บทที่ 8 นี่มันนกอะไร
“นี่มันนกอะไร ?”
เมื่อมองไปยังภาพวาดก็เห็นเนินเขาหลายลูก ตีนภูเขามีต้นแอปริคอทที่มีนกตัวหนึ่งยืนอยู่บนยอดไม้
ซูเหวินปินอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้
ในความคิดแล้ว ภาพวาดผืนนี้มันดูดำมืด ไม่ได้มีความรู้สึกสวยงามอะไรเลยสักนิด
ชาวนาเจ้าของแผงลอยเอ่ยอย่างอดทน: “นกอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น คุณต้องดูว่าใครเป็นคนวาดต่างหาก ดูข้างล่างสิ ดูที่ลายเซ็น”
ซูเหวินปินมองไปข้างล่างตามที่แนะนำ ขมวดคิ้วเอ่ย: “คัง……หวง……”
“คังหวงคือใคร ? ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อจิตรกรคนนี้มาก่อนเลย !”
“ฮึ่ม !”ชาวนาเจ้าของแผงลอยระงับความปวดใจ
ผู้คนรอบข้างต่างอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
ท่าทางผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นคนโง่เง่าสินะ
“ขอโทษนะ คุณไปดูของอย่างอื่นเถอะ”ชาวนาเอ่ยพร้อมกับเก็บภาพวาดกลับไป
เขาหันไปมองฉินเทียนพร้อมเอ่ย: “น้องชายคนนั้นน่ะ คุณจะดูสักหน่อยไหม ?”
ฉินเทียนพยักหน้า รับม้วนภาพมาและจ้องมองไปที่มัน
ซูเหวินปินหัวเราะเยาะเย้ย: “เจ้าคนแซ่ฉิน นายก็เป็นแค่คนส่งอาหารง่อยๆ จะไปเข้าใจภาพวาดพู่กันของคนมีชื่อเสียงอะไรล่ะ !”
“นายรู้เหรอว่าคังหวงคือใคร ?”
ฉินเทียนยิ้มเย็น: “ฉันไม่รู้จักคังหวง แต่รู้จักถังหยินก็แล้วกัน”
“ถูกต้อง นี่เป็นผลงานจริงๆ ของถังโป๋หู่ คุณเสนอราคามาเถอะ”
“ที่แท้น้องฉินก็เป็นผู้เชี่ยวชาญนี่เอง !” ชาวนาเจ้าของแผงลอยดีใจมาก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหนึ่งนิ้วขึ้นพร้อมเอ่ย: “หนึ่งล้าน”
ฉินเทียนส่ายหัวและเอ่ยว่า: “หนึ่งแสน ไม่มากไปกว่านี้”
“น้อยเกินไปแล้ว เพิ่มอีกหน่อยเถอะนะ !”เห็นได้ชัดว่าเจ้าของแผงลอยตื่นเต้น แต่ก็ยังอยากได้เงินเพิ่มอีกนิด
ฉินเทียนกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ซูเหวินปินที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยขึ้น: “ฉันให้สองแสน !”
เจ้าของภาพส่งสายตามาทางฉินเทียน โดยที่หวังว่าเขาจะเพิ่มราคา
ซูเหวินปินก็เอ่ยอย่างได้ใจ: “เจ้าของร้านไม่ต้องไปมองเขาหรอก มันก็แค่ยาจกผู้ยากไร้”
“ห้าปีก่อนเขาเป็นลูกเขยตระกูลซูของเรา แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แม้แต่จะผายลม !”
“คนแซ่ฉิน นายกล้าเสนอราคาแข่งกับฉันไหม ?”
“ไม่ต้องพูดถึงสองแสนเลย แม้แต่แสนเดียวนายก็คงไม่มีล่ะสิท่า !”
“เร็วสิ บอกว่าสองแสนไง ฉันจะเอามัน !”
ภายใต้สายตาของเจ้าของภาพที่จ้องมองมาอย่างคาดหวัง ในที่สุดฉินเทียนก็ส่ายหัวเอ่ยซ “ให้เขาไปเถอะ”
ซูเหวินปินรู้สึกภูมิใจมาก เขากลัวว่าเจ้าของแผงลอยจะเปลี่ยนใจ จึงขอรูดบัตรทันที
สำหรับเขาแล้ว แม้ว่าเงินสองแสนมันจะไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แต่ตราบใดที่เขาสามารถได้รับความโปรดปรานจากซูเป่ยซานได้ล่ะก็ ตำแหน่งของเขาในตระกูลซูก็จะเพิ่มขึ้น ผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับนั้นเกินว่าเงินสองแสนเสียอีก
“ฉินเทียน ตกลงแล้วนะว่านายจะไปคิดบัญชีกับตระกูลซูของพวกเรา”
“งั้นเจอกันที่งานเลี้ยงอาหารค่ำก็แล้วกัน !”
ซูเหวินปินเก็บม้วนภาพวาดแล้วเดินจากไป
เจ้าของแผงลอยที่ทำธุรกรรมเสร็จก็รีบจากไปทันทีเช่นกัน
ในขณะนั้น ก็มีเสียงตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราดดังลอยมาจากที่ไกลๆ
“ถู่โหจื่อ ในที่ก็หาแกเจอจนได้ !”
“ตอนอยู่เหอเป่ยแกก็หลอกข้าคนนี้ นี่ยังมาหลอกลวงคนที่นี่อีกเรอะ !”
“เอาภาพวาดปลอมๆ ของแกคืนไป แล้วเอาเงินข้าคืนมาซะ !”
ชายชาวเหนือตัวใหญ่วิ่งเข้ามาด้วยความโกรธ พร้อมทั้งเอาม้วนภาพวาดทุบไปยังหน้าของชาวนาเจ้าของแผงลอยคนนั้น
ชาวนาเจ้าของแผงลอยจะวิ่งหนีไป แต่กลับถูกรั้งคอไว้
เขายิ้มแหยๆ ออกมา: “นี่ไม่ใช่เถ้าแก่จ้าวหรอกเหรอ ? คุณมาหาฉันมีเรื่องอะไรรึเปล่า ?”
เถ้าแก่จ้าวเอ่ยด้วยโมโห: “แกไอ้ลูกเต่า เอาภาพปลอมมาหลอกขายข้าห้าแสน !”
“ข้าจะมาคิดบัญชีกับแก !”
ชาวนาเยาะเย้ย: “ซื้อขายของโบราณก็เหมือนการทดสอบสายตา ของที่ขายไปแล้วไม่รับคืน”
“นายไม่รู้ถึงความจริงข้อนี้รึไง ?”
ซูเหวินปินเอ่ยยิ้มๆ : “พูดถูกต้อง เถ้าแก่จ้าวจากแดนไกล นายถูกตาตัวเองหลอก ก็คิดซะว่าเป็นบทเรียน ไม่ต้องไปตำหนิคนอื่น”
“ผลงานแท้ๆ บนโลกใบนี้น่ะมีจำนวนจำกัด ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็มีโอกาสได้ซื้อไป”
เขาคิดว่าตัวเองนั้นโชคดีจริงๆ แถมยังฉลาดมากๆ ด้วย
เถ้าแก่เจ้ามองไปยังซูเหวินปินรวมถึงม้วนภาพวาดที่อยู่ในมือเขาก็ยิ้มเยาะ: “เขาได้บอกนายรึเปล่าว่า มันเป็นสมบัติตกทอดของบรรพบุรุษของเขาน่ะ ?”
ซูเหวินปินเบลอไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าตอบ: “ใช่”
เถ้าแก่จ้าวเอ่ย: “เขายังบอกอีกรึเปล่าว่า ค้าขายกับผู้เชี่ยวชาญ ถ้าคุณไม่รู้ว่าภาพวาดผืนนี้มีดียังไง จะให้เงินมากเท่าไหร่ก็ไม่ขายน่ะ ?”
ซูเหวินปินหน้าเปลี่ยนสี: “ใช่”
เถ้าแก่จ้าว: “เพ้ย !”
“ถูกคนหลอกเป็นไอ้โง่ นายยังจะไปพูดแทนเขาอีก !”
ซูเหวินปินหน้าเปลี่ยนเป็นสีคล้ำราวกับตับหมู รีบวิ่งเข้าไปจับชาวนาคนนั้นพร้อมเอ่ยเสียงดัง: “แกบอกฉันมาให้ชัดๆ สิว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ?!”
ชาวนาไม่ยอมเอ่ยคำ นั่นเท่ากับว่าคือความจริง
ซูเหวินปินโทรหาปรมาจารย์ด้านวัตถุโบราณที่ไปมาหาสู่กับตระกูลซู อีกฝ่ายไม่ได้บอกว่าภาพวาดนี้เป็นของจริงหรือของปลอม พูดเพียงว่า “ถู่โหจื่อ”สามคำ ในวงการวัตถุโบราณหมายถึงบุคคลประเภทหนึ่ง
พวกเขาจะปลอมตัวเป็นชาวนาที่ธรรมดาๆ แต่ความจริงแล้วฉลาดยิ่งกว่าลิงเสียอีก
วัตถุโบราณในมือของคนเหล่านี้น้อยมากที่จะเป็นของจริง
ซูเหวินปินแน่ใจแล้วว่าตัวเองโดยหลอกเป็นแน่แท้ ตาแดงก่ำ พร้อมกับบีบบังคับให้ถู่โหจื่อคืนเงิน
ถู่โหจื่อกับสงบลงพร้อมกับเอ่ยเยาะเย้ย: “นายโดยตาตัวเองหลอก ก็คิดซะว่าเป็นบทเรียน ไม่ต้องโทษคนอื่น”
“ผลงานแท้ๆ บนโลกใบนี้น่ะมีจำนวนจำกัด ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็มีโอกาสได้ซื้อไป”
ซูเหวินปินเถียงไม่ออก เพราะมันเป็นคำที่เขาเคยพูดออกมาเอง
ไม่คิดเลยว่ากรรมจะตามทันเร็วขนาดนี้ ก้อนหินที่โยนออกไป แค่พริบตาเดียวกลับมาหล่นใส่เท้าตัวเองซะเอง
พ่อค้าแม่ค้าแผงลอยที่อยู่รอบๆ ต่างพากันหัวเราะเยาะ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน
แต่ว่า สองแสนเลยนะ !
ทั้งยังเบิกเงินเกินบัญชีจากบัตรเครดิตด้วย ไม่รู้ว่าเดือนหน้าจะส่งคืนได้หมดหรือเปล่า
ซูเหวินปินหน้าแดง พร้อมพูดว่า: “ฉันเป็นคนตระกูลซูนะ !”
“ตระกูลซูคือขุมพลังของเมืองหลงเจียง พวกแกไปถามใครเลยก็ได้ !”
“ไม่ต้องพูดอะไรมา คืนเงินมาหนึ่งแสน ฉันถึงจะยอม !”
มีคำกล่าวที่ว่ามังกรที่แข็งแกร่งไม่อาจควบคุมงูดินได้ ถู่โหจื่อไม่กี่คนพวกนี้ ต่างก็มาจากเจียงหู ท้ายที่สุดก็ไม่กล้าทำเรื่องที่มันมากเกินไป
ในเมืองไม่มีทางเลือก จึงทำได้แค่คืนเงินหนึ่งแสนให้กับซูเหวินปินไป
ซูเหวินปินที่สูญเสียเงินหนึ่งแสนภายในพริบตา เขาจึงหันไประบายความโกรธที่ฉินเทียน
เอ่ยด้วยตาแดงก่ำ: “คนแซ่ฉิน ถ้านายไม่เข้าก็อย่าพูดอะไรมั่วซั่วล่ะ !”
“นายเคยเห็นผลงานจริงของถังโป๋หู่เหรอ ?”
“ไอ้โง่ !”
ถ้าเมื่อกี้ฉินเทียนไม่ได้พูดว่ามันเป็นผลงานจริงของถังโป๋หู่ เขาก็คงจะไม่หุนหันพลันแล่นขนาดนี้
ตอนนี้เขาเริ่มจะสงสัยแล้วว่าฉินเทียนกับถู่โหจื่อนั่นเป็นพวกเดียวกัน แล้วรวมหัวกันรังแกเขา !
ฉินเทียนไม่ได้สนใจซูเหวินปิน
ก็แค่เสียงหมาเห่า ไม่ได้มีค่าให้เขาสนใจ
อีกอย่างเขาบอกไปแล้วว่า จะคิดบัญชีของตระกูลซูรวมกัน
“เถ้าแก่ ยังไงซื้อขายมันล่มไปแล้ว งั้นก็ขายภาพวาดผืนนี้ให้ฉันเถอะ”
“นายยังอย่างได้งั้นเหรอ ?” ถู่โหจื่อประหลาดใจมาก
ฉินเทียนพยักหน้า: “ห้าพัน”
ถู่โหจื่อยิ้มพร้อมเอ่ย: “ไม่นึกเลยว่านายจะหัวรั้นขนาดนี้นะพี่ชาย ถ้าอย่างนั้น ฉันให้นายฟรีๆ ก็แล้วกัน เอาไปเถอะ”
พอโยนม้วนภาพให้ฉินเทียน ก็เดินอาดๆ ออกไปพร้อมกับพรรคพวกสองสามคน
คนเจียงหูก็ย่อมใช้วิธีเจียงหูจัดการ แตกดับไปที่หนึ่ง เดี๋ยวก็มีเกิดใหม่อีกที่ เป็นความเสน่ห์อย่างหนึ่ง
ซูเหวินปินโกรธจนท้องแทบไหม้ ถลึงตาไปที่ฉินเทียน: “นายตาบอดรึไง ?”
“ทั้งๆ ที่มันเป็นของปลอมไม่มีค่าชัดๆ นายจะต้องการมันไปทำไมอีก ?”
ฉินเทียนกล่าวสบายๆ : “เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำของตระกูลซู ไม่อาจไปมือเปล่าได้”
“ในเมื่อนายบอกว่าซูเป่ยซานชอบภาพวาดพู่กัน ก็เลยจะเอามันไปให้เขาน่ะสิ”
“นายว่าไงนะ ?” ซูเหวินปินตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง: “คนแซ่ฉิน ดูท่านายจะยากจนจนบ้าไปแล้วสินะ !”
“เอาของปลอมแบบนั้นไปหลอกคุณปู่ นายไม่พอใจที่ตัวเองตายช้านักใช่ไหม ?”