Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1481 อานุภาพแห่งหนึ่งก้าว

ตอนที่ 1481 อานุภาพแห่งหนึ่งก้าว
เปรี้ยง!
ราวฟ้าผ่าลงกลางใจของปี้เหิน
ในครรลองสายตา ชายหนุ่มที่ก้าวออกมาข้างหน้านั้นเหมือนเหวลึกดูดกลืนหมู่ดาวทั่วบริเวณ เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามที่ไม่เปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์ กำราบสรรพชีวิต
เปรียบเทียบกันแล้วปี้เหินรู้สึกว่าตัวเองเหมือนมดปลวกตัวหนึ่ง ได้แต่แหงนมองและหมอบคลาน ไม่อาจรับรู้ได้ถึงความสูงส่งของเขา!
เพียงพริบตาใบหน้างามของปี้เหินซีดเผือด กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างต่างแข็งทื่อ กลิ่นอายน่าหวาดกลัวชวนตระหนกแผ่ไปทั่วตัวเหมือนกระแสลมหนาว
หืม?
เกือบจะเวลาเดียวกัน อี้เทียนหลินสังเกตเห็นความผิดปกติตั้งแต่พริบตาแรก เดิมเขาคิดว่าหากหลินสวินต้านไม่อยู่ก็จะยื่นมือเข้าช่วยทันที
แต่เขากลับพบว่ายามหลินสวินก้าวออกไป ปี้เหินผู้นี้ก็ราวเผชิญกับความหวาดกลัว ไม่มีท่าทีแข็งกร้าว ดุดัน หยิ่งทะนงเหมือนก่อนหน้านี้อีก
เหมือนระหว่างที่ก้าวเดินก็ทำให้นางแบกรับแรงกดดันที่เกือบจะต้านไม่อยู่!
“คุณชาย…”
เซี่ยเวยเอ่ยปากแต่กลับไม่กล่าวออกมา หลินสวินออกหน้าเพื่อนาง ทำให้นางเกินคาดหมาย ซาบซึ้งใจไม่หยุด แต่นางก็ไม่อยากให้หลินสวินซ้ำรอย ถูกหญิงสาวต่างดินแดนคนนั้นทำให้บาดเจ็บ
เพียงแต่เวลานี้นางก็สังเกตเห็นถึงความผิดแปลกอย่างฉับไว
ก้าวย่างนี้ทำให้ปี้เหินนั่นราวกับถูกสะกด ไม่ยอมลงมือ!
นี่…
ไม่นานคนอื่นๆ ในที่นั้นก็สังเกตเห็นความผิดปกติ แต่ละคนแปลกใจไม่หยุด
ตึง!
จากนั้นภายใต้การจับจ้องด้วยสายตาตื่นตระหนกของทุกคน ร่างตรงดิ่งดุจกระบี่ของปี้เหินถึงกับคุกเข่าลงกับพื้น หมอบคลานอยู่ตรงนั้น เหมือนกำลังทำความเคารพอย่างสูง!
บนพื้นนั่น ก้อนหินต้นไม้สั่นระรัวตามแรงสะเทือนในการคุกเข่าของนาง
ก้าวเดียว!
หญิงสาวที่มาจากต่างดินแดนซึ่งก่อนหน้านี้มองข้ามเหล่าผู้กล้า ฝีมือดุดันแข็งกร้าว ถึงกับคุกเข่าลงกับพื้น
ภาพเช่นนี้ราวกับฟ้าถล่มดินทลายจริงๆ ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกตะลึงเบิกตากว้าง ลมหายใจหยุดไปชั่วขณะ ไม่กล้าที่จะเชื่อ
ต้องรู้ว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ใช่พวกธรรมดา หากแต่เป็นผู้ฝึกกระบี่หญิงคนหนึ่งที่ก้าวสู่มกุฎมรรคา พลังต่อสู้แข็งแกร่งถึงขั้นทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างรู้สึกสิ้นหวัง
แต่ตอนนี้แค่หลินสวินก้าวออกไปง่ายๆ ก้าวเดียว นางก็คุกเข่าแล้ว!
เมื่อมองหลินสวินอีกครั้ง ท่าทางเขายังคงราบเรียบเหมือนก่อนหน้านี้ สีหน้าไม่เรียบเฉย ไม่มีคลื่นลมแม้แต่น้อย เหมือนเชื่อว่าทุกอย่างนี้เดิมทีก็ควรเป็นเช่นนั้น
คนไม่น้อยต่างกลืนน้ำลายไม่หยุด ใจสั่นระรัว ตระหนักได้ว่าคนที่ถูกพวกเขาละเลยผู้นี้ ความจริงแล้วเป็นบุคคลน่ากลัวที่เก็บงำตัวตนได้แนบเนียนคนหนึ่ง!
อี้เทียนหลินสีหน้ามึนงง ในใจก็ถูกภาพนี้โจมตีเช่นกัน ไม่อาจนิ่งสงบ
ไหนเลยจะคาดคิดว่าในงานชุมนุมที่เขาเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นจะมีบุคคลร้ายกาจแห่งยุคอย่างหลินสวินปรากฏตัว
เซี่ยเวยปิดปาก ดวงตาผลซิ่งเบิกโต
ครั้งแรกที่เจอหลินสวินนางก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งเช่นนี้!
ศิษย์พี่กู่ก็อึ้งงัน
ก่อนหน้านี้ที่เจอหลินสวิน นางยังไม่ใส่ใจ ถึงขั้นเกือบจะปฏิเสธอีกฝ่ายไม่ให้เข้าร่วมงานชุมนุมครั้งนี้ แต่ด้วยการมาเยือนของอี้เทียนหลิน ทำให้นางทิ้งหลินสวินไว้เบื้องหลัง ไม่ให้ความสนใจอีก
แต่ตอนนี้…
ในใจนางพลันเอ่อล้นด้วยความรู้สึกนึกเสียดาย หากเมื่อครู่ตนให้ความสำคัญกับคนผู้นี้เหมือนอย่างเซี่ยเวย บางทีเงากระบี่นั่นก็อาจจะไม่ฟาดเข้าที่หน้าของนางกระมัง
“เจ้าเป็นใคร”
น้ำเสียงเยียบเย็นและขุ่นเคืองหลุดออกจากปากของปี้เหินที่คุกเข่าอยู่กับพื้น ทำลายความเงียบสงัดในที่นั้น
ใช่แล้ว เจ้าหมอนี่เป็นใคร
พวกอี้เทียนหลินก็ยังใคร่รู้
“คนถูกคุมขังมีสิทธิ์ถามด้วยรึ”
หลินสวินก้มมองนาง น้ำเสียงราบเรียบ
แต่ประโยคเดียวกลับประหนึ่งใบมีดคมกริบเสียบแทงทะลุหัวใจของปี้เหิน ทำให้นางรู้สึกเดือดดาลและอับอายหาใดเปรียบ
ตั้งแต่มาเยือนดินแดนรกร้างโบราณจนถึงวันนี้ นางไม่เคยเห็นผู้ฝึกปราณของดินแดนนี้อยู่ในสายตา ในใจมีความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีที่สูงส่งเหนือผู้อื่น
แต่ตอนนี้นางกลับถูกก้าวเดียวสยบให้คุกเข่า ศักดิ์ศรีถูกเหยียบย่ำ!
และเวลานี้ในใจของพวกอี้เทียนหลินก็มีความรู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหน้านี้ความเย่อหยิ่งและจองหองของปี้เหินทำให้พวกเขากลั้นเพลิงโทสะไว้ทั่วท้อง ตอนนี้ในที่สุดก็ได้ระบายออกมา
“ข้าไม่สนใจจะรังแกหญิงรับใช้อย่างเจ้า กลับไปบอกเจ้านายของเจ้าว่าหากไม่พอใจก็มาหาข้าได้ ข้าจะให้โอกาสเขาท้าประลองข้าครั้งหนึ่ง”
หลินสวินพูดพลางถอนสายตากลับ สองมือไพล่หลัง ก้าวไปทางเชิงเขา
“จำไว้ว่าข้าชื่อหลินสวิน”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาก็ลอยจากไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
แต่บนยอดเขากลับเป็นเพราะคำว่า ‘หลินสวิน’ เลยทำให้อึกทึกพลุ่งพล่านอย่างสมบูรณ์
หลินสวิน!
เทพมารหลิน!
สำหรับผู้ฝึกปราณทั่วดินแดนรกร้างโบราณ ชื่อนี้ก็เหมือนตำนานอย่างหนึ่ง เป็นตำนานเทพแห่งยุคบนมกุฎมรรคา
ใครเล่าจะไม่รู้จัก
“เป็นเขา…”
อี้เทียนหลินเหม่อลอย ยามคิดจะรั้งตัวหลินสวินไว้ มีหรือจะเจอเงาร่างของหลินสวินอีก
“ที่แท้เขาก็คือเทพมารหลิน…”
ลมหายใจของเซี่ยเวยเปลี่ยนเป็นกระชั้นถี่ ใบหน้างามเปล่งประกาย ตอนนี้ถึงได้รู้ว่านางถึงกับข้องเกี่ยวกับเทพมารหลินครู่หนึ่งโดยไม่รู้ตัว
นี่ช่างเหมือนฝันจริงๆ
ศิษย์พี่กู่นึกเสียใจยิ่งกว่าเดิมแล้ว ในใจเต็มไปด้วยความสับสน
เทพมารหลินถึงกับถูกตนละเลยและไม่สนใจ… นี่ทำให้นางนึกเสียใจจนอยากตายแล้ว
สำหรับคนอื่นในที่นั้นมีแค่การตอบสนองเดียว มิน่าถึงใช้ก้าวเดียวสยบคู่ต่อสู้ให้คุกเข่าได้ สำหรับเทพมารหลิน นี่ไม่ใช่เรื่องปกติหรือ
ปี้เหินที่คุกเข่าอยู่กับพื้นเวลานี้กลับบื้อใบ้ ในใจสั่นสะท้าน ถึงขั้นทำให้นางรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
แพ้ในมือของเทพมารหลินนั่น ดูเหมือนว่าจะไม่เสียหน้าเท่าไรนัก
วันนี้ข่าวที่เทพมารหลินปรากฏตัวในงานชุมนุมพันกระแสแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ม้วนพัดออกไป ชักนำมาซึ่งความอึกทึกครึกโครม
“ผ่านไปสองปี ชายที่ราวกับตำนานเทพไร้พ่ายคนนั้นปรากฏตัวอีกครั้งแล้ว!”
ผู้ฝึกปราณมากมายตื่นเต้น
สองปีก่อนหลินสวินกลับไปยังโลกชั้นล่าง ทว่าสำหรับผู้ฝึกปราณทั่วดินแดนรกร้างโบราณ หลินสวินกลับเหมือนหายตัวเข้ากลีบเมฆ
สองปีมานี้ไม่มีคนได้ยินข่าวเกี่ยวกับเขาอีก และด้วยเหตุนี้จึงนำมาซึ่งการคาดเดาและวิพากษ์วิจารณ์มากมาย
บ้างว่าเทพมารหลินประสบเคราะห์แล้ว เขาล่วงเกินสำนักโบราณมากเกินไป เป็นไปได้สูงว่าจะถูกคนฆ่าไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
บ้างว่าเทพมารหลินกำลังปิดด่าน ทะลวงระดับมกุฎอริยะ
แน่นอนว่าก็มีคนแคลงใจ ว่าเขาได้จากดินแดนรกร้างโบราณกลับไปยังบ้านเกิดของตนแล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไรวันนี้เทพมารหลินก็ปรากฏตัวอีกครั้ง!
หากเป็นเพียงผู้ฝึกปราณธรรมดาคนหนึ่ง แน่นอนว่าคงดึงดูดความสนใจไม่ได้เท่าไร แต่หลินสวินย่อมต่างออกไปเป็นธรรมดา
เขาในปีนั้นถูกเรียกว่าวีรชนแห่งแดนมกุฎ เป็นอันดับหนึ่งของกระดานทองคำผู้กล้า และกลายเป็นอันดับหนึ่งของมกุฎมรรคา มีชัยเหนืออริราชศัตรู!
เขาในปีนั้นถูกอริยะล้อมโจมตีที่นอกเมืองหม่อนหิมะ แต่กลับฟาดฟันเหล่าอริยะอย่างเดือดดาล ปั่นป่วนโลกหล้า ทำให้สำนักโบราณไม่รู้เท่าไรทั้งตระหนกทั้งขุ่นเคือง
และตอนนี้เขากลับมาแล้ว!
“เจ้าเด็กนี่ปรากฏตัวอีกครั้งแล้ว!”
วันนี้ไม่รู้มีสำนักโบราณเท่าไหร่ถูกทำให้ตกใจ แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าบางส่วนก็ยังไม่อาจไม่ให้ความสนใจ
ด้วยหลินสวินในปีนั้นเคยสังหารอริยะ ทั้งยังไม่ได้ฆ่าแค่คนเดียว!
“พวกเราจะไม่อ้างว้างอีกแล้ว”
บุคคลขอบเขตมกุฎบางส่วนอย่างเย่หมัวเฮอ หมีเหิงเจิน หวังเสวียนอวี๋ เมื่อได้ยินข่าวนี้ก็พากันทอดถอนใจออกมาเช่นนี้
“ฮ่าๆๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนใกล้มาเยือน เขาหลินสวินย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสแน่”
พวกที่สนิทกับหลินสวินบางส่วนอย่างเซียวชิงเหอ เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉินต่างเบิกบานใจ รู้สึกยินดีต่อการกลับมาอย่างแข็งกร้าวของหลินสวิน
“ดินแดนรกร้างโบราณนี้จะได้ครึกครื้นอีกครั้งแล้ว เทพมารหลินปรากฏตัวแต่ละครั้ง แน่นอนว่าต้องชักนำให้เกิดคลื่นถาโถม”
“ช่วงนี้ตั้งแต่ศัตรูต่างดินแดนพวกนั้นมาถึงก็ไม่เห็นดินแดนรกร้างโบราณของพวกเราในสายตา กำเริบเสิบสานเป็นอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้เทพมารหลินก้าวออกมาแล้ว ย่อมต้องแก้ไขทุกอย่างนี้ได้แน่!”
“ครั้งนี้เทพมารหลินใช้ก้าวเดียวสยบหญิงรับใช้ของลั่งเชียนเหิงนั่นให้คุกเข่า ทั้งยังทิ้งวาจาห้าวหาญไว้ว่าจะให้โอกาสลั่งเชียนเหิงท้าประลองเขาด้วย ข้าอยากรู้นักว่ายามที่ลั่งเชียนเหิงรู้เรื่องทุกอย่างนี้ จะกล้าไปท้าทายเทพมารหลินหรือไม่”
“ตั้งตารอดูเถอะ!”
วันนี้เสียงวิพากษ์วิจารณ์นับไม่ถ้วนกระจายไปทั่วดินแดนรกร้างโบราณในต่างบริเวณ
สาเหตุที่ข่าวแพร่กระจายไปเร็วเช่นนี้ ด้านหนึ่งด้วยเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของหลินสวินเอง อีกด้านก็ด้วยเกี่ยวข้องกับเผ่าวาทวาโย
เผ่าพันธุ์นี้ยึดครองต้นข่าวสารทุกดินแดนทั้งใต้หล้า หลังจากรู้ว่าหลินสวินปรากฏตัวก็ใช้ใบต้นข่าวสารทองคำแพร่ข่าวออกไปในต่างบริเวณทันที
ด้วยเหตุนี้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน จึงทำให้ข่าวการปรากฏตัวของหลินสวินเป็นที่รับรู้ของผู้ฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณในต่างบริเวณ
ผ่านไปหลายวัน
แดนชัยบูรพา นครหยกขาว
ชายหนุ่มชุดทองคนหนึ่งยืนอยู่หน้าหอหลอมจิตหนึ่งในสิบสองหอ ท่าทางราวเสือหมอบมังกรซุ่ม แผ่กลิ่นอายเหมือนเหยียดหยันใต้หล้าออกมา
ผมสีเลือดเข้มทั้งศีรษะของเขาทิ้งตัวลงมายาวถึงเอว เครื่องหน้าทั้งห้าคมชัดราวแกะสลัก นัยน์ตาเขียวมรกตแผ่แสงเหลือบแปลกประหลาด
“ก้าวเดียวก็สยบเจ้าให้คุกเข่าได้รึ”
ชายหนุ่มชุดทองถอนสายตาที่มองไปยังหอหลอมจิตกลับมา แล้วถอนใจเฮือกหนึ่ง “คิดไม่ถึงว่าในดินแดนรกร้างโบราณที่มกุฎมรรคาตัดขาดในกาลเวลาไร้สิ้นสุดจะยังมีบุคคลเช่นนี้อยู่”
ข้างๆ ปี้เหินสีหน้าซีดเผือด ก้มหน้ากล่าว “เป็นเพราะข้าน้อยไร้สามารถ”
ชายหนุ่มชุดทองคนนี้ก็คือลั่งเชียนเหิงอย่างไม่ต้องสงสัย บุคคลแห่งยุคที่มาจากดินแดนโบราณมารโลหิตคนหนึ่ง และเป็นเขาที่ประกาศว่าจะท้าประลองกับบุคคลขอบเขตมกุฎทั้งหมดในดินแดนรกร้างโบราณ
ในช่วงเวลานี้เขาซัดกวาดศัตรู ไม่เคยแพ้มาก่อน ก่อเรื่องจนดินแดนรกร้างโบราณอึกทึกครึกโครม ทำให้ผู้ฝึกปราณมากมายในดินแดนรกร้างโบราณเงยหน้าไม่ขึ้น
“ไร้สามารถ? หึๆ แม้เจ้าจะเป็นหญิงรับใช้ที่ติดตามข้างกายข้า แต่ในดินแดนโบราณมารโลหิต ใครเล่าจะไม่รู้ว่าเจ้าปี้เหินมีพรสวรรค์โดดเด่น คุณสมบัติเป็นเลิศ”
สายตาของลั่งเชียนเหิงเหลือบมองปี้เหินเล็กน้อย “ไม่อย่างนั้นมีหรือเจ้าจะถูกข้าเลือกให้มาปรนนิบัติอยู่ข้างกาย”
ในใจปี้เหินขมขื่น “แต่สุดท้ายข้าน้อยก็แพ้ ต้านไม่ได้แม้แต่อานุภาพก้าวเดียวของอีกฝ่าย ความอัปยศเช่นนี้ ชีวิตนี้เกรงว่าคงยากจะทวงคืนกลับมาแล้ว”
นางรู้ดีว่าช่องว่างของตนกับหลินสวินห่างกันมากแค่ไหน
“เจ้าทวงคืนกลับมาไม่ได้ ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
หว่างคิ้วของลั่งเชียนเหิงฉายแววเยียบเย็นน่าพรั่นพรึง “ตีสุนัขยังต้องดูเจ้าของ เจ้าเป็นหญิงรับใช้ของข้า เมื่อถูกหยามหน้าไม่ใช่ว่าเป็นการตบหน้าของข้าหรือ”
ปี้เหินชะงักแล้วกล่าว “นายท่านจะไปท้าประลองกับหลินสวินนั่นหรือ”
ลั่งเชียนเหิงสีหน้าราบเรียบกล่าว “ไม่ ข้าอยากให้เขามาหาข้าเอง ช่วยข้าส่งข่าวออกไป หลังจากนี้หนึ่งเดือน หน้าหอหลอมจิตแห่งนครหยกขาวนี้ ข้าลั่งเชียนเหิงจะรอเขามาสู้ด้วย!”
ปี้เหินใจกระตุกวูบ พยักหน้ารับคำ
แต่เวลานี้พลันมีเสียงบางแหลมสูงหนึ่งดังขึ้น “พี่ลั่ง ทำไมต้องรอหนึ่งเดือน ไม่มีความเชื่อมั่นว่าจะเอาชนะหลินสวินนั่นได้หรือ มิสู้ให้ข้าช่วยท่านจัดการกับเขาเป็นอย่างไร”
…………………
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท