Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1438 ซากศพระดับจักรพรรดิ

ตอนที่ 1438 ซากศพระดับจักรพรรดิ

ฟู่! ฟู่!

หนึ่งเดือนให้หลัง หลินสวินพ่นลมหายใจดังฟู่ นั่งขัดสมาธิลงกับพื้นโดยไม่ลังเล เริ่มตั้งจิตทำสมาธิ

เขาเพิ่งผ่านการต่อสู้หฤโหดมาหมาดๆ ทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยแผลเหวอะหวะ หยาดเลือดไหลเอ่อ แต่เขากลับเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร พยายามฟื้นคืนสภาพ

ฮูม!

พลังกฎเกณฑ์ไร้มรณะไหลเวียนทั่วกายทั้งบนล่าง ปรับสภาพบาดแผลทั่วร่างของเขาให้กลับคืนสภาพเดิมด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ

หนึ่งเดือนมานี้หลินสวินลืมไปแล้วว่าตัวเองผ่านการเข่นฆ่าอันนองเลือดดุเดือดมามากน้อยเท่าไร

มีหลายครั้งหลายคราที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกฉีกทึ้งท่อนแขน ถูกจ้วงแทงหน้าอก ถูกบดขยี้แผ่นหลัง ถูกตัดขาทั้งสองข้าง…

หากไม่ได้อยู่บนเส้นทางกายหยาบบรรลุอริยะของผู้บำเพ็ญหลอมกายที่พลังการคืนสภาพน่าตกใจ หากไม่ใช่เพราะมีกฎเกณฑ์ไร้มรณะทำการรักษา หลินสวินยังสงสัยว่าตนจะยืนหยัดต่อไปได้หรือไม่

แต่ว่าหลังผ่านประสบการณ์ฆ่าฟันดุเดือดที่ชวนเขย่าขวัญครั้งนี้ ทำให้ความเดือดดาลในตอนแรกเริ่มของหลินสวินค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความเคยชินและสงบนิ่ง เริ่มปรับตัวให้ชินเหมือนเป็นปกติ

ฮือๆๆ…

เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา กลางห้วงอากาศไกลออกไปก็มีเสียงปานผีสางโหยไห้หมาป่าเห่าหอนดังขึ้นระลอกหนึ่ง ไอสังหารพลุ่งพล่านราวกับเมฆทะมึนปั่นป่วน หวีดหวิวลอยมา

สวบ!

หลินสวินหยัดตัวขึ้นจากการนั่งสมาธิ สีหน้าเยือกเย็น กระโจนพรวดออกไป

“ฆ่า!”

การต่อสู้ปะทุขึ้นอีกครั้งอย่างไม่น่าแปลกใจ

เมื่อเทียบกับหนึ่งเดือนก่อน ในแง่การต่อสู้ทางสายหลอมกาย หลินสวินเหมือนถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก เกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าคว่ำดิน

ร่างกายราวกับเตาหลอม สารกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณทั้งร่างควบหลอมเดือดพล่านทั้งตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พลังกายถูกควบคุมและขับเคลื่อนโคจรได้อย่างถนัดมือ

วิชาต่อสู้หลอมกายทั้งปวงยิ่งถูกหลอมรวมเข้ากับพลังวิชามหามรรค โบกสะบัดดั่งใจอย่างชำนาญช่ำชอง ปรากฏท่วงทำนองที่ราวกับเอิบอิ่มนิ่งขรึมไม่ปาน

นี่ก็คือสิ่งที่หลินสวินได้รับจากการหลอมกายในศึกฆ่าฟันตลอดหนึ่งเดือนมานี้ ถึงแม้พลังปราณจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่พลังต่อสู้นั้นไม่เหมือนที่ผ่านมาตั้งนานแล้ว

ก็เหมือนหยกที่ไม่ได้เจียระไนชิ้นหนึ่ง เริ่มสำแดงประกายที่สามารถสะเทือนโลกหล้า!

……

ในโลกอันมืดมิด หญิงลึกลับเดินมาเป็นระยะทางยาวนานมากแล้ว ระหว่างทางทิวทัศน์อัปมงคลและพิสดารอุบัติขึ้นอยู่ตลอด

นางรู้ดีว่าหากเปลี่ยนเป็นพวกระดับอริยะเหล่านั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินมาถึงตอนนี้เหมือนกับตน

เพราะความอัปมงคลและแปลกพิสดารพวกนั้น เพียงพอจะสร้างการโจมตีถึงแก่ชีวิตให้กับเหล่าอริยะได้!

แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของหญิงลึกลับเลยด้วยซ้ำ

เพราะมีแต่นางเท่านั้นที่เข้าใจว่านี่เป็นโลกแบบไหน

ทว่าขนาดนางเองยังคิดไม่ถึง ว่าในสมรภูมิกระหายเลือดถึงกับมีโลกเช่นนี้อยู่หนึ่งแห่ง เรื่องนี้ทำให้ในใจนางเริ่มไม่อาจสงบได้เช่นกัน

ก่อนจะพาหลินสวินมาที่นี่ นางได้สำรวจโลกมืดมิดนี้เป็นเวลาหนึ่งปี น่าเสียดาย จนป่านนี้ก็ยังไม่พบคำตอบที่นางแสวงหา

เพราะโลกนี้ดำรงอยู่นานเกินไป เบาะแสมากมายล้วนถูกกำจัดไปตามการกัดกร่อนของกาลเวลา ไม่สามารถอนุมานความจริงบางส่วนได้อีกต่อไป

เรื่องนี้ทำให้หญิงลึกลับอดทอดถอนใจไม่ได้ อริยะสามารถควบคุมพลังแห่งห้วงอากาศว่างเปล่าได้ แต่กฎเกณฑ์แห่งเวลานั้น ต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิก็ยังยากจะสัมผัส ไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน!

“ถึงแล้ว”

ท่ามกลางความมืดมิดเบื้องหน้า ปรากฏพื้นที่ผุพังยุ่งเหยิง ทั้งกว้างใหญ่และไร้ขอบเขต ให้สัมผัสที่กว้างขวางประหนึ่งภาพลวงตาเวิ้งว้างแก่ผู้คน

เพียงแต่ที่นั่นเต็มไปด้วยกลิ่นอายทำลายล้าง แผ่สัมผัสแห่งความโดดเดี่ยวและดับสูญ

“ขนาดรากฐานมหามรรคยังไม่เหลือแล้ว…”

หญิงลึกลับยืนอยู่เนิ่นนาน และนิ่งเงียบไปนาน นางคิดไม่ตก บุคคลระดับจักรพรรดิที่ทำให้นางรู้สึกสะท้านสะเทือนหาใดเปรียบคนหนึ่ง เหตุใดถึงมีจุดจบเช่นนี้ได้

นี่ไม่สมควรอย่างยิ่ง

น่าเสียดาย จากฝีมือในปัจจุบันของนางกลับไม่สามารถหยั่งรู้ความจริงภายในนั้นได้

เพราะเวลายาวนานเกินไป

กาลเวลาไม่เพียงเปลี่ยนแปลงโลกได้ ยังกำจัดร่องรอยส่วนหนึ่งได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นระดับจักรพรรดิหรือมดตัวจ้อย เมื่อตายไปย่อมต้องถูกพลังแห่งกาลเวลากัดกร่อน จากนั้นก็ถูกกำจัดไป

สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันอาจจะเป็น… ร่องรอยของพวกระดับจักรพรรดินั้น หากคิดจะให้กาลเวลากำจัดทิ้งไปอย่างสิ้นเชิงก็คงไม่ง่ายดายเช่นนั้น

ดังนั้นถึงทำให้หญิงลึกลับได้เห็นทุกอย่างเบื้องหน้านี้

“จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของสมรภูมิกระหายเลือด… หรือว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับเจ้า”

เนิ่นนานหญิงลึกลับพึมพำเสียงเบา

……

สามเดือนให้หลัง

พร้อมๆ กับเสียงดังกระหึ่ม รอบกายหลินสวินปรากฏเหวลึกขึ้นมา พลังขับเคลื่อนพลุ่งพล่านเป็นฐานตั้ง ห้อทะยานอยู่ในนั้น

มรรคดับดารากลืนกิน!

เพียงแต่ว่าครั้งนี้กลับถูกหลินสวินใช้พลังหลอมกายโคจรออกไป

ฮู้ม!

เพียงไม่กี่อึดใจภูตผีมากกว่าสิบตัวก็ถูกหลินสวินสังหารเกลี้ยงรวดเดียว ถูกกำจัดสิ้นซาก

ทอดสายตามองออกไป ในโลกแถบนี้ไม่มีไอสังหารโผล่ขึ้นมาอีกเลยแม้แต่สายเดียว เงียบกริบเวิ้งว้าง เย็นเยียบทั้งแถบ

สีหน้าหลินสวินไม่สุขไม่ทุกข์ ไร้อารมณ์แปรปรวน สัมผัสการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอายทั่วร่างโดยละเอียด เนิ่นนานกว่าจะโรยตัวลงมาจากห้วงอากาศอย่างแผ่วเบา เก็บงำกลิ่นอายทั่วร่างเอาไว้

สามเดือน การเข่นฆ่าดุเดือดที่มากมายไม่จบไม่สิ้น

การต่อสู้ระหว่างความเป็นความตายครั้งแล้วครั้งเล่า

สิ่งที่ได้มาคือการเปลี่ยนแปลงพลังหลอมกายครั้งแล้วครั้งเล่า!

หากเป็นสามเดือนก่อน หลินสวินคิดไม่ถึงเด็ดขาดว่า ในแง่มรรคหลอมกายตนจะถึงกับมีศักยภาพแฝงที่ไม่เคยขุดพบมากมายขนาดนี้

เรื่องนี้ก็ทำให้หลินสวินยิ่งเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ หลอมกายกับหลอมปราณนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตนในอดีตยังดูเบาความอัศจรรย์ของมรรคาหลอมกายอยู่

ในระดับเดียวกัน ผู้หลอมกายครอบครองพลังและรากฐานที่สามารถกดข่มผู้หลอมปราณ ประโยคนี้ไม่เกินจริงเป็นอันขาด

ขณะนี้หลินสวินเองก็ได้สัมผัสเรื่องนี้ด้วยตนเองแล้ว

“รู้สึกอย่างไรบ้าง”

หญิงลึกลับปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“ดีมาก”

หลินสวินขบคิดก่อนกล่าวยิ้มๆ

“เช่นนั้นก็เปลี่ยนไปที่อื่นอีกแล้วกัน”

ขณะพูดหญิงลึกลับก็พาหลินสวินหายตัวไปกลางอากาศแล้ว

ครู่ต่อมาหลินสวินมาโผล่ในอีกโลกหนึ่ง มืดมิด เวิ้งว้างและเย็นเยียบเหมือนเดิม

และไอสังหารก็กลายเป็นพายุโหมกระหน่ำเดือดพล่านกลางฟ้าดินอีกเหมือนเดิม

สิ่งเดียวที่ต่างออกไปคือไอสังหารพวกนั้นน่าสะพรึงเกินไป แข็งแกร่งกว่าไอสังหารที่เคยพบเจอมาในโลกก่อนหน้านั้นถึงหนึ่งช่วงใหญ่ๆ!

“ต้องระวังหน่อย ไอสังหารที่นี่ไม่ธรรมดา”

หญิงลึกลับทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค ก็ทิ้งหลินสวินที่ทำหน้าจนคำพูดให้ยืนโดดเดี่ยวตัวคนเดียวอยู่ตรงนั้น แล้วลอยตัวจากไป

ควรรู้ว่าจนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้แน่ชัดว่านี่คือสถานที่แบบไหนกันแน่!

ฮู้ม!

ฟากฟ้าไกลๆ ไอสังหารซัดโหมเข้ามาดั่งกระแสน้ำเชี่ยว

ฉับพลันนั้นหลินสวินเข้าสู่สถานะเตรียมต่อสู้โดยสัญชาตญาณ ความคิดฟุ้งซ่านในหัวหายไปอย่างสิ้นเชิง เริ่มเปิดศึกต่อสู้

นี่คือสัญชาตญาณการต่อสู้อย่างหนึ่งที่บ่มเพาะจากการเข่นฆ่าอย่างต่อเนื่องในช่วงสามเดือนมานี้!

“คว้าโอกาสไว้ให้ดีเถิด คราวหน้าคิดจะมาที่นี่ เกรงว่าคงไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว…”

กลางความมืด หญิงลึกลับพูดกับตัวเองเสียงเบา

นางสัมผัสได้แล้วว่าใช้เวลาไม่นานนัก ทุกอย่างที่นี่ก็จะกลายเป็นพลังต้นกำเนิดอย่างหนึ่งและหายไปจากโลก

และจากการอนุมานของนาง นี่น่าจะเกี่ยวข้องกับจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่ใกล้จะปรากฏในสมรภูมิกระหายเลือด!

เวลาเคลื่อนคล้อย พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งปีแล้ว

หลินสวินตื่นจากการทำสมาธิ ตอนที่เปิดเปลือกตาก็เหมือนสายฟ้าแลบคมกริบสายหนึ่งปราฏขึ้น ฉีกทึ้งห้วงอากาศ

เขาในตอนนี้ต่างไปจากครึ่งปีก่อนแล้ว

ผิวพรรณทั่วกายขาวเนียนดุจหยก เจือแสงระเรื่อแวววาว ดูเหมือนปกติทั่วไป แต่กลับแข็งแกร่งพอๆ กับยอดศาสตรามรรคราชัน

และทุกๆ การเคลื่อนไหวระหว่างกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ผิวหนัง ล้วนเหมือนภูเขายักษ์กำลังชนปะทะกันก็ไม่ปาน เกิดเสียงสะเทือนกังวานราวกับฟ้าคำราม

สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั่วร่างเขาดั่งมังกรคำราม ควบรวมห้อทะยาน พลังชีวิตที่บรรจุในเลือดหยดหนึ่งถึงขนาดเทียบได้กับโอสถราชันหายาก มีพลังพลุ่งพล่านอย่างน่าเหลือเชื่อ

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ในครึ่งปีมานี้พลังหลอมกายของหลินสวินก็ทะลวงสู่ขั้นสมบูรณ์ระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดแล้ว!

นอกจากนี้การเข่นฆ่าดุเดือดนับครั้งไม่ถ้วนในช่วงครึ่งปีมานี้ ทำให้ความเชี่ยวชาญในการต่อสู้ด้านหลอมกายของหลินสวินพัฒนาแบบก้าวกระโดดด้วย

เวลานี้ต่อให้เฒ่าโดดเดี่ยวได้เห็นเขา เกรงว่าคงต้องร้องประหลาดใจอย่างแน่นอน

เมื่อก่อนพลังหลอมกายของหลินสวินยังขาดความคงที่ ด้อยการเคี่ยวกรำและการเลื่อนขั้นอย่างแท้จริง แต่ตอนนี้ข้อบกพร่องเหล่านี้หายไปนานแล้ว!

ถึงขั้นที่ในการเข่นฆ่านับครั้งไม่ถ้วนนี้ พลังหลอมกายของเขาถูกเคี่ยวกรำจนถึงขั้นสมบูรณ์สุดขีดไปนานแล้ว

“เหลืออีกแค่ระดับขั้นเดียว ก็จะเทียบชั้นกับพลังหลอมปราณได้แล้ว…”

หลินสวินสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ในใจออกจะตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน

เมื่อก่อนเพราะข้อบกพร่องของในมรรคาหลอมกาย ทำให้หลังจากเขาเข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือดก็ทุ่มเทกายใจให้กับมรรคาหลอมกาย

ตอนนี้เพิ่งผ่านไปแค่หนึ่งปีเศษๆ เท่านั้น พลังหลอมกายก็มีพัฒนาการแบบก้าวกระโดด ทำให้เขาพลอยผ่อนคลายลงด้วยเล็กน้อย

“นายท่าน!” เสี่ยวอิ๋นโฉบพุ่งมาจากไกลๆ กล่าวว่า “ข้าทะลวงอมตะเคราะห์ด่านห้าแล้ว!”

หลินสวินประหลาดใจ “ไวเช่นนี้เชียว?”

เขาจำได้แม่น ก่อนจะเข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือด เสี่ยวอิ๋นเพิ่งจะเลื่อนระดับเป็นอมตะเคราะห์ด่านสามเท่านั้น

แต่ตอนนี้เขาก้าวสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านห้าแล้ว

ควรรู้ว่าปราณของเสี่ยวอิ๋นนั้น หากต้องการข้ามอมตะเคราะห์ก็สุดแสนจะอันตรายและยากลำบาก ไม่เหมือนกับตนที่แค่ต้องฝึกปราณต่อไป พลังปราณก็จะเพิ่มสูงเหมือนน้ำขึ้นแล้ว

เสี่ยวอิ๋นกล่าวด้วยสีหน้าเคารพ “ดีที่มีคำชี้แนะของผู้อาวุโสท่านนั้น ให้ข้ามุ่งหน้าสู่พื้นที่ลึกลับแห่งหนึ่ง และได้รับการลับคมที่แสนล้ำค่า”

หลินสวินเอี้ยวศีรษะก็เห็นหญิงลึกลับเดินมาจากไกลๆ เขาเพิ่งกระจ่าง ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง

ครึ่งปีก่อนตอนที่หลินสวินทำการเคี่ยวกรำอยู่นั้น ก็ได้เรียกเสี่ยวอิ๋นออกมา ปล่อยให้เสี่ยวอิ๋นเคลื่อนไหวอย่างอิสระ ไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าหมอนี่กลับได้รับโชคไปด้วย

คิดถึงตรงนี้เขาก็หยัดตัวขึ้นกล่าวว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งนัก”

หญิงลึกลับกล่าวว่า “พวกเราควรไปกันได้แล้ว”

หลินสวินอึ้ง “ไปหรือ”

ครึ่งปีมานี้เขาเอาแต่รบราฆ่าฟันและเคี่ยวกรำพลังอยู่ที่นี่มาตลอด ตอนนี้จู่ๆ จะต้องจากไป ในใจกลับรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง

“อืม เจ้าสงสัยไม่ใช่หรือว่าที่นี่คือสถานที่แบบไหนกัน บอกเจ้าตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ที่นี่… คือโลกที่วิวัฒน์ขึ้นจากร่างหลังเปื่อยสลายของบุคคลระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง”

คำพูดหญิงลึกลับเพิ่งสิ้นสุด หลินสวินและเสี่ยวอิ๋นก็พากันตะลึงอึ้งค้าง

ร่างของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง ถึงกับวิวัฒน์เป็นโลกตรงหน้านี้เชียว?

“ระดับจักรพรรดิ ภายในกายย่อมกลายเป็นจักรวาล หนึ่งจุดหนึ่งทวารล้วนเป็นดั่งโลกหนึ่งใบ อวัยวะตันห้ากลวงหก ห้วงนิมิต ระหว่างร้อยแกนกระดูกแขนขาของเขา… ล้วนกว้างใหญ่ไพศาลดุจดั่งจักรวาล”

“สิ่งนี้เรียกว่า ‘ณ กายาแลดวงจิต ล้วนแปรเปลี่ยนเป็นจักรวาล ’ มีเพียงครอบครองปราณระดับนี้เท่านั้น จึงจะเรียกได้ว่าเป็นระดับจักรพรรดิอย่างแท้จริง”

หญิงลึกลับกล่าว “ดังเช่นโลกที่เจ้าเหยียบอยู่นี้ ก็วิวัฒน์มาจากจุดชีพจรเล็กๆ ที่ไม่เด่นสะดุดตาจุดหนึ่งภายในร่างของบุคคลระดับจักรพรรดิผู้นี้”

“ส่วนไอสังหารพวกนั้นที่เจ้าต่อสู้ ล้วนเป็นสิ่งที่หลงเหลืออยู่หลังจากระดับจักรพรรดิคนนี้เสื่อมสลาย เพียงแต่ถูกกาลเวลากัดเซาะจนกระท่อนกระแท่น เหลืออยู่ไม่เท่าไร อย่าว่าแต่เจ้าเลย ขนาดอริยะมาเองก็ยังต้านแรงโจมตีของไอสังหารระดับนี้ไม่ไหว”

คำพูดแค่ไม่กี่คำ ทำให้หลินสวินตกตะลึงจนพูดไม่ออกอยู่ตรงนั้น

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท