Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1464 ตกตะลึงแปลกใจ

ตอนที่ 1464 ตกตะลึงแปลกใจ
ทะลวงขั้นแล้ว!
ชายหนุ่มจักจั่นทองมีสายตาระดับใด ชั่วพริบตาก็มองออก ว่าพลังหลอมกายของหลินสวินได้ก้าวจากระดับอมตะเคราะห์ด่านแปดสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้าแล้ว
ก้าวเดียวทะลวงขั้น!
ตูม…
แสงมรรคเก้าพิสุทธิ์ไหลวนทั่วร่างหลินสวิน ความอิดโรยและเหนื่อยล้าทั่วร่างเขาพลันหายไป ราศีจับไปทั้งตัว กลิ่นอายแข็งแกร่ง
ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มพลางถอนใจ หันกลับไปเดินหน้าต่อ
ด้านหลังเขา หลินสวินก็ยิ้มแล้วก้าวเท้าเร่งตามไป
บันไดขั้นที่ห้าพัน
ขั้นที่หกพัน…
ขั้นที่เจ็ดพัน…
ตลอดทางที่ก้าวไปข้างหน้า จิตใจของหลินสวินเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์แล้ว พลังหลอมกายเลื่อนเป็นระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้า ในการต้านทานแต่ละครั้งจะได้รับการเคี่ยวกรำอย่างต่อเนื่อง
นี่กลับเป็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง
พลังเพิ่งเลื่อนขั้นเป็นช่วงที่ยังไม่มั่นคง สั่นคลอนรากฐานที่สุด แต่ในการต้านทานเพื่อขึ้นบันไดหินแต่ละครั้งก็เหมือนหินลับมีดก้อนหนึ่ง ไม่เพียงทำให้ระดับของหลินสวินมั่นคงในการเคี่ยวกรำแต่ละครั้ง ยังทำให้ควบคุมพลังหลอมกายที่เกิดการแปรสภาพได้ตามต้องการในเวลาอันสั้นที่สุดด้วย
‘สำหรับคนใหญ่คนโตพวกนั้น จุดเปลี่ยนใหญ่ในตำหนักคือวาสนาบรรลุจักรพรรดิที่พวกเขาต้องช่วงชิง แต่สำหรับข้า แค่การเคี่ยวกรำตรงหน้านี้ ความจริงก็เป็นวาสนาอย่างหนึ่งแล้ว…’
ในใจหลินสวินเกิดการรู้แจ้ง
เขาเอื้อมไม่ถึงจุดเปลี่ยนใหญ่นั้นก็จริง
แต่หน้าตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์นี้กลับมีวาสนาที่เหมาะกับเขาเช่นกัน!
แต่ไม่นานหลินสวินก็ไม่อาจคิดมากความ เมื่อก้าวสู่บันไดมรรคขั้นที่เจ็ดพันหกร้อย เขาสัมผัสได้ถึงสัญญาณเกินกำลังอีกครั้ง
ทั้งพลังหลอมกายยังถูกผลาญไปอีกครั้งจนแทบไม่มีเหลือในการต้านทานก่อนหน้านี้
ครั้งนี้หลินสวินไม่ได้ฝืนอีก โคจรพลังหลอมปราณอย่างเงียบเชียบ ยามขึ้นบันไดก้าวย่างของเขาเปลี่ยนเป็นมั่นคงขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ตลอดทางนี้ชายหนุ่มจักจั่นทองไม่ส่งเสียง
หลินสวินก็ไม่พูดอะไรมาก ทุ่มเทกายใจทั้งหมดไปกับการต้านแรงสะเทือนที่น่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ นั่น
ยิ่งก้าวสูงขึ้นไปแรงสั่นสะเทือนก็ยิ่งน่ากลัว ต่อให้โคจรพลังหลอมปราณก็ยังทำให้หลินสวินกินแรงหาใดเปรียบ
นี่ก็เหมือนคู่ต่อสู้ของเขาในตอนแรกเป็นแค่พวกธรรมดา แต่ยิ่งก้าวสูงขึ้นไป พลังต่อสู้ของคู่แข่งที่เจอก็ยิ่งแข็งแกร่ง
กระทั่งตอนนี้เขาถึงขั้นมีความรู้สึกว่ากำลังโรมรันกับอริยะเทียมกลุ่มหนึ่งอยู่!
แรงกดดันเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว!
เมื่อก้าวสู่บันไดหินขั้นที่แปดพันสองร้อย เขาก็โคจรพลังหลอมจิตเต็มกำลังโดยไม่ลังเล
แต่เมื่อผ่านไปเพียงหนึ่งถ้วยชา หลินสวินก็รู้สึกเกินกำลังอีกครั้ง
บันไดนี้รวมแล้วมีเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้น ยิ่งก้าวขึ้นไปแรงสั่นสะเทือนก็ยิ่งแข็งแกร่ง โดยเฉพาะเมื่อเหยียบบันไดขั้นที่เก้าพัน ร่างกายหลินสวินก็ซวนเซทันที เกือบจะถูกซัดถอยหลังออกไป!
เขาพลันกัดฟันกรอด ตั้งท่ารับมือเต็มกำลัง
ในเวลาต่อมาสีหน้าหลินสวินจริงจังขึ้นเรื่อยๆ หนทางที่ก้าวเดินนานเข้าก็ยิ่งหนักหน่วง ทั้งตัวราวกับเตาหลอมผลาญพิภพที่ลุกโชน ส่องประกายถึงขีดสุด
เก้าพันหนึ่งร้อย
เก้าพันสองร้อย
เก้าพันสามร้อย
…ถึงตอนท้ายสุด ร่างกายของเขาสั่นเทาไปหมด กระดูกส่งเสียงเสียดสีราวต้านทานไว้ไม่อยู่ เส้นเลือดดำตรงใบหน้าปรินูนจนบิดเบี้ยวขึ้นมา
ยากเกินไปแล้ว!
นี่ยากลำบากกว่าศึกใหญ่ใดๆ ที่หลินสวินเคยเจอในอดีต ทำให้เจตจำนงทั้งตัวเขาแบกรับแรงกดดันอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ความจริงตั้งแต่เหยียบบันไดขั้นที่เก้าพัน ชายหนุ่มจักจั่นทองก็เตรียมการพร้อมแล้ว ยามหลินสวินยืนหยัดไม่อยู่จะเข้าไปช่วยเขาทันที
แต่จนถึงตอนนี้ก็ก้าวสู่บันไดขั้นที่เก้าพันเจ็ดร้อยแล้ว หลินสวินยังยืนหยัดอยู่ได้!
แต่ละก้าวของเขา ร่างกายจะโอนเอนเซไปมาราวกับเทียนกลางลม เหมือนจะล้มดับได้ทุกเมื่อ
แต่ทุกครั้งเขาจะยืนหยัดต่อไปได้อย่างปาฏิหาริย์
ฮู่ว… ฮู่ว…
เสียงลมหายใจกระชั้นถี่ของเขาราวกับกระบอกสูบลมที่ถูกดึง หยาดเหงื่อทั่วร่างไหลอาบดั่งกระแสน้ำ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
ชายหนุ่มจักจั่นทองอยากจะพูดแต่ก็หยุดปากไว้หลายครั้ง เกือบจะยื่นมือเข้าช่วยอย่างอดไม่อยู่หลายต่อหลายครา แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
หลินสวินกำลังพยายาม แล้วทำไมต้องให้เขายอมแพ้เวลานี้
ทันใดนั้นชายหนุ่มจักจั่นทองนึกถึงมหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ขึ้นมา ในปีนั้นมหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์มุ่งหน้าเย้ยฟ้า ผ่านด่านเคราะห์หมื่นรอบจนได้บรรลุจักรพรรดิ
หากไม่มีปณิธานและเจตจำนงที่แน่วแน่ ไหนเลยจะทำได้
และหลินสวินที่อยู่ตรงหน้า อย่างน้อยในด้านปณิธานและเจตจำนงก็ไม่ด้อยไปกว่ามหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ในปีนั้นแม้แต่น้อย ถึงขั้นมีแต่จะเหนือกว่า!
‘ผู้ทำการใหญ่ในอดีต ไม่เพียงแต่มีความสามารถเหนือธรรมดา ยังต้องมีเจตจำนงที่มั่นคงหนักแน่น คีรีดวงกมล… มีผู้สืบทอดที่ยอดเยี่ยมเพิ่มมาคนหนึ่งแล้ว…’
ชายหนุ่มจักจั่นทองทอดถอนใจอยู่ภายในใจ
ลำบากยิ่งนัก!
ลำบากอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ตั้งแต่กลับมายังโลกชั้นล่าง หลินสวินสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เกือบจะยืนหยัดไม่อยู่เป็นครั้งแรก
นี่ไม่ใช่การต่อสู้
แต่กลับทรมานและยากลำบากยิ่งกว่าการต่อสู้!
ต่อมาภายหลังร่างกายหลินสวินชาไปหมด จิตสำนึกล้วนว่างเปล่า อาศัยแค่เจตจำนงที่ไม่ย่อท้อยืนหยัดอยู่เท่านั้น
ความคิดอะไรล้วนไม่มี
โลกภายนอก… ทุกอย่างล้วนว่างเปล่า
การเดินไปข้างหน้า กลายเป็นสัญชาตญาณที่คงอยู่ตราบนิรันดร์
เส้นปราณหัวใจตรงหน้าอกของเขา ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดเปลี่ยนเป็นร้อนระอุ เหมือนกับดวงตะวันดวงหนึ่งที่กำลังลุกโชนในร่างของเขา แผ่คลื่นประหลาดพร่างพราวออกมา
ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดกำลังสั่นระรัวครวญคร่ำ คล้ายเมล็ดพันธุ์ที่ถูกซ่อนอยู่ใต้ดินมีสัญญาณว่าจะทะลวงหน้าดินออกมา
ทุกอย่างนี้หลินสวินไม่รับรู้ทั้งสิ้น
ขั้นที่เก้าพันเก้าร้อย
ขั้นที่เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบ
…มาถึงตรงนี้ ในใจชายหนุ่มจักจั่นทองยังตกตะลึง เขาไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มานานมากแล้ว
แต่เวลานี้กลับถูกหลินสวินกระตุ้นขึ้นมา!
ด้วยประสบการณ์และสติปัญญาของเขาก็พอจะคาดเดาเรื่องราวบนโลกเกือบทั้งหมดได้ แต่ครั้งนี้แม้แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่าหลินสวินจะสามารถยืนหยัดถึงตอนนี้ได้
นี่ก็คือเรื่องไม่คาดฝัน!
เรื่องไม่คาดฝันมักจะทำให้ผู้คนตกตะลึง ชายหนุ่มจักจั่นทองถึงขั้นนึกไม่ออกแล้วว่าครั้งก่อนคือเมื่อไหร่ และเป็นเรื่องอะไรที่ทำให้ตนคาดไม่ถึงและตกตะลึง
ดังนั้นเวลานี้ใจของเขาจึงไม่อาจสงบอยู่บ้าง
‘เข้าฌานจำศีลมาเป็นในกาลเวลาไร้สิ้นสุด ยามนี้เมื่อใกล้จะจากไปกลับมีเรื่องที่ทำให้ข้าคาดไม่ถึงเช่นนี้… เจ้าหนูนี่เป็นตัวแปรหนึ่งดังคาด’
สีหน้าของชายหนุ่มจักจั่นทองดูแปลกออกไป
มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า รอดพ้นเพียงหนึ่ง
คีรีดวงกมลไม่เคยรับศิษย์มานานหลายปี แต่กลับมาเลือกเด็กคนนี้ในยุคนี้ ผู้สืบทอดของคีรีดวงกมลจึงกลายเป็นห้าสิบห้าคน
จากมุมมองนี้ หรือในความลึกลับนี่จะซ่อนนัยลี้ลับอะไรไว้
ยิ่งไปกว่านั้นปัจจุบันตรงกับมหายุคพอดี และมหายุคก็เต็มไปด้วยตัวแปร เมื่อเจ้าหนุ่มที่เหมือนตัวแปรคนหนึ่งแสวงหามรรคในมหายุคที่ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้นี้ เส้นทางที่เลือกเดินจะเป็นอย่างไรกันแน่
พริบตานั้นชายหนุ่มจักจั่นทองรู้สึกใคร่รู้อย่างอดไม่ได้ อยากจะอยู่ดูมรรคาในภายหน้าของหลินสวินต่อ
แต่สุดท้ายเขาก็ยังอดกลั้นไว้
ด้วยหากครั้งนี้เขาไม่จากไป ภายหน้าก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว…
ขณะกำลังใคร่ครวญก็ได้ยินเสียงดังตึง
ชายหนุ่มจักจั่นทองหันกลับไปมอง ก็เห็นหลินสวินก้าวขึ้นมาทรุดตัวนั่งบนบันไดขั้นที่เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าแล้ว!
ที่นี่คือหน้าประตูใหญ่ของตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์
เก้าเก้ากลับสู่หนึ่ง[1] ไม่ว่าจะกี่เก้า ท้ายที่สุดก็ต้องคืนสู่หนึ่ง
ส่วนมหามรรคห้าสิบ เมื่อถูกจำนวนของอุบัติฟ้าตัดไป ก็คือหนึ่งเช่นกัน
เวลานี้หลินสวินดูเหมือนทรุดตัวนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างน่าอนาถหาใดเปรียบ แต่ในสายตาของชายหนุ่มจักจั่นทองกลับเผยความตกตะลึงแปลกใจยากปกปิด
ตะลึง คือตกตะลึง
แปลก คือแปลกใจ
เวลานี้ท่าทางของชายหนุ่มจักจั่นทองราวเห็นเรื่องไม่คาดฝันที่เหมือนปาฏิหาริย์มาเยือน ทำให้เขายากเข้าใจ และทำให้เขารู้สึกยินดีอย่างบอกไม่ถูก
ครู่ใหญ่เขาจึงค่อยๆ สงบลงแล้วเอ่ยกับตัวเอง “น่าสนใจ ที่แท้ก่อนหน้านี้ข้าก็มองเขาไม่ทะลุมาตลอด หาได้ยาก… ช่างหาได้ยาก…”
แต่เวลานี้หลินสวินที่ร่วงลงไปกองกับพื้นกลับไม่รู้สึกผ่อนคลายสักนิด ทั้งไม่สลบไปด้วยความอ่อนเพลียและหมดแรงเกินไป
เขาถึงกับไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงมาจากไหน กัดฟันแน่นกรอด ขยับร่างกายที่หมดความรู้สึกจนไม่ฟังคำสั่งนั้นขึ้นมานั่งขัดสมาธิทีละน้อยอย่างยากลำบาก
จากนั้นก็ค่อยๆ หลับตาลง
บนใบหน้าเห็นชัดว่าซีดเผือดอ่อนเพลียยากปกปิด แต่เวลานี้เขากลับเคร่งขรึมมีสง่า พาให้ผู้คนไหวหวั่น
………………………
[1] เก้าเก้ากลับสู่หนึ่ง สื่อถึงการเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ การวนกลับมาอีกครั้งและไม่มีที่สิ้นสุด
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท