Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1475 ป้ายคำสั่งเซียนเหิน

ตอนที่ 1475 ป้ายคำสั่งเซียนเหิน
อริยะแท้ผู้หนึ่ง หากไม่กำจัดจิตวิญญาณกับร่างกายโดยสมบูรณ์ย่อมไม่มีทางถูกฆ่าตายได้ นี่ก็คือจุดที่ทรงพลังของระดับอริยะ
แต่ตอนนี้ชั่วพริบตา หนิวเจิ้นอวี่ถูกปลิดชีพ!
นี่ทำให้พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬตื่นตระหนก จิตใจว้าวุ่นยุ่งเหยิง และในที่สุดก็เข้าใจว่าก่อนหน้านี้เหตุใดหลินสวินถึงดูเยือกเย็นสงบนิ่งเช่นนั้น
ที่แท้เขามีความสามารถที่สามารถฆ่าอริยะได้แล้วนี่เอง!
อีกทั้งคราวนี้ไม่ได้อาศัยสมบัติอริยะใดๆ เข้าช่วย พึ่งพาแต่วิชาลับที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่งยวดวิชาหนึ่ง ทำลายระยะห่างของระดับ สังหารหนิวเจิ้นอวี่ได้ในคราวเดียว
สังหารอริยะ ไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นได้ยากในอดีตกาล
แต่ใช้พลังปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้าข้ามระดับมาสังหารอริยะผู้หนึ่งได้ นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อน!
อย่างน้อยในการรับรู้ของพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเกิดเรื่องที่ทำให้ผู้ได้ยินตกตะลึงเช่นนี้
เขาถึงกับแน่ใจว่าหากเรื่องนี้กระจายออกไป ทั้งใต้หล้าคงไม่มีใครเชื่อว่าเรื่องบ้าคลั่งเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้!
“นะ… นี่เจ้าใช้วิชาลับอะไรกัน”
พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬร้องเสียงหลงดังลั่น ประหนึ่งสัตว์ที่ถูกกักขังตื่นตระหนกเหลือล้น สีหน้าเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง
สิ่งที่ตอบกลับเขามา คือลูกศรที่แน่วแน่มิลังเลของหลินสวิน
วิ้ง!
สายธนูสีแดงฉานราวโลหิตของธนูวิญญาณไร้แก่นสารถูกดึงจนตึง ศรนภาครามดำสนิทมืดทึมแปรสภาพเป็นแสงไร้รูปยิงออกไป
พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬจะเคลื่อนย้ายผ่านอากาศเพื่อหลบหนี แต่กลับค้นพบอย่างตื่นตะลึงว่าศรนภาครามนั้นพุ่งมาที่ตนมั่นเหมือนกับเงาตามตัว สลัดไม่หลุด
เบื้องบนเป็นนภาครามเบื้องล่างเป็นยมโลก!
ตูม!
ท่ามกลางเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นจนหูแทบดับ ร่างครึ่งหนึ่งของพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬระเบิดออก เลือดเนื้อเหวอะหวะ ส่งเสียงร้องโหยหวนน่าอนาถหาใดเทียบ
เมื่อแรกเริ่มเดิมทีเขาก็ถูกจ้าวซิงเย่เล่นงานจนบาดเจ็บสาหัส จากนั้นที่หน้าเส้นทางลำเอียงกระดูกขาวก็ถูกหลินสวินใช้พลังในขวดมหามรรคสุดหยั่งทำเอาเกือบลาโลก รากฐานมหามรรคได้รับความเสียหายหนักหน่วง ทนมาได้ถึงตอนนี้ก็ลำบากมากแล้ว
และเมื่อกี้เพื่อสังหารหลินสวิน เขาเอาพลังที่เหลือเฮือกสุดท้ายเข้าแลก แต่โอกาสกลับไม่เป็นใจ ถูกอภินิหารหยุดเวลาของหลินสวินทำลายทิ้ง ทำให้พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬเสียต้นทุนที่จะเอามาข่มขวัญหลินสวินไปนานแล้ว
กลับมาดูหลินสวิน ก่อนหน้านี้ไม่เคยใช้คู่มหาอาวุธสังหารอย่างธนูวิญญาณไร้แก่นสายกับศรนภาครามนี้มาโดยตลอด สิ่งที่รอก็คือช่วงเวลาแบบนี้ เล่นงานพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬอย่างไม่ทันตั้งตัวทันที
“สารเลว…”
ท่ามกลางเสียงโหยหวนน่าอนาถ ร่างยับเยินของพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬจะถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์อยู่รอมร่อแล้ว ตัวเขาเลือดเนื้อเหวอะหวะ ดูน่าสลดใจหาใดเทียบ
ฟุ่บ!
พอปีกผลาญเทพไหววูบ หลินสวินก็มาอยู่ตรงหน้าพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬแล้ว มือยกดาบขึ้นฟันลงมา บดขยี้ร่างกายและพลังจิตที่ยับเยินให้แหลกละเอียดโดยสิ้นเชิง
ในขณะเดียวกันเสี่ยวอิ๋นก็เคลื่อนออกมา สำแดงพลังพรสวรรค์ของเผ่าหนอนกินเทพ ขจัดพลังจิตที่แหลกสลายของพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬจนหมดสิ้น ไม่เหลือไว้แม้แต่กาก
ทุกอย่างดูเหมือนเชื่องช้า ความจริงแล้วต่างปิดฉากลงในชั่วครู่สั้นๆ
เมื่อพวกหนิวทุนเทียนได้สติกลับมาก็เห็นฝนโลหิตโปรยปรายเต็มฟ้า เหนือเวิ้งฟ้ามีเสียงมรรคคล้ายเศร้าโศกดังขึ้นอีกครั้ง
พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬ ร่วงหล่น!
ไกลออกไปเงาร่างของหลินสวินสูงตระหง่าน ในมือกุมธนูวิญญาณไร้แก่นสารที่หลอมขึ้นจากกระดูกขาว ปีกผลาญเทพดำขมุกขมัวคู่หนึ่งไหววูบอยู่ข้างหลัง ขับเน้นให้เขาเป็นดั่งเทพมารที่เหมือนไม่มีอยู่ในโลกองค์หนึ่ง
พวกหนิวทุนเทียนหนาวยะเยือกไปทั้งตัวเหมือนตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง สภาวะอารมณ์และปณิธานต่อสู้พังทลายลงโดยสมบูรณ์
พวกเขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าอริยะแท้สองคนจะแพ้ ทั้งยังถูกสังหารอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ด้วย และคู่ต่อสู้ เป็นเพียงชายหนุ่มที่ยังไม่บรรลุอริยะคนหนึ่ง…
เรื่องนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!
“ตอนนี้ถึงตาพวกเจ้าแล้ว”
เสียงของหลินสวินดังขึ้นในที่นั้น ดูเหมือนเรียบเฉย แต่กลับประหนึ่งเสียงดนตรีเร่งเอาชีวิต ส่งผลให้พวกหนิวทุนเทียนได้สติขึ้นจากความตกตะลึงโดยสมบูรณ์
“หนี!”
พวกเขาเลือกหลบหนีตามสัญชาตญาณโดยไม่ลังเลสักนิด
ขนาดอริยะแท้สองคนยังถูกฆ่าตาย พวกเขาจะยังกล้าไปท้าทายหลินสวินอีกได้อย่างไร
แต่หลินสวินไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไป
เขาสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง
ปราณกระบี่ไท่เสวียนเหมือนกับกระแสน้ำเชี่ยวหนาแน่น ม้วนตลบฟ้าดิน ปราณกระบี่กวาดทั่วทิศ น่าสะพรึงกลัวดุจอสนี ยิงจู่โจมสิบด้าน
มองดูจากไกลๆ ปราณกระบี่ราวสายรุ้ง คมกริบเหนือโลกา!
ไม่ได้เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด เพียงไม่กี่อึดใจ หนิวทุนเทียน กวงฝู่ชิง อั้นหลิงเจินต่างถูกฟันสังหาร
พวกเขาทั้งดิ้นรน ทั้งหลบหนี ทั้งอ้อนวอน แต่ทุกอย่างก็เปลืองแรงเปล่า ด้วยถูกปราณกระบี่ดุดันแน่นขนัดนั้นจู่โจมอย่างสิ้นเชิง
ฟ้าดินกลับมาเงียบเชียบ ความสงบก่อนหน้าหวนกลับมา หลินสวินพ่นลมหายใจยาว พลันรู้สึกว่าทั้งร่างเหนื่อยล้าถึงที่สุด ภาพตรงหน้ามืดดำไปครู่หนึ่ง เงาร่างซวนเซ ถึงกับเกือบโหม่งลงมาจากห้วงอากาศ
เขารีบร้อนเอาโอสถเทพที่มีแสงวิญญาณเจิดจรัสต้นหนึ่งออกมาเริ่มเคี้ยวกลืนเพื่อเติมพลังกาย
แม้อภินิหารหยุดเวลาจะแข็งแกร่งถึงขั้นเรียกได้ว่าเย้ยฟ้า แต่ระหว่างที่สำแดงออกมาเพียงชั่วพริบตาเดียว กลับดึงสารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั้งร่างเขาไปจนเกือบหมด
กอปรกับใช้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารกับศรนภาครามอย่างต่อเนื่อง เพียงคิดก็รู้ว่าจะผลาญพลังกายของหลินสวินไปมากมายเพียงไหน
ยังดีที่ทั้งหมดนี้ไม่ได้เหนือความคาดหมายอะไร
หลังจากฟื้นฟูพลังกายได้นิดหน่อย หลินสวินก็จัดการทรัพย์หลังศึกเล็กน้อยแล้วหายตัวไปจากสนามรบแห่งนี้
หนึ่งเค่อผ่านไป
หลินสวินซ่อนตัวอยู่ในถ้ำใต้ดิน เริ่มสงบใจนั่งสมาธิ
การต่อสู้ครั้งนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะอยู่ในการควบคุม แต่สำหรับหลินสวินแล้วกลับมีความหมายไม่ธรรมดายิ่งนัก
เพราะทั้งหมดนี้ เขาพึ่งพากำลังของตัวเองสังหารอริยะแท้สองคน ต่อให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อน แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นอริยะอยู่ดี!
สำหรับผู้แข็งแกร่งที่มีระดับต่ำกว่าอริยะ ระดับอริยะเป็นดั่งกำแพงสวรรค์ ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันแทบไม่เคยมีเรื่องอย่างหลินสวินที่ข้ามระดับไปสังหารอริยะเกิดขึ้นมาก่อน
และก็เป็นศึกนี้เองที่ทำให้หลินสวินได้รู้ว่าพลังต่อสู้ในตอนนี้ของตนแข็งแกร่งขนาดไหน ที่สำคัญยิ่งกว่าคือได้ล่วงรู้ถึงอานุภาพน่าหวาดหวั่นของอภินิหารหยุดเวลา
ตามการอนุมานของหลินสวิน หากใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม อาศัยอภินิหารหยุดเวลา ต่อให้สังหารอริยะแท้ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บคนหนึ่งก็คงไม่ได้มีปัญหามากมาย!
สองวันผ่านไป
หลินสวินที่พลังกายฟื้นคืนมาโดยสมบูรณ์จากมาอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปที่นอกป่าต้นหม่อน
หมอกสีเทาที่ปกคลุมป่าต้นหม่อนอยู่เดิมหายไปโดยสมบูรณ์ ทิวทัศน์กลางฟ้าดินแจ่มชัดหาใดเทียบ แต่กลับดูรกร้างหาใดเปรียบ ไม่มีพลังชีวิตสักนิด
ตลอดทางหลินสวินก็พบโครงกระดูกของสิ่งมีชีวิตน่ากลัวบางตัวอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าเพิ่งตายได้ไม่นาน โดยมากประสบด่านเคราะห์จนตาย ในซากศพยังคงหลงเหลือพลังด่านเคราะห์ต้องห้ามอันน่าหวาดผวาเป็นริ้วๆ อยู่
ยามนี้หลินสวินถึงรับรู้ได้ว่าในป่าต้นหม่อนไม่ได้ไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับมหาอริยะกับราชันอริยะ แต่เป็นเพราะด่านเคราะห์ต้องห้ามทั้งสามที่เกิดขึ้นในตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ มีผลกระทบกับสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่กระจายอยู่ในป่าต้นหม่อนด้วยเช่นกัน!
’สมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ เดิมทีก็เป็นสถานที่ที่มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ร่วงหล่น และยังเป็นที่ที่เขาจัดวางตระเตรียม และตอนนี้เมื่อจุดเปลี่ยนใหญ่ครั้งหนึ่งปิดฉากลง จึงทำให้ที่นี่เสียพลังที่เคยมีมาแต่ก่อนไปด้วย…’
หลินสวินครุ่นคิด
……
สมรภูมิกระหายเลือด ภูเขาเมฆาคราม
“พี่หลินกลับมาแล้ว!”
ไกลออกไปพอเห็นเงาร่างหลินสวินปรากฏขึ้น ผู้แข็งแกร่งจักรวรรดิที่ประจำการอยู่ที่ประตูใหญ่ของค่ายก็ร้องเสียงดังตื่นเต้นขึ้นมา
จากนั้นทั้งภูเขาเมฆาครามก็อึกทึกครึกโครมขึ้นมา เงาร่างมากมายเคลื่อนออกมา ราชินีกระหายเลือดจ้าวซิงเย่ สืออวี่ หนิงเหมิง หลี่ตู๋สิง เย่เสี่ยวชี กงหมิง…
บนใบหน้าที่คุ้นเคยแต่ละหน้าต่างเจือรอยยิ้มจากใจ ตื่นเต้นไม่หยุดทั้งนั้น
เมื่อหลินสวินได้เห็นภาพนี้เข้า ก็อบอุ่นในใจอย่างห้ามไม่อยู่
เพียงแต่พอสายตาเขาเคลื่อนที่ไปมองบริเวณหนึ่งก็ชะงักไปทันที
ในบริเวณนั้นมีเงาร่างงดงามร่างหนึ่ง เป็นหญิงแต่งกายเป็นชาย เงาร่างอ้อนแอ้นอรชร ใบหน้าดุจภาพวาด รอยยิ้มพริ้งเพรา ทั้งร่างมีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์แจ่มกระจ่างกระจายออกมา
และข้างกันมีเด็กหนุ่มชุดเขียวที่หล่อเหล่าหาใดเทียบคนหนึ่งยืนอยู่
เป็นจ้าวจิ่งเซวียนกับเจ้าคางคก!
“ทำไมพวกเจ้าก็มาแล้วล่ะ” หลินสวินประหลาดใจ เงาร่างเคลื่อนไปหา
เจ้าคางคกส่ายหน้าถอนหายใจเอ่ยว่า “เฮ้อ เจ้านึกว่าข้าอยากมาหรือไง ถ้าไม่ใช่เพราะแม่นางจิ่งเซวียนห่วงสวัสดิภาพของเจ้า…”
ยังไม่ทันพูดจบ ตัวเขาก็ถูกจ้าวจิ่งเซวียนใช้ขาข้างหนึ่งเตะกระเด็นออกไป
“เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ”
หลินสวินดวงตาเปล่งประกาย มองไปยังคนงามที่อยู่ข้างกาย ก็เห็นว่าเนตรกระจ่างของนางดุจดั่งวารี หน้าแดงเล็กน้อย เผยให้เห็นความสง่างามที่พาให้ผู้อื่นหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก
“คนเยอะขนาดนี้มาเพ้อเจ้ออะไร”
จ้าวจิ่งเซวียนถลึงตาดุใส่หลินสวินแล้วแหวขึ้นว่า “คราวนี้มีเรื่องสำคัญเลยมาหาเจ้า”
“เรื่องอะไร” หลินสวินประหลาดใจ
“คุณชายหลิน ไม่เจอกันนาน”
ทันใดนั้นละอองแสงสายหนึ่งโปรยลงมากลางห้วงอากาศ แปรสภาพเป็นเด็กสาวกระโปรงเหลืองรูปร่างสะโอดสะองคนหนึ่ง
นางมีคิ้วงามโค้ง คางแหลม ดวงตาเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวา รูปลักษณ์พริ้งเพราราวเซียน มุมปากยกยิ้มสวยบางๆ
“แม่นางอาหูหรือ”
หลินสวินชะงักไปเป็นอย่างแรก แล้วจากนั้นก็จำเด็กสาวที่แต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนตรงหน้านี้ได้ทันที เป็นเด็กสาวลึกลับที่มอบยานขนส่งอวกาศให้ตนลำหนึ่ง พาตนกับเจ้าคางคกหลบหนีการไล่ฆ่าของสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันทั้งกลุ่ม
“ที่แท้คุณชายก็ยังจำข้าได้”
อาหูยิ้มละไม ใบหน้านางงดงามประณีต ชุดกระโปรงปลิวไปตามลม ขับเน้นโครงร่างขาวกระจ่างอ้อนแอ้นของนางให้ยิ่งดูอรชร
แม้พูดว่าไม่ได้พบกันนาน แต่ตอนนี้ยามได้เผชิญหน้ากับอาหู ก็ยังคงทำให้หลินสวินตื่นตะลึงดังเดิม
นางงดงามเป็นเอกลักษณ์ ไร้มลทินยากจับต้อง เหมือนนางเซียนที่ไม่แปดเปื้อนโลกีย์จากโลกมนุษย์ เรือนร่างงามงด มีส่วนโค้งเว้าหยดย้อย เอวเล็กคอดจนใช้มือโอบรอบได้ ทั้งยังมีเสน่ห์เย้ายวนใจอย่างบอกไม่ถูก
โดยเฉพาะยามยิ้มบางๆ ดวงตาโตมีชีวิตชีวา ริมฝีปากเปล่งปลั่ง สวยสะคราญจนทำให้ผู้อื่นหายใจติดขัด
หลินสวินยิ้มเอ่ย “ตอนนั้นถ้าไม่ได้แม่นางอาหูช่วยไว้ ด้วยความสามารถของข้าผู้แซ่หลิน คิดจะออกจากทะเลกลืนวิญญาณอย่างปลอดภัยคงสำเร็จได้ยาก”
ระหว่างที่พูดอยู่ ด้วยการนำของจ้าวซิงเย่ ทั้งกลุ่มก็มาถึงยอดเขา ทุกคนต่างมองออกว่าอาหูมีเรื่องต้องการปรึกษาหลินสวิน จึงพากันจากมาอย่างรู้งาน
“การจัดวางของมหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ในตอนนั้น ตอนนี้รู้ผลลัพธ์แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าคุณชายเตรียมพร้อมไปสมรภูมิเก้าดินแดนหรือยัง”
ในบ้านหินที่หลินสวินอาศัย อาหูยิ้มละไมเอ่ยปาก เนตรดาราของนางทอดสายตามอง บนใบหน้างดงามขาวเกลี้ยงของนางมีแต่แววยากจับต้อง
“แม่นางมาคราวนี้เพราะการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนหรือ”
หลินสวินครุ่นคิดแล้วเอ่ยถาม
อาหูพยักหน้า “ใช่แล้ว พูดขึ้นมาก็มีเรื่องอยากขอให้คุณชายช่วย”
หลินสวินเอ่ย “แม่นางอาหูพูดมาเลย ของเพียงข้าผู้แซ่หลินทำได้ย่อมไม่ปฏิเสธ”
เห็นหลินสวินตอบรับฉับไวเช่นนี้ อาหูก็ยิ้มน้อยๆ อย่างอดไม่ได้ จากนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา เอ่ยว่า “คุณชายเคยได้ยินชื่อป้ายคำสั่งเซียนเหินหรือไม่”
——
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท