมื่อเห็นภาพในห้องก็เหม่อไปอย่างอดไม่ได้

โดยเฉพาะยามเห็นแอ่งเลือดบนพื้นนั้น พวกเฉินเฟยอวี่หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ทันที ร้องเสียงหลงกราดเกรี้ยวว่า “พวกเจ้าฆ่าองค์ชายรองหรือ!”

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท