บทที่ 134 คิดดีแล้ว
หลังจากเสียงปืนดังขึ้น ก็เงียบสงัด
ฉินเทียนนำปืนโยนให้เหลิ่งเฟิง เอ่ยว่า “ครั้งนี้โชคดีมากที่มาเจอฉัน ไม่อย่างนั้นพวกคุณคงตายไปหมดแล้วแหละ”
“คราวหน้าอย่าลืมจำไว้ละ ไปเถอะ”
สติเหลิ่งเฟิงเพิ่งจะกลับมา เขาพูดอย่างตกตะลึง “คุณแน่ใจ เมื่อกี้ได้ฆ่าฝ่ายตรงข้ามเสียแล้ว?”
“ฉันไม่เชื่อ!”
“ฉันจะไปดู!” สมาชิกคนหนึ่งแนบกับกำแพงวิ่งออกไปอย่างระมัดระวัง วิ่งไปทางตึกสูงร้างที่อยู่ตรงข้ามอย่างรวดเร็ว
“น้องสี่ เป็นอะไร?”
“น้องสี่ รีบพูดสิ!” เหลิ่งเฟิงเร่งถามอย่างทนไม่ไหวในเครื่องอินเตอร์โฟน
ซึมไปสักพัก เครื่องอินเตอร์โฟนได้ส่งเสียงของน้องสี่ “กัปตัน นัดเดียวหัวระเบิด”
“อีกอย่างไอคนพาลนี้ ยังหลบอยู่หลังอิฐ”
อะไรนะ?
เหลิ่งเฟิงและสมาชิกทั้งหมดของโล่ฟ้า อ้าปากอึ้งกันไปหมด
พวกเขาต่างเป็นนักชำนาญการยิงปืน แต่ว่าย้อนคิดภาพเมื่อกี้ที่ฉินเทียนรับปืน、ยิงปืน ทันใดนั้นพวกเขาต่างรู้สึกกันว่า ตัวเองเป็นเพียงแค่ตุ๊กตา
ปืนในมือ ก็แค่ของเล่น
พวกเขาไม่รู้หรอกว่าอะไรคือปืน ไม่สมควรจับปืน
ความต่างแบบนี้ น่าโจมตีคนเลยจริงๆ
“คุณฉิน ก่อนหน้านี้ฉันเองที่ละลาบละล้วงมากไป ขอบคุณที่ช่วยชีวิตไว้!” เหลิ่งเฟิงก้มคำนับด้วยเสียงดังพาทีหนึ่ง
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ตามทักษะของฉินเทียน ถึงแม้เมื่อกี้เขาจะไม่ยิง แต่ฉินเทียนก็จะฆ่าศัตรูภายในวิเดียวแน่นอน ถูกปลดปล่อยอย่างง่ายดาย
“คุณรู้จักพี่กั่วของพวกเราเหรอ คุณเป็นใครกัน?” เขาเติมไปด้วยความสงสัย
ฉินเทียนไม่อยากพูดมากไป เอ่ยว่า “ไกล้ค่ำแล้ว กลับไปก่อน”
“เอ้อร์กั่วอยู่ประเทศยี่มั้ย? ถ้าหากอยู่ ให้มันมาหาฉัน ไปพบฉันที่โรงแรม”
รวมถึงเหลิ่งเฟิงอยู่ในนั้น สมาชิกทั้งหมดของโล่ฟ้า อ้าปากค้างพูดไม่ออก
พี่กั่วผู้ที่เหมือนกับพระเจ้าในดวงใจของพวกเขา แต่อยู่ในสายตาไอนี่ เหมือนกับว่าอะไรก็ไม่ใช่……
เขา เป็นใครกันแน่!
พวกเขาคิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออก เพียงแต่ว่า เนื่องด้วยเมื่อกี้ที่ฉินเทียนโผล่การยิงไปทีหนึ่ง พวกเขาไม่กล้ารีบร้อน
หลังจากที่เหลิ่งเฟิงจัดเตรียมให้ฉินเทียนและหลิวหรูยู่ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ รีบโทรติดต่อหาเฉินเอ้อร์กั่วพี่ใหญ่พวกเขาทันที เล่าสิ่งที่เกิดขึ้น
เดิมคิดว่า พี่กั่วจะพูดอะไรหน่อย
ใครจะไปรู้
“ฮ่าๆๆๆ!”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ……”
“ฮ่าๆๆๆๆ!”
จากนั้น จู่ๆเสียงหัวเราะก็หยุด เฉินเอ้อร์กั่วพูดอย่างเข้มงวด “เหลิ่งเฟิง คุ้มกันผู้นั้นกลับโรงแรม จากนั้น รีบกลับมารับฉัน”
“ทราบ!” เหลิ่งเฟิงรีบรับคำสั่ง
“คุณฉิน คิดไม่ถึง คุณก็เป็นนักมือปืนคนหนี่ง”
“รู้สึกว่าเหมือนกับถ่ายหนังเลย” บนเครื่องบิน หลิวหรูยู่มองฉินเทียน พูดพร้อมกับอมยิ้ม
เธอไม่เข้าใจเทคนิคการยิงปืน ในสายตาเธอ ถึงแม้ฉากเมื่อกี้จะดูน่าอัศจรรย์ เหมือนกับถ่ายหนัง
แต่ว่า ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวเหมือนเหลิ่งเฟิงพวกเขา
ความรู้สึกเซอร์ไพรส์ที่มากไปกว่านี้ของเธอ คือผู้ชายคนนี้กลับมีความสามารถที่น่าอัศจรรย์ใจแบบนี้
ฉินเทียนหัวเราะ เอ่ยว่า “บิ๊กสตาร์ ตอนนี้บอกฉันได้หรือยัง วันนี้เป็นวันอะไรกันแน่?”
หลิวหรูยู่เม้มปากหัวเราะพร้อมกับเอ่ย “วันนี้เป็นวันเกิดฉันอายุยี่สิบสี่”
“คุณฉิน ขอบคุณนะ”
“หืม?” ฉินเทียนขมวดคิ้ว “ขอบคุณฉันทำไม?”
“ขอบคุณ ที่อยู่เป็นเพื่อนฉันเพื่อผ่านพ้นวันเกิดอันน่าจดจำแบบนี้”
“ชาตินี้ฉันคงไม่ลืมมันแล้ว”
ฉินเทียนหัวเราะพร้อมเอ่ย “ถ้าอย่างนั้น ต่อไปฉันยังสามารถเรียกคุณว่าหลิวเสี่ยวฮัวได้ไหม?”
หลิวหรูยู่หัวเราะ พูดว่า “ได้สิ นี่เป็นความลับสำหรับพวกเราสองคน”
ตอนก่อนหน้าที่ยังไม่รู้ฐานะของหลิวเสี่ยวฮัว การกระทำของเธอ รู้สึกค่อนข้างที่จะเข้าใจยากจริงๆ
ตอนนี้ ฉินเทียนก็ต้องเข้าใจละสิ
บิ๊กสตาร์ที่เจอแต่ไฟสปอตไลท์ห้อมล้อม ในวันเกิดตัวเองนี้ อยากออกมาสูบอากาศคนเดียว
คนธรรมดาก็เข้าใจอยู่แล้ว
กลับถึงในเมือง หลิวหรูยู่และฉินเทียนต้องจากการทั้งๆที่ไม่อยากจากกัน โดนพี่หรงผู้จัดการของเธอรับกลับ
ก่อนจะไป เธอรวบรวมความกล้าสักที ขอเบอร์โทรศัพท์ของฉินเทียน
จนทำให้พี่หรงสงสัย บอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อฉินเทียน อย่าเอาเรื่องนี้แพร่ออกไป เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงอนาคตการเป็นดาราของคุณหลิว
ในสายตาพี่หรง ฉินเทียนก็คือคนเสเพลที่ฉวยโอกาสเป็นดาราดัง
ฉินเทียนก็ขี้เกียจที่จะอธิบาย
ฟ้าก็ค่ำมากแล้ว เขากลับไปยังโรงแรมอย่างเร่งรีบ
เปิดประตูเข้าไป กลับเห็นซูซูกำลังเก็บของสัมภาระ สีหน้าแย่มาก
ฉินเทียนตกตะลึง รีบเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นเหรอที่รัก?”
“เกิดเรื่องอะไรขี้น?”
ซูซูก้มหน้าลงแล้วพูด “คุณกลับมาพอดีเลย จองตั๋วเครื่องบินตอนนี้ ฟ้าสว่างปุ๊บพวกเรากลับทันที”
“รางวัลทองงานนิทรรศการอะไร ไม่เอาก็ช่าง!”
ฉินเทียนถอนหายใจ กุมมือของซูซูไว้ พยายามพูดอย่างใจเย็น “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ บอกฉัน ฉันจัดการเอง”
ซูซูนั่งขอบเตียง โกรธจนตายแดงไปหมด
เธอพูดด้วยการกัดฟัน “เดิมคิดว่า คนทางนี้จะเป็นบุลคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังตามสังคมอันสูงส่ง สุภาพบุรุษเหมือนคาร์ลกันหมด”
“คิดไม่ถึงเลย ก็ยังมีสัตว์ที่คลุมด้วยหนังคน”
“ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแล้ว!”
ฉินเทียนตกตะลึง “คุณโดนรังแก? ใครทำ!”
ณ ขณะนี้ ความอยากฆ่าคนโผล่ออกมาหมด
ซูซูตกใจ กลัวว่าฉินเทียนจะทำไปเรื่อย เธอจึงรีบบอกความจริง
ที่จริงแล้ว ในงานเลี้ยงค็อกเทลปาร์ตี้คืนนี้ ชายหนึ่งชื่อว่า คาร์โล คอนติ เชิญเธอเต้นรำด้วยกัน
หลังจากในการปฏิเสธอย่างชัดเจนของซูซู ว่าไม่อยากเต้นรำ ไอคนพาลนั่นไม่เพียงแต่ไม่ยอมแพ้ ยังกวนอย่างทวีความรุนแรงมากขึ้น
สุดท้าย ได้รับรู้ว่าซูซูคือมาร่วมงานคัดเลือกความงาม เขาจึงเรียกเลขาของเขาแสดงออกถึงฐานะของเขาต่อซูซู
เขาคือหัวหน้าคนใหม่ของตระกูลคอนติ อีกอย่างตระกูลคอนติ เป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลานเลยก็ว่าได้
บริษัทย่อยก็มีสินค้าฟุ่มเฟือยหลายแบรนด์ดัง นิทรรศการความงามครั้งนี้ ก็เป็นตระกูลคอนติที่สนับสนุน
คาร์โล คอนติพูดตามตรง ขอเพียงแค่ซูซูยอมอยู่กับเขาตลอดค่ำคืนอันน่าจดจำนี้ ผลการคัดเลือกที่ออกมาในพรุ่งนี้ เขาสัญญาว่าซูซูจะได้รับรางวัล
ในการโมโหของซูซู จึงกลับมาโรงแรมก่อน
เธอยินยอมที่จะสละการประกวดครั้งนี้ เพื่อที่จะไม่ต้องมาเจอกับคนชาติชั่วอย่างคาร์โล คอนติ
“คิดไม่ถึงเลยว่าเดินทางมาไกลขนาดนี้ ผลสุดท้ายกลับเป็นแบบนี้”
“ไม่สนแล้ว ไม่มีงานนิทรรศการครั้งนี้ ฉันก็ไม่เชื่อหรอกหาจะหาทางออกอื่นไม่เจอ”
“อย่าอยู่นิ่งเฉยเลย รีบเก็บของ!”
ดวงตาซูซูเต็มไปด้วยน้ำตา เธอเหนื่อยใจ、ไม่เข้าใจ
เพื่องานนิทรรศการครั้งนี้ เธอพยายามมานานมาก ตอนนี้ทั่วทั้งบริษัท ต่างรอข่าวดีจากเธอ สามารถเปิดตลาดได้
คิดไม่ถึงเลย กลับล้มเหลวแบบนี้
เธอลุกขึ้นมา อยากจะเก็บของต่อ
ฉินเทียนกอดเธอไว้ในอ้อมกอด
“ทำอะไร? รีบปล่อยนะ!” ซูซูตกตะลึงสักพัก ตำหนิพร้อมกับมีความหน้าแดง
ฉินเทียนไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยมือ แต่กลับกอดหญิงงามคนนี้ยิ่งแน่นมากยิ่งขึ้น พูดข้างหูเธอ “ที่รัก พรุ่งนี้คุณแค่สนใจเพียงแต่ไปงานก็พอ”
“ไว้ใจได้ เรื่องคนชาติชั่ว ฝากไว้กับฉัน”
ซูซูรีบเอ่ยปากถาม “คุณอย่าทำไปเรื่อยนะ!”
“ตรงนี้เป็นประเทศยี่ ไม่ใช่หลงเจียง พวกเราคนน้อยพลังขาด เป็นคู่ต่อสู้พวกเขาไม่ได้หรอก”
ฉินเทียนหัวเราะ
อยากจะพูดอะไร ในขณะนี้ เสียงโทรศัพท์ในห้องได้ดังขึ้น
เขายื่นมือรับสาย ในนั้น ได้ส่งเสียงอันหยิ่งยโสอย่างมากออกมา “คุณซูซูคนสวยของฉัน ฉันคือ คาร์โล คอนติ”
“เป็นอย่างไร คุณคิดได้แล้วหรือยัง?”
“บอกความจริงก็ได้ ลูกน้องของฉันมาถึงด้านนอกของโรงแรมแล้ว ฉันรอไม่ไหว ที่จะเชิญชวนคุณอยู่ร่วมกันในค่ำคืนนี้แล้ว”
ฉินเทียนหัวเราะด้วยความเย็นชา “คุณซูคิดได้แล้ว เรียกลูกน้องคุณขึ้นมาเถอะ”