ปึง!
ในสนามรบหนิวเจิ้นอวี่แกว่งหมัด ซัดกระแทกลงมาเหมือนมหาคีรีแผ่ขยายไปทั้งห้วงอากาศ ทำให้หลินสวินสะเทือนถอยไปอีกครั้ง ตัวเขาลอยกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง
แทบจะในขณะเดียวกัน ค้อนกระดูกขาวของพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬเคลื่อนออกมา หมายจะฉวยโอกาสนี้สังหารหลินสวิน แต่กลับถูกหลินสวินใช้ปีกผลาญเทพหลบหนีอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า
“สมควรตาย!”
พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬสีหน้าอึมครึม
ด้วยฐานะอริยะของทั้งสอง ร่วมกันสังหารชายหนุ่มที่ยังไม่บรรลุอริยะคนหนึ่งก็น่าอับอายมากแล้ว จะทำขายหน้าคนในโลก
แต่ตอนนี้ที่ทำให้พวกเขาอึดอัดใจที่สุดก็คือ มดปลวกอย่างหลินสวินดูเหมือนไม่มีแรงตั้งกระบวนท่าสักนิด แต่คิดจะฆ่าเขาให้ตาย ผ่านมาพักหนึ่งแล้วกลับทำไม่ได้สักที!
เรื่องนี้ดูน่าเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อไรกันที่มดปลวกซึ่งยังไม่บรรลุอริยะมีคุณสมบัติมาต่อกรกับอริยะแท้
จริงอยู่ว่าพวกเขาทั้งสองต่างได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็เป็นอริยะอยู่ดี! ในอดีตชี้นิ้วไปส่งๆ ยังบดขยี้บุคคลเช่นหลินสวินให้ตายได้!
แต่วันนี้ทั้งหมดนี้เหมือนจะเปลี่ยนไปแล้ว
หนิวเจิ้นอวี่กับพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬดูออกว่าสาเหตุที่หลินสวินดิ้นรนมาถึงตอนนี้ ด้านหนึ่งเป็นเพราะมีสมบัติอริยะปีกผลาญเทพอันมหัศจรรย์ชิ้นนั้น
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเบื้องลึกเบื้องหลังของหลินสวินกล้าแข็งเกินไป!
พลังปราณสามสาย หลอมปราณ หลอมวิญญาณ และหลอมกาย สุ่มเลือกมาสักชนิดล้วนอยู่เหนือกว่าผู้แข็งแกร่งรุ่นเดียวกัน มีพลานุภาพไร้ศัตรูใดเทียบเทียมทั้งนั้น!
นี่ทำเอาอริยะแท้อย่างพวกเขาสองคนแทบไม่กล้าเชื่อ ว่าเหตุใดบนโลกนี้ยังมีตัวประหลาดเย้ยฟ้าพรรค์นี้ได้
ตูม โครม!
การต่อสู้ปะทุขึ้นโดยตลอด มองดูจากไกลๆ ฟ้าดินตรงนั้นเหมือนจมลง แสงเทพไหลลู่ราวน้ำตก แสงมรรคเทลงมาดุจกระแสน้ำเชี่ยว เป็นภาพที่น่าตกใจถึงที่สุด
ตัวหลินสวินเหมือนลุกโหม พลังปราณและพลังทั้งปวงถูกสำแดงออกมาจนหมดสิ้น แสงมรรคทั้งร่างกู่ก้องโครมคราม ประกายแสงไหลวน
แม้เขาถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์อันตราย แต่ที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือตั้งแต่เริ่มจนจบเขาไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก
อีกทั้งพอเวลาผ่านไป เขายิ่งสู้ยิ่งแกร่งกล้า!
ในอดีตเขาเคยสังหารอริยะแท้จำนวนมากจริงๆ แต่อย่างไรนั่นก็อาศัยพลังจากจิตสถูปปลิดชีพอยู่ดี
ทว่าตอนนี้เขากลับพึ่งมรรควิถีกับศักยภาพของตัวเอง เข้าต่อกรซึ่งหน้ากับอริยะแท้สองคนโดยสมบูรณ์!
ต่อให้อริยะแท้ทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัสมาอยู่แล้ว แต่นี่ก็ยังเป็นปัญหาที่ดูน่าตกตะลึงอยู่ดี
ถึงอย่างไรในอดีตก็ไม่เคยมีใครใช้พลังระดับอมตะเคราะห์ ข้ามระดับมาต่อต้านบุคคลระดับอริยะเหมือนอย่างหลินสวิน!
แต่สำหรับหลินสวินแล้ว ทำได้ถึงขั้นนี้ก็ทำให้เขาตื่นเต้นเช่นกัน
หลังกลับไปที่โลกชั้นล่าง หลินสวินไม่เคยหย่อนยานกับการฝึกปราณ แต่คู่ต่อสู้ที่เขาได้พบมาตลอดทางต่างใช้คำว่า ‘อ่อนแอเกินไป’ มาบรรยายได้เท่านั้น
ต่อให้เป็นพวกหนิวทุนเทียน เมิ่งเหลียนชิง ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของหลินสวิน
ทว่าหลังจากเข้าสู่ป่าต้นหม่อน คู่ต่อสู้ที่เขาได้พบแข็งแกร่งและน่ากลัวเกินไปมาก แต่ละคนต่างเป็นบุคคลน่ากลัวที่มีพลังปราณระดับกึ่งจักรพรรดิ
ทั้งหมดนี้ทำให้หลินสวินไม่มีโอกาสได้หยั่งเชิงพลังปราณของตนในตอนนี้เลยว่าแข็งแกร่งถึงขั้นไหนแล้วกันแน่
และตอนนี้ในระหว่างที่ประมือกับอริยะแท้สองคนอย่างหนิวเจิ้นอวี่กับพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬ ทำให้หลินสวินรู้ได้ในที่สุดว่าพลังต่อสู้ของตนในตอนนี้อยู่ระดับไหนแล้ว
พูดได้ว่าสาเหตุที่บุ่มบ่ามปรากฏตัว ไม่ลังเลที่จะประจันหน้ากับอริยะสองคนนี้ ย่อมเป็นเพราะหลินสวินมองพวกเขาเป็นหินลับมีดหยั่งพลังต่อสู้ก็เท่านั้น
“ไอ้เศษสวะ ตายเสียเถอะ!”
หนิวเจิ้นอวี่คำรามลั่น เสียงดังราวอสนีบาต เพียงแค่เสียงนี้ก็สามารถคำรามให้ราชันระดับอมตะเคราะห์บางคนแหลกสลายได้แล้ว
แต่หลินสวินจิตใจหนักแน่น จิตวิญญาณราวศิลายักษ์ ไม่อาจถูกสั่นคลอนได้
ตูม!
ก็พบว่าหนิวเจิ้นอวี่เหมือนถูกยั่วให้เดือดดาลโดยสมบูรณ์ สำแดงกระบวนท่าไม้ตาย แปลงกายเป็นวัวเทพสีดำที่มีผิวหนังสีดำสนิท สูงราวพันจั้ง ดุจดั่งภูเขาลูกใหญ่สีดำลูกหนึ่ง กีบเท้าทั้งสี่ประหนึ่งเสาค้ำสวรรค์ ประกายแสงกฎเกณฑ์อริยมรรคอันน่ากลัวฉายวาบ
“ผู้อาวุโสจะสู้สุดชีวิตหรือ”
หนิวทุนเทียนตกตะลึง เดิมเขากำลังตื่นเต้นฮึกเหิม นึกว่าหลินสวินที่ถูกกดข่มโดยสมบูรณ์กำลังหลบหนีพิบัติเคราะห์ จะคิดได้อย่างไรว่าจะเห็นภาพเช่นนี้เข้า
นี่ทำให้เขาสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลในทันที หนาวสะท้านไปทั้งร่าง
อั้นหลิงเจินก็ยิ้มค้าง รับรู้ได้ถึงความผิดปกติเช่นเดียวกับหนิวทุนเทียน
“ตาย!”
ท่ามกลางเสียงตะคอกดัง ภูผาธาราพันลี้ถูกร่างมหึมาไร้ที่สิ้นสุดของหนิวเจิ้นอวี่กดข่มจนพังทลายระเบิดแหลกเหมือนเศษกระดาษ
ในใจหลินสวินก็หดเกร็งขึ้นมาครู่หนึ่ง สีหน้าเคร่งเครียด กระตุ้นปีกผลาญเทพอย่างต่อเนื่อง เงาร่างแล่นปราดกลางกระแสยุ่งเหยิงน่าหวาดหวั่นเหมือนลำแสง
ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ทำให้เขาได้รับแรงกดดันที่มีอยู่ทุกหนแห่ง พลังอริยมรรคน่าครั่นคร้ามพวกนั้นถาโถมเกินไป ทำให้เขาเหมือนเรือเดียวดายกลางทะเลกว้างใหญ่ไพศาล สุ่มเสี่ยงจะพังทลายเมื่อไรก็ได้
“ไอ้แก่ ยังไม่ลงมืออีกหรือ”
หนิวเจิ้นอวี่คำราม โกรธจนผมตั้ง
เดิมเขาก็บาดเจ็บหนักอยู่แล้ว ออกโจมตีคราวนี้ได้เอาพลังที่เหลือทั้งหมดเข้าสู้ หากยังฆ่าหลินสวินไม่ตายอีก เช่นนั้นผลลัพธ์แม้แต่เขายังไม่กล้าคิด
ฉึบ!
เสียงพูดของเขายังไม่ทันเงียบลง พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬก็ออกโจมตีแล้ว ค้อนกระดูกขาวอันหนึ่งพลันยาวขึ้นเป็นพันจั้ง ปรากฏเงามายารูปร่างคล้ายเทพเถื่อนร่างแล้วร่างเล่า ปล่อยแสงดำเป็นวงกว้าง ทำให้ฟ้าดินมืดมัว ประหนึ่งหวนสู่คืนวันโกลาหลอันรกร้างกว้างใหญ่
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าชั่วพริบตาใบหน้าซูบผอมของพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬก็ซีดเซียวหม่นหมองลงไปมาก
ไม่ต้องสงสัยว่าการโจมตีนี้ก็ทุ่มพลังทั้งหมดของพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬเช่นกัน!
‘ถ้าไม่ฆ่าเจ้าคนพรรค์นี้ให้ตาย ภายหน้าก็จะกลายเป็นหนามตำใจที่ไม่อาจจินตนาการได้คนหนึ่ง ยังดีที่เขาต้องตายแน่!’
กวงฝู่ชิงกำหมัดแน่น ในใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ก่อนหน้านี้พอได้เห็นความสามารถของหลินสวิน ก็ทำให้นางรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกเหมือนจะพังทลาย ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าหากคนอย่างหลินสวินบรรลุอริยะจะน่ากลัวเช่นไร
แต่ตอนนี้ กวงฝู่ชิงแน่ใจว่าหากเผชิญหน้ากับการโจมตีอันกราดเกรี้ยวของอริยะแท้ทั้งสอง หลินสวินต้องสิ้นชีพแน่!
หนิวทุนเทียนกับอั้นหลิงเจินก็แสดงสีหน้าตั้งตาคอยอย่างกระวนกระวาย สิ่งที่คิดในใจไม่ต่างกับกวงฝู่ชิงมากนัก
……
ชั่วพริบตานี้ ช่วงเวลาตัดสินแพ้ชนะมาถึงอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้อริยะแท้ทั้งสองได้รับบาดเจ็บหนัก แต่การโจมตีโดยเอาชีวิตเข้าแลกของพวกเขา อย่าว่าแต่หลินสวินเลย เกรงว่าต่อให้เป็นอริยะแท้ระดับเดียวกันยังต้องหลบคมดาบ!
ชั่วพริบตานี้ฟ้าดินจักรวาลไพศาล ภูผาธาราทั่วทิศ ต่างเหมือนมีกลิ่นอายทำลายล้างน่าหวาดหวั่นบดบัง แสดงกลิ่นอายพังทลายพังพินาศออกมา
ชั่วพริบตานี้หนิวทุนเทียน กวงฝู่ชิง อั้นหลิงเจินตั้งตาคอยเต็มอก จับตามองอย่างตื่นเต้น
ชั่วพริบตานี้…
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าภายในร่างของหลินสวินมีพลังเร้นลับอัศจรรย์และคลุมเครือปะทุขึ้นฉับพลัน
ฟุ่บ!
แสงมายางดงามราวปีกบินสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฟ้าดิน
จากนั้นก็หยุดนิ่งลงในชั่วพริบตานี้!
หยุดนิ่งอย่างแท้จริง พลัง กลิ่นอาย เส้นแสง สรรพสิ่งในฟ้าดินแห่งนี้… ล้วนหยุดลงอย่างประหลาดระหว่างที่โคจร
ชั่วพริบตา สำหรับเหล่าสิ่งมีชีวิตในใต้หล้าแล้วดูไม่สำคัญอย่างยิ่ง เป็นเพียงชั่วดีดนิ้วเท่านั้น
แต่ในสายตาของผู้ฝึกปราณ ในชั่วพริบตากลับชี้เป็นชี้ตายได้!
นี่ก็คือกฎระเบียบกาลเวลา การโคจรของฟ้าดิน การเกิดดับของสรรพสิ่ง สิ่งที่สรรพสัตว์นึก คิดและทำล้วนต้องอยู่ในกาลเวลาจึงโคจรได้
แม้แต่ผู้มีระดับจักรพรรดิ สิ่งที่ไล่ตามอย่างอุตสาหะก็คือการทำลายพันธนาการของกฎระเบียบกาลเวลา ไปยังดินแดนอันอิสระเสรียิ่งยวด จึงทำเป้าหมายที่จะเป็นอมตะให้เป็นจริง
จากจุดนี้เพียงคิดก็รู้ได้ถึงความน่ากลัวของระเบียบกาลเวลา…
แต่ตอนนี้ เวลาในชั่วพริบตานี้…
ถูกตรึง!
จากนั้นในชั่วพริบตานี้ หลินสวินหลบหนีจากการสังหารของหนิวเจิ้นอวี่อย่างปลอดภัย หลบหนีค้อนกระดูกขาวที่พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬทุบลงมา
และก็ในชั่วพริบตานี้เอง คันธนูวิญญาณไร้แก่นสารถูกดึงจนตึง ศรนภาครามยิงพุ่งออกไป
…..
สำหรับระดับจักรพรรดิแล้ว กาลเวลาเรียกได้ว่าเป็นพลังสูงส่งราวโซ่ตรวน
สำหรับอริยะแท้ ก็ย่อมหนีไม่พ้นพันธนาการของพลังแห่งกาลเวลา
ชั่วพริบตานี้หนิวเจิ้นอวี่ไม่รู้สึกเลยว่าหลังจากเวลาถูกตรึงไว้ ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว เขากำลังถลาออกไปจะสังหารหลินสวินให้ราบคาบในการโจมตีนี้
แต่จู่ๆ ลูกศรแหลมคมหาใดเทียบดอกหนึ่งก็เข้ามาจ่อหน้าแล้ว!
ความน่ากลัวของกลิ่นอายที่ลูกศรนั้นแผ่ออกมาทำให้เขาตื่นตะลึงจนขวัญหนีดีฝ่อ หน้าเปลี่ยนสีในทันใด แต่คิดจะหลบหนีก็ไม่ทันแล้ว
ปึง!
ที่หว่างคิ้วใหญ่ยักษ์เท่าบ้านของเขาถูกลูกศรดอกหนึ่งยิงทะลุ นำพาดอกไม้โลหิตแดงฉานราวน้ำพุสายหนึ่งออกมา
และในตอนนี้เช่นกันที่พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬชำเลืองเห็นภาพนี้เข้า พลันตื่นตระหนกจนศีรษะชาหนึบ ร้องตระหนกเสียงหลงว่า “เป็นไปได้อย่างไร”
กลางเสียงคำราม เจือไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงหาใดเทียม
ชั่วพริบตานั้นเวลาถูกหยุดไว้ ทุกสิ่งคล้ายถูกควบคุม ดูอัศจรรย์หาใดเทียบ และน่าขนลุกเหลือจะเปรียบ
ทั้งยังทำให้พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬรับรู้ถึงความสิ้นหวังหวาดหวั่นราวเล็กจ้อยเหมือนมด ความตายมีอยู่ทุกที่เป็นครั้งแรก
นี่ก็คือพลังแห่งกาลเวลา
ต่อให้ถูกหยุดไว้แค่พริบตาเดียว สำหรับผู้ยิ่งใหญ่ระดับอริยะเหล่านี้ ก็ยังคงดูน่าสยดสยองเกินไป
ตูม!
ท่ามกลางเสียงระเบิด ร่างใหญ่โตหาใดเทียบของหนิวเจิ้นอวี่ระเบิดออกฉับพลัน ศีรษะ คอ ทรวงอก แขนขาทั้งสี่… ล้วนถูกไอศรดุดันคับฟ้าฉีกทึ้งบดขยี้เป็นผุยผง!
มองดูไกลๆ เลือดเนื้อแดงฉานถั่งโถมราวแม่น้ำโลหิตเข้มข้นเทลงมาจากห้วงอากาศ
ในขณะเดียวกัน เหนือเวิ้งฟ้ามีเสียงมรรคดั่งร่วมคร่ำครวญเศร้าสร้อย สะท้านไปทั้งสี่ทิศ
ตามคำเล่าลือ ทุกครั้งที่อริยะร่วงหล่น ฟ้าดินจะร่วมโศกาไปด้วย!
พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬพลันได้สติ ใบหน้าซูบตอบปกคลุมด้วยสีหน้าตื่นตะลึงสิ้นหวัง ตายแล้วหรือ
ชั่วพริบตาเดียว อริยะแท้ที่แข็งแกร่งยิ่งอย่างหนิวเจิ้นอวี่ ก็ร่วงหล่นไปจากโลกแล้วหรือ
เป็นครั้งแรกตั้งแต่ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ ที่พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬลิ้มรสความหวาดกลัวยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง!
และไกลออกไป หนิวทุนเทียน กวงฝู่ชิง อั้นหลิงเจินต่างอึ้งไปแล้ว สมองกับจิตใจว่างเปล่าโดยสมบูรณ์
ชั่วพริบตาที่ถูกตรึงไว้นั้น พวกเขาไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ เลย เพราะเวลาสั้นเกินไป แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น
แต่ก็เป็นชั่วพริบตานี้ ที่กลับเกิดภาพนองเลือดน่าสะพรึงกลัวนี้ขึ้น ส่งผลให้จิตใจและความรู้สึกของพวกเขาครั่นคร้ามทันที ตะลึงงันโดยสมบูรณ์
ซ่า!
เลือดอริยะโปรยปรายลงมา แดงฉานงดงามน่าหดหู่
นี่ก็คือพลังอภินิหารพรสวรรค์ ‘หยุดเวลา’!
และเป็นครั้งแรกที่หลินสวินใช้พลังอภินิหารที่มีมาแต่กำเนิด ประทับอยู่ในสายเลือดพลังนี้
พลานุภาพเช่นนั้นประหนึ่งพลังต้องห้ามในตำนาน น่าสะพรึงกลัวจนทำให้แววสั่นสะท้านและเหม่อลอยปรากฏขึ้นบนใบหน้าหลินสวินอย่างห้ามไม่อยู่
เวลา!
นี่คือพลังที่ทำให้ระดับจักรพรรดิหวาดกลัวหาใดเทียบ เมื่อก่อนหลินสวินเพียงรู้เรื่องเหล่านี้ แต่กลับไม่อาจสัมผัสถึงความหมายอันลึกซึ้งภายในนั้น
ทว่าตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว
พลังแห่งกาลเวลาน่ากลัวเกินไปจริงๆ!
——