ที่เมืองหยุนไห่ ดวงจันทร์ลอยอยู่บนฟ้า
แม้มารทั้งสี่หนีไปแล้ว แต่ความเจ็บปวดที่เหลือไว้ให้ประชาชนเมืองหยุนไห่ ยังคงมีอยู่ต่อไป
การต่อสู้ครั้งใหญ่ครั้งนี้ ไม่รู้ว่าส่งผลกระทบกับประชาชนทั่วไปตั้งเท่าไร เพราะคนส่วนใหญ่บนโลกนี้ ไม่ใช่นักบู๊ แล้วก็ไม่ใช่ผู้ฝึกชี่
พวกเขาเป็นแค่ประชาชนที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข จู่ๆ มีภัยพิบัติ พวกเขาก็จนปัญญา
มองซากปรักหักพังของห้องบริเวณรอบๆ เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังไปทั่วถนน
มีเพียงตรงประตูเมืองที่เงียบหน่อย ไม่ใช่เพราะว่าประตูเมืองเสียหายน้อย ตรงกันข้าม เพราะได้รับความเสียหายมากเกินไป ตายจนสิ้นซาก ดังนั้นสิ่งที่หลงเหลืออยู่ จึงมีเพียงความเงียบเท่านั้น
ลู่ฝานเดินไปมาในเมือง เห็นสถานที่ที่ถูกทำลายเสียหาย เขาก็ให้เงินเล็กน้อย
นี่คือสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้
ศิษย์พี่หานเฟิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ คิดว่าสิ้นเปลืองเงินทอง ส่วนหลิงเหยากลับไปดูแลคุณย่า จึงเหลือเพียงลู่ฝานเดินท่ามกลางความมืดเพียงคนเดียว
จู่ๆ ลู่ฝานได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นข้างหน้า
“สาวสวย อย่าส่งเสียง พวกเราแค่ผ่านไม้ผ่านมือเท่านั้น ให้ฉันจับดีดีหน่อย”
“เอามือสกปรกของนายออกไป ไอ้พวกกระจอก พวกนายต้องตายอย่างน่าเวทนา”
“โอ๊ะ โกรธด้วย ถ้าฉันจับ เธอจะทำอะไรฉันได้”
…..
ลู่ฝานรีบเดินเข้าไป เห็นนักเลงสามคนกำลังยืนล้อมลวนลามผู้หญิงคนหนึ่ง ลูบหน้าผู้หญิงเป็นระยะ
เขาอึ้งไปเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้คือสุ่ยเชียนโหรว คิดไม่ถึงว่าเธอยังยืนอยู่ตรงนั้น ที่ผู้อาวุโสอีซูผนึกเอาไว้ ทำให้เธอยืนอยู่ตรงนี้เป็นวัน
ลู่ฝานกระแอมเบาๆ สองครั้ง ทำให้นักเลงสามคนนี้หันมามองตัวเอง
สีหน้าของนักเลงทั้งสามคนเปลี่ยนไปทันที แม้พวกเขาจำไม่ได้ว่าลู่ฝานคือใคร แต่เห็นกระบี่หนักด้านหลังลู่ฝาน ก็รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถรับมือคนคนนี้ได้
โดยเฉพาะตอนที่สีหน้าลู่ฝานเคร่งขรึม มีกลิ่นอายความตายแผ่ออกมาบนตัวเขาอัตโนมัติ
แม้เป็นนักบู๊ทั่วไป อยู่ภายใต้กลิ่นอายความตายของลู่ฝาน ก็รู้สึกสั่นไปทั้งตัว จิตวิญญาณการต่อสู้ลดลง ไม่ต้องพูดถึงพวกนักเลงที่หูตามืดบอดพวกนี้เลย
“นายอย่าเข้ามา!”
นักเลงที่เป็นหัวหน้าเอามีดออกมา
มีดเป็นมีดปังตอ ลู่ฝานเห็นแล้วเกือบหัวเราะออกมา
“ไสหัวไป”
ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบ
นักเลงทั้งสามคนมองหน้ากัน เหมือนยังไม่ยอมไป
ลู่ฝานขมวดคิ้ว กลิ่นอายความตายพลุ่งพล่าน จู่ๆ นักเลงสามคนทรุดลงบนพื้น หลักจากนั้นหนีหัวซุกหัวซุนเหมือนเห็นผี
ลู่ฝานเดินเข้ามามองสุ่ยเชียนโหรวแล้วพูดว่า “คุณสุ่ย ขอโทษด้วย เหมือนทุกคนลืมคุณไปแล้ว มีอะไรให้ผมช่วยไหม”
สุ่ยเชียนโหรวพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ช่วยปลดมันออกหน่อย”
ตอนเธอพูด ไม่เหมือนกำลังขอความช่วยเหลือ แต่เหมือนกำลังออกคำสั่ง
ลู่ฝานเข้าใจทันทีว่าทำไมเธอถึงถูกทิ้งไว้ที่นี่คนเดียว
ลู่ฝานเอามือวางบนไหล่สุ่ยเชียนโหรว จะใช้ปราณชี่ของตัวเองปลดผนึกให้สุ่ยเชียนโหรว
แต่เขาเพิ่งวางมือลงไป สุ่ยเชียนโหรวพูดด้วยเสียงดุดันว่า “ทำอะไร เอามือสกปรกของนายออกไป”
ลู่ฝานอึ้งไป หลังจากนั้นขมวดคิ้วพูดว่า “คุณสุ่ย ผมกำลังช่วยเธอปลดผนึกอยู่”
สุ่ยเชียนโหรวกัดฟันพูดว่า “แล้วปลดได้หรือยัง”
ปราณชี่ของลู่ฝานเข้าไป จู่ๆ พบว่าในตัวสุ่ยเชียนโหรวไม่มีปัญหาอะไรเลย พลังเคลื่อนไหวอย่างอิสระ ดูเหมือนเป็นการผนึกจากภายนอก เหมือนค่ายกลยึดติดกับพื้น มัดเธอเอาไว้ที่นี่ ไม่สามารถขยับไปไหนได้
ลู่ฝานดึงมือกลับมาแล้วพูดว่า “ไม่ได้”