บทที่ 10 ไอ้โง่
“ฉินเทียน !”
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ สถานการณ์ก็วุ่นวายขึ้น
“คนแซ่ฉิน แกยังกล้ามาอีกเรอะ !”
“มารนหาที่ตายรึไง ?” ซูเหวินปินโพล่งขึ้นด้วยตาแดงก่ำ
คนหนุ่มสาวรุ่นเดียวกันต่างกัดฟันถลึงตามอง ราวกับกำลังต่อสู้กัน
ฝ่ายฉินเทียนกลับไม่ได้สนใจ
เขาชำเลืองมองผ่านฝูงชนไปยังซูเป่ยซานที่นั่งอยู่ตรงกลาง ยิ้มเย็นพร้อมเอ่ย: “ขอโทษนะครับที่พวกเรามาช้า”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าซูเป่ยซานกระตุก
เมื่อเห็นสายตาของฉินเทียน ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงไม่กล้าสบตา
“พวกเราได้รับแจ้งว่าให้มางานเลี้ยงอาหารค่ำ”
“ถ้าหากไม่ต้อนรับ พวกเราก็จะออกไป”หยางยู่หลันกล่าวเสียงเย็นชา
แม้ว่าเธอในตอนนี้จะสูญเสียอำนาจไปหมดแล้ว แต่สถานะของเธอในตระกูลซูนั้นก็ยังพอมีความสำคัญอยู่บ้าง
ซูเหวินปินรวมทั้งคนรุ่นน้องหลายคนที่รีบวิ่งเข้ามา ก็ยังไม่กล้าเสียมารยาท พวกเขาหันไปมองทางซูเป่ยซานด้วยสายตาขอความเห็น
ซูเป่ยซานนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น: “ไม่ว่าอย่างไร ยู่หลันกับซูซูต่างก็เป็นคนตระกูลซูของพวกเรา”
“มาร่วมงานเลี้ยงครอบครัว ก็สมควรแล้ว”
“พวกเธอไปนั่งได้ ส่วนคนอื่นก็พอได้แล้วล่ะ”
“เหอะ ถ้าไม่ใช่คนไร้ค่าอะไรก็มีคุณสมบัติพอที่จะร่วมงานเลี้ยงตระกูลซูของพวกเราได้ทั้งนั้นแหละ !”
เห็นได้ชัดว่า คนไร้ค่าที่ว่านั้นหมายถึงฉินเทียน
ซูเป่ยซานไม่ยอมรับว่าฉินเทียนเป็นคนตระกูลซู และก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้เข้าร่วมงานเลี้ยงครอบครัว
เมื่อชายชราเอ่ยปากแสดงทัศนคติของเขาด้วยตนเอง คนอื่นๆ ในตระกูลจึงมองไปที่ฉินเทียนอย่างเย้ยหยัน
บางคนถึงกับหัวเราะออกมา
“คนแซ่ฉิน เป็นคางคกแต่อยากจะกินเนื้อหงส์ แกยังไม่รู้ตัวอีกเรอะว่าแกเป็นคนยังไง !”
“แกคู่ควรเหรอ ?”
“ยังไม่รีบไสหัวไปอีก !”
เสียงก่นด่าดังขึ้นทั้งสี่ทิศ
“พี่สะใภ้ ไม่มีที่ว่างแล้วล่ะ เธอพาซูซูไปเบียดๆ ตรงโต๊ะฝั่งนั้นเถอะ”
“ปูปีนี้อร่อยนะ พวกเธอคงซื้อไม่ได้ล่ะสิ ? วันนี้ก็กินให้มากหน่อยนะ”
ผู้หญิงที่พูดก่อนหน้านั้นกล่าวเสียงแหลม
โต๊ะฝั่งนั้นที่เธอพูดถึงก็คือตำแหน่งคนใช้ที่อยู่มุมห้อง
หยางยู่หลันหน้าแดง
พื้นเพเธอมาจากครอบครัวนักวิชาการของเจียงหนาน เป็นคนที่รักษาหน้าอย่างยิ่ง ในตอนนี้ถูกพูดจาถากถาง มันทำให้เห็นคนหน้าซื่อใจคดบนโลกใบนี้ได้จริงๆ
“ไม่เป็นไร”
เธอมองซูเป่ยซาน เอ่ยเสียงต่ำ: “คุณเป็นปู่ของซูซู และเป็นพ่อสามีของฉันด้วยเช่นกัน”
“ในฐานะลูกสะใภ้อย่างฉัน วันนี้มาเพื่อชี้แจงให้คุณได้เข้าใจกระจ่าง”
“หลังจากพูดเสร็จแล้ว พวกเราก็จะไป”
“เธอต้องการจะพูดอะไร ?”เมื่อเผชิญหน้ากับหยางยู่หลันที่กำลังโกรธเคือง ท่าทางซูเป่ยซานก็คลุมเครือ
เห็นได้ชัดว่าชายชราคนนี้มีความละอายใจ
เดิมทีหยางยู่หลันอยากพูดถึงเรื่องสิทธิบัตรที่อยู่ในมือเธอ ว่ามันเป็นเลือดเนื้อจากการทำงานหนักของซูซู ไม่อาจมอบให้ตระกูลซูได้ ขอให้พวกเขาปล่อยวาง
ส่วนเรื่องบริษัท เธอนั้นรับรู้แล้ว หวังว่าจะไม่ถูกก่อกวนอีกในอนาคต
ซูยู่คุนเดาออกว่าเธอต้องการจะพูดอะไร จึงขยิบตาให้กับภรรยาที่อยู่ข้างๆ
หวางเหม่ยรีบยิ้มพร้อมเอ่ย: “พี่สะใภ้ วันนี้วันเฉลิมฉลอง ถ้ามีเรื่องอะไรก็เอาไว้คุยกันหลังจบงานเถอะ”
“พวกเธอยังไม่รีบพาพี่สะใภ้ไปนั่งอีก”
“แล้วก็ซูซูอีก ดูแลพวกเขาสองแม่ลูกด้วย”
พวกเขาไม่ต้องให้หยางยู่หลันพูดมันออกมา เพราะถึงแม้ลูกชายของพวกเขาจะเป็นคนยึดครองบริษัทของหยางยู่หลันจริงๆ นั่นก็เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างก็รู้ดี
แต่ต่อหน้าคนมากมายแล้ว มันไม่ค่อยมีเกียรติสักเท่าไหร่
หญิงสาวหลายคนรีบเข้า ทำหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับดึงหยางยู่หลันไปนั่งอย่างกระตือรือร้น
หยางยู่หลันที่ไม่ได้ใส่ใจ อดไม่ได้ที่จะหันไปมองฉินเทียน
ซูยู่คุนเอ่ยเสียงเย็นชา: “ฉินเทียน ไม่ว่ายังไง นายได้ชื่อว่าเป็นสามีของซูซู ถือว่าเป็นคนของตระกูลซู”
“อยากเข้าร่วมงานเลี้ยงก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้”
“ฉันได้ยินมาว่า เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงครอบครัว นายถึงกับเตรียมของขวัญมาให้นายท่านเป็นพิเศษเลยเหรอ ?”
ซูเหวินปินรีบเอ่ย: “คนแซ่ฉิน ที่นายถืออยู่ในมือคือภาพผืนนั้นใช่ไหม ?”
“ถ้านายยืนยันว่ามันเป็นผลงานของจริงของถังโป๋หู่ ยังไม่รีบเอาออกมาอีก เอามาให้คุณปู่ดูสักหน่อย !”
“คุณปู่เป็นนักสะสมวัตถุโบราญที่มีชื่อเสียง เป็นของจริงหรือไม่ เขาสามารถบอกได้ทันทีที่เห็น”
ซูเป่ยซานยังพูดเย้ย: “ฉินเทียน ถ้านายนำภาพของถังโป๋เหนียนของจริงมาให้ฉันได้ ฉันก็จะยอมรับนายในฐานะหลานเขย”
“ถ้าหากนายกล้าเอาภาพปลอมมาหลอกฉัน ก็อย่าโทษว่าฉันหยาบคายขับไล่นายออกไปล่ะ แต่นับจากนี้ไปห้ามเข้ามาเหยียบประตูตระกูลซูอีกต่อไป !”
“งั้นตอนนี้ นายยังกล้าจะเสนอภาพวาดนั้นอยู่ไหม ?”
สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่หน้าของฉินเทียน
พวกเขารับรู้ถึงเจตนาของซูเป่ยซาน
คนอย่างฉินเทียน จะไปมีผลงานจริงของถังโป๋หู่ได้ยังไง ?
ซูเป่ยซานจงใจพูดแบบนั้น ก็เพื่อต้องการหาเหตุผลที่จะขับไล่ฉินเทียนออกไป
เมื่อเป็นเช่นนั้น หยางยู่หลันก็ไม่อาจพูดอะไรได้
ตราบใดที่ไล่นักเลงหัวแหลมอย่างฉินเทียนออกไปได้ เพียงแค่พวกเขาดีดนิ้วก็จัดการหยางยู่หลันสองแม่ลูกนั่นได้แล้ว
“ทำไมจะไม่กล้าล่ะ !” ฉินเทียนยิ้มเย็น ถือม้วนภาพไว้ในมือ แล้วก้าวยาวๆ ไปตรงหน้าซูเป่ยซาน
เปิดมันตรงหน้า
เป็นผลงานที่แท้จริงของถังโป๋หู่จริงๆ งั้นเหรอ ? เมื่อเห็นท่าทางที่มั่นอกมั่นใจของฉินเทียน ทุกคนต่างก็สงสัย ต่างก็หันไปมอง
แม้แต่ตัวซูเป่ยซานเองก็ยังตื่นเต้น
เขาเป็นคนเชิดชูวัฒธรรม ชื่นชอบสะสมของเก่า และภาพวาดพู่กันก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาชอบที่สุด
และถังโป๋หู่คนนี้ก็เป็นนักปราชญ์ผู้มีความสามารถ มีบทบาทในแวดวงภาพวาดพู่กันอยู่ไม่น้อย
ใครที่ได้ครอบครองผลงานของเขา ทั้งชื่อเสียงและฐานะในวงการก็จะเพิ่มขึ้นราวกับเรือที่ไหลตามกระแสน้ำ
ดังนั้น ถ้าหากนี่เป็นผลงานของถังโป๋หู่จริงๆ การจะยอบรับว่าฉินเทียนเป็นหลานเขยทำไมจะเป็นไปไม่ได้
“เร็วเข้า ไปหยิบแว่นของฉันมา”
หลังจากที่ซูเป่ยซานสวมแว่นตา ก็มองดูอย่างละเอียด
ซูเหวินปินยิ้มเย็นพร้อมเอ่ย: “คุณปู่ครับ ภาพวาดนี้ได้มาจากถู่โหจื่อ ไม่ได้เสียเงินสักแดงเดียว”
“ถู่โหจื่อนั่นยอมรับด้วยตัวเองเลยว่ามันเป็นของปลอม ผมว่าคุณปู่ไม่ต้องไปเสียเวลากับมันเลยจะดีกว่า” ซูเหวินปินกล่าวใส่ร้ายอย่างไม่ให้เสียเวลา
ซูเป่ยซานเองก็ไม่เชื่อว่ามันจะเป็นของจริง เพียงแต่ถูกจู่โจมด้วยท่าทีของฉินเทียน อีกทั้งด้วยหัวใจของนักล่าแล้ว จึงอยากจะพินิจมันสักหน่อย
เมื่อดูเสร็จ เขาก็โกรธจนหน้าเปลี่ยนสี
“สารเลว !”
“ไม่ต้องพูดแล้ว กระดาษภาพวาดนี้ไม่ใช่ของที่มาจากราชวงศ์หมิง !”
“ของปลอมแบบนี้ แกกล้าดียังไงเอามาหลอกฉัน !”
ซูเหวินปินตะโกนอย่างได้ใจ: “ผมบอกแล้วไง ? ว่านี่มันเป็นของปลอมชัดๆ !”
“กล้ามาหลอกคุณปู่ได้นะ เด็กๆ เอาตัวมันออกไปกระทืบซะ !”
ลูกหลานหลายคนของตระกูลซูคำรามเสียงดัง พร้อมกับพุ่งเข้ามา
“อย่านะ !” หยางยู่หลันอยากเข้าไปขวาง แต่กลับถูกพวกผู้หญิงดึงไว้ จึงไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย”
“ไอ้โง่ !”
“เบิกตาสุนัขของแกซะ แล้วมองดีๆ !”
ฉินเทียนตะโกนเสียงดังราวกับฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ
เขายื่นมือออกมาคว้าข้างบนม้วนภาพ เสียงดังแควก แล้วมันก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
ข้างในนั้นเป็นม้วนภาพวาดสีเหลืองที่มีภาพสมบูรณ์อยู่
เมื่อเห็นถึงความเรียบง่ายและไม่ซับซ้อนของศิลปะที่พุ่งเข้ามากระแทกหน้า ซูเป่ยซานก็ตัวสั่นอย่างรุนแรง
“หยุด !”
“ทั้งหมดหยุดเดี๋ยวนี้ !”
เขาลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น หยิบแว่นขยายขึ้นมา เอนตัวเข้าไปใกล้และพินิจอย่างละเอียด จากนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ถังโป๋หู่ !”
“เป็นต้นฉบับของแท้ของถังโป๋หู่จริงๆ !”
“ฮ่าๆๆ ฉันรวยแล้ว !”