หลังผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม ข่าวที่ลู่ฝานมาถึงเมืองหลวง ถูกเผยแพร่ออกไปเหมือนไฟลามทุ่ง
การแพร่กระจายของข่าว มักจะเร็วกว่าบินเสียอีก การต่อสู้ที่ประตูเมือง ด้วยการสนทนาของฝูงชน มันแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่มีประชากรมากที่สุด จึงสนใจเรื่องพูดคุยยามว่างแบบนี้เป็นที่สุด
โดยเฉพาะเรื่องที่ลู่ฝานเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ก็สู้กับหานสงตระกูลหานเป็นอันดับแรก อีกทั้งยังได้รับชัยชนะด้วย ข่าวสะเทือนขวัญแบบนี้ ยิ่งแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน มีคนว่างคุยเรื่องนี้ตามถนนและตรอกซอกซอยเต็มไปหมด
มีคนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น เอารายชื่อประเทศออกมาเทียบกัน คาดเดาว่าพละกำลังของลู่ฝานเป็นอย่างไร
คนอายุน้อยที่มีความทะเยอทะยานจำนวนมาก สอบถามไปทั่วว่าตอนนี้ลู่ฝานอยู่ที่ไหน พวกเขาอยากประลองกับลู่ฝาน ไม่แน่สู้เพียงครั้งเดียวอาจทำให้มีชื่อเสียงก็ได้
สรุปแล้ว สถานที่ที่มีสิ่งคาดเดาไม่ได้รวมกันอยู่ เพราะการมาถึงของลู่ฝาน ทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้น
ดูเหมือนตอนนี้ แม้ความปั่นป่วนนี้ไม่ใหญ่ แต่ได้แผ่ขยายออกไปแล้ว
ศูนย์กลางเมืองหลวง ในบ้านที่มีบริเวณกว้างและประตูสูงใหญ่ของครอบครัวหนึ่ง ผู้อาวุโสฟังรายงานจากลูกน้อง แล้วยิ้มบางๆ ออกมา
“ในที่สุดก็มาแล้ว อืม ถือว่าเร็วมาก ดูเหมือนไม่เจออะไรวุ่นวายตลอดทาง”
ผู้อาวุโสยิ้มกับนักบู๊ด้านหน้าแล้วพูดว่า “สังเกตความเคลื่อนไหวของเขาต่อไป ในเวลาเดียวกันก็ปล่อยข่าวออกไปสักหน่อย บอกให้คนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นอย่าไปหาเรื่องเขา พวกนักบู๊ที่เป็นนักเลงในเมืองหลวง ถ้ากล้ามาวุ่นวาย ระวังสุนัขรับใช้ของพวกเขา!”
แม้ผู้อาวุโสพูดด้วยรอยยิ้ม แต่นักบู๊ด้านหน้าเขา กลับรู้สึกถึงเจตนาฆ่าที่ออกมาจากคำพูด
“ครับผู้อาวุโสเทียน!”
นักบู๊คำนับตอบ แล้วรีบเดินออกไป
ผู้อาวุโสนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก หยิบแก้วชาขึ้นมาลิ้มรสเบาๆ
“ลู่ฝานเอ๋ย นายต้องสู้เพื่อสถาบันสอนวิชาบู๊นะ ขึ้นอยู่กับนายแล้ว!”
อีกด้านหนึ่ง ในห้องชั้นยอดของซ่องโสเภณีแห่งหนึ่ง องค์ชายรองฉินฝาน กำลังฟังเพลงอย่างมีความสุข
เสียงนุ่มนวลของวงดนตรีที่ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีประเภทไหมและไผ่ (ซอเอ้อหู ผีผาและขลุ่ย) บวกกับผู้หญิงมากมายที่เต้นรำอย่างดงามอ่อนช้อย
ฉินฝานส่ายหัวไปมาอย่างมีความสุข กินขนมไปพลาง รับชมไปพลาง
เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา เมื่อเห็นฉินฝาน หรี่ตาสามเหลี่ยมทันที รอยยิ้มถ่อมตัวผุดขึ้นมาบนใบหน้าลามก เขาคุกเข่าแล้วพูดว่า “องค์ชาย ผู้น้อยมาส่งข่าวให้คุณ”
ฉินฝานกวักมือเรียกเด็กหนุ่ม แล้วพูดว่า “เข้ามาพูดสิโฉวซิง มีข่าวอะไร ถ้าเป็นข่าวที่ไม่น่าสนใจหรือน่าสนุก วันนี้ฉันจะไม่เห็นความดีความชอบของนายนะ!”
โฉวซิงรีบคลานมาข้างฉินฝาน แล้วพูดเบาๆ ว่า “องค์ชาย คนที่คุณให้ผมจับตามอง เขามาแล้วครับ”
“คนไหน”
ฉินฝานพูดอย่างไม่สนใจ เหมือนเขาลืมไปแล้ว
โฉวซิงพูดเบาๆ ว่า “ลู่ฝานไงครับ! องค์ชาย ลู่ฝานแห่งเมืองตงหวามาแล้วครับ”
ฉินฝานครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็คิดออกแล้ว
“อ๋อ ลู่ฝานคนนั้นเหรอ! เขาควรมาตอนฤดูใบไม้ผลิปีหน้าไม่ใช่เหรอ คิดไม่ถึงว่ายังไม่ผ่านเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีเลย เขาก็มาถึงแล้ว ดีเหมือนกัน มาทันผ่านเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีพอดี เป็นเรื่องที่ดี นายช่วยฉันจับตาดูว่าเขาพักที่ไหน แล้วค่อยรายงานฉันอีกที”
โฉวซิงรีบตอบรับ แล้วก้มหน้าลงอีก
จู่ๆ ฉินฝานนึกอะไรขึ้นได้ จึงถามว่า “ไม่ใช่สิ นายรู้ได้ยังไงว่าเขามาเมืองหลวง”
ฉินฝานมองโฉวซิง แววตามีความประหลาดใจ
โฉวซิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมกำลังจะรายงานคุณเลยครับ ลู่ฝานเพิ่งมาถึงเมืองหลวง แล้วสู้กับหานสงแห่งตระกูลหานที่ประตูเมือง ว่ากันว่าหานสงจำลู่ฝานที่เป็นผู้แข็งแกร่งรายชื่อประเทศได้ เลยดึงดันจะสู้กับเขาครับ”