ตามเวลาที่ล่วงเลย ในบริเวณใกล้เคียงโดยมีหอหลอมจิตเป็นศูนย์กลาง ผู้แข็งแกร่งที่มารวมกันมีมากขึ้นเรื่อยๆ
บุคคลขอบเขตมกุฎในคำเล่าลือบางส่วนปรากฏตัว ยิ่งชักนำให้ทั่วทั้งลานหันมองมา เสียงฮือฮาดังขึ้นโดยรอบ
เดิมทีสัตว์ประหลาดเฒ่าบางส่วนก็นับได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ชื่อเสียงสะเทือนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เดินไปที่ไหนล้วนได้รับความเคารพ แต่เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมตอนนี้กลับดูไม่โดดเด่นอยู่บ้าง
มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับอริยะที่ก่อให้เกิดความแตกตื่นยามปรากฏตัวได้
บนท้องฟ้าเหนือหอหลอมจิต เมฆมงคลกลุ่มหนึ่งรวมตัวกัน ลั่งเชียนเหิงยืนอยู่บนนั้น เงาร่างสูงอยู่ใต้แสงส่องสะท้อนจากฟากฟ้า ปกคลุมด้วยแสงพร่างพรายชั้นหนึ่ง
เขาผมสีโลหิตนัยน์ตามรกต ท่าทางแปลกประหลาดและงดงาม ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น แม้จะไม่เอ่ยวาจา แต่กลับมีไอพลังดั่งเสือหมอบมังกรซุ่ม ดึงดูดความสนใจจากสายตามากมาย
เขากำลังรอ
‘ก็ไม่รู้ว่าหลินสวินนั่นจะกล้ามาประลองหรือไม่…’
‘หากเขาไม่มา ครั้งนี้คงต้องอับอายไปถึงตระกูล’
ลั่งเชียนเหิงคิดเรื่อยเปื่อยอยู่ในใจ
อีกด้านหนึ่งมู่ไจซิงที่มาจากดินแดนโบราณต้าหลัว จู๋อิ้งเสวี่ยจากดินแดนโบราณยอดหยิน รวมทั้งชายหญิงอีกจำนวนหนึ่งก็รวมตัวกันอยู่อีกฟาก กำลังมองอยู่เช่นกัน
พวกเขายืนอยู่บนเวิ้งฟ้า ใช้ท่าทางเหลือบแล เก็บทุกอย่าง ณ ที่นั้นไว้ในสายตาอย่างชัดเจน
ทว่าสีหน้าล้วนเจือความหยิ่งทะนงไม่มากก็น้อย
ตั้งแต่ฝึกปราณพวกเขาก็ถูกบอกกล่าวว่าดินแดนรกร้างโบราณคือดินแดนที่ถูกทอดทิ้งแห่งหนึ่ง ราวกับดินแดนที่ล่มสลาย เป็นดินแดนยากไร้ที่ไม่มีแม้แต่มกุฎมรรคาสืบทอด
ด้วยเหตุนี้จิตใต้สำนึกของพวกเขาจึงมีความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีราวสูงส่งเหนือผู้อื่นอย่างหนึ่ง
ก็มีแค่ยามบุคคลขอบเขตมกุฎบางส่วนอย่างพวกองค์ชายเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่ปรากฏตัว จึงดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้บ้างเล็กน้อย
นอกเหนือจากนี้ ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ในสายตาของพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา
แม้แต่บุคคลชั้นยอดระดับอริยะก็ยังดึงดูดความสนใจของพวกเขาไม่ได้มาก ด้วยพวกเขาต่างรู้ดีว่า อริยะพวกนี้ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ก้าวสู่ขอบเขตมกุฎ!
และคนอย่างพวกเขาใช้เวลาไม่นานก็สามารถบรรลุมกุฎอริยะ เหนือกว่าเหล่าอริยะในที่นั้นได้!
“ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก หากไม่มีเขตปราการขวางกั้น ดินแดนรกร้างโบราณนี้เกรงว่าคงถูกพวกเราผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนเหยียบย่ำบุกยึดครองไปนานแล้ว”
จู๋อิ้งเสวี่ยทอดถอนใจ
คนอื่นยังอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ รู้สึกแบบเดียวกัน
ในสายตาของพวกเขา โลกกว้างใหญ่อย่างดินแดนรกร้างโบราณดันมีบุคคลขอบเขตมกุฎไม่เท่าไหร่ ช่างเป็นเรื่องเศร้าที่ไม่มีเรื่องไหนหนักกว่าจริงๆ
มู่ไจซิงขมวดคิ้วมุ่นกล่าวเตือน “ระวังปากจะพาซวย แม้พวกเราจะเป็นทูต แต่ที่นี่ก็ยังเป็นดินแดนรกร้างโบราณ ถ้ายั่วโมโหบุคคลเทียมฟ้าบางส่วนที่ไม่ควรหาเรื่อง ผลที่ตามมาก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราสามารถรับไหว”
จู๋อิ้งเสวี่ยเบะปากไม่ใส่ใจ
คนอื่นก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน
พวกเขาคือตัวแทนของแปดดินแดนอื่น มีฐานะเป็นทูต หากดินแดนรกร้างโบราณกล้าฉีกหน้าต่อกรกับพวกเขาจริง เช่นนั้นยามการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนเปิดฉาก ผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้นก็รอรับเพลิงโทสะที่มาจากผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนของพวกเขาเถอะ!
ในที่ลับบริเวณใกล้เคียง มีสัตว์ประหลาดเฒ่าไม่รู้เท่าไรได้ยินบทสนทนาของพวกจู๋อิ้งเสวี่ย สีหน้าแต่ละคนต่างอึมครึมลงไม่น้อย
ถูกคนรุ่นหลังกลุ่มหนึ่งดูถูกและเย้ยหยันดินแดนรกร้างโบราณเช่นนี้ ทำให้ในใจพวกเขาไม่สบอารมณ์จริงๆ!
แม้แต่เฒ่าดึกดำบรรพ์คนหนึ่งของสำนักกระบี่เทียมฟ้าก็เกิดแรงกระตุ้นในใจอย่างอดไม่ได้ แทบอยากจะให้หลินสวินปรากฏตัว มอบบทเรียนที่ยากลืมเลือนชั่วชีวิตแก่แขกต่างดินแดนพวกนี้ สั่งสอนพวกเขาให้เป็นผู้เป็นคน!
เวลาล่วงเลยไปในบรรยากาศที่สับสนวุ่นวายเช่นนี้
…
“มีเพียงมาถึงที่นี่ ข้าจึงพบว่าตัวเองไม่เอาไหนแค่ไหน…”
เหวยหลิงเคอทอดถอนใจเงียบๆ
ระยะห่างช่างมากเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ในสถานที่ที่นางอยู่ ด้วยฐานะของนางทำให้เรียกลมได้ลม เรียกฝนได้ฝน
แต่ตอนนี้กลับได้แค่ยืนอยู่ในวงนอก ไม่อาจเข้าใกล้หอหลอมจิตอย่างสิ้นเชิง
นี่ก็คือช่องว่างของฐานะและพลังปราณ
แค่ก่อนหน้านี้เหวยหลิงเคอไม่เคยเข้าใจอย่างลึกซึ้งเช่นนี้มาก่อนก็เท่านั้น
เวลานี้สายตาของนางพลันเหลือบไปเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้อย่างสบายๆ จากที่ห่างออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
เขาดูเก็บตัวเป็นอย่างยิ่ง แต่ตลอดทางกลับไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดิน ท่าทางมีความคิดที่จะเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าบางส่วนที่กำลังจัดระเบียบอยู่เห็นดังนี้ก็พุ่งเข้ามาหมายจะขับไล่ทันที
ข้างๆ ก็มีคนยิ้มเยาะ “เจ้าหมอนี่เป็นใครมาจากไหน สัตว์ประหลาดเฒ่ามากขนาดนี้ยังไม่กล้าบุ่มบ่ามแทรกเข้าไป ทำไมเขายังกล้าเดินกร่างไปข้างหน้าอีก”
เหวยหลิงเคอและหรั่นซิงล้วนสังเกตเห็นหลินสวิน ทั้งยังจำเขาได้
“นี่ ข้าอยู่นี่…” ยามเหวยหลิงเคอคิดจะทักทายเชิญหลินสวินมา
จู่ๆ ก็ได้ยินชายหนุ่มผมม่วงคนหนึ่งเปล่งเสียงหัวเราะลั่น เดินเข้าไปต้อนรับ “หลินสวิน เจ้าหมอนี่ในที่สุดก็ปรากฏตัวแล้ว!”
หลินสวิน!
เพียงสองคำราวกับฟ้าผ่า ทำให้ผู้ฝึกปราณละแวกใกล้เคียงหันกลับมามองทางนี้กันหมด
ด้านผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าที่พุ่งเข้าไปคิดจะขวางหลินสวินพวกนั้น แต่ละคนสั่นไปทั้งตัว ร่างกายแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้าหมอนี่!
พวกเขาเบิกตากว้าง สีหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาว
หลังจากนั้นในจุดที่ห่างออกไป บุคคลขอบเขตมกุฎอย่างพวกองค์ชายเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่ หมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอ จี้ซิงเหยา ชื่อหลิงเซียวที่กำลังรออยู่ นัยน์ตาพลันวาววาบอย่างพร้อมเพรียง ก้าวเข้าไปหาหลินสวิน
ฝูงชนในบริเวณนั้นแยกออกจากกันทันที เกิดเป็นทางกว้างสายหนึ่งยืดขยายตรงไปยังหน้าหลินสวิน
บรรยากาศในที่นั้นก็เงียบสงัดไปทั้งแถบ
เพียงพริบตาปากของเหวยหลิงเคออ้ากว้าง มือหยกขาวอ่อนที่เพิ่งยกโบกค้างอยู่กลางอากาศ นัยน์ตาคู่งามถลึงกว้าง ออกอาการคาดไม่ถึง
นางดั้นด้นมาที่นี่ ก็เพื่อมาดูความสง่างามของเทพมารหลินและให้กำลังใจเขา แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าชายที่ร่วมทางกับนางมาตลอดทางนี้จะเป็นเทพมารหลิน!
นี่ดูน่าเหลือเชื่อเกินไป
ทำให้เหวยหลิงเคอมีความรู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริงราวกับว่าฝัน
แต่นางรู้ว่าทุกอย่างนี้คือเรื่องจริง องค์ชายเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่ หมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอและบุคคลขอบเขตมกุฎทั้งหมดนั้น ก่อนหน้านี้ยามปรากฏตัวได้ดึงดูดความสนใจจากสายตานับไม่ถ้วน
แต่ตอนนี้พวกเขากลับเดินเข้าไปต้อนรับพร้อมกัน!
ใครเล่าจะใหญ่โตถึงขนาดที่ได้รับการดูแลเช่นนี้
แน่นอนว่าต้องเป็นเทพมารหลิน!
ก็ได้แต่เป็นเทพมารหลินเท่านั้น!
หรั่นซิงที่อยู่ด้านข้างดวงตาแทบถลนออกมาอยู่แล้ว สีหน้าอึ้งงัน ก่อนหน้านี้เขายังอิจฉาตาร้อน สาบานว่าหากหลินสวินปรากฏตัวอีกจะต้องให้บทเรียนกับเขาอย่างหนัก
แต่ไหนเลยจะคิดว่า ชั่วพริบตาเจ้าหมอนี่จะกลายเป็นเทพมารหลิน!
นึกถึงตรงนี้หรั่นซิงก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว สีหน้าซีดเผือด เพราะจู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าระหว่างเดินทางมายังนครหยกขาว ตนเคยเหน็บแนมหลินสวินมาก่อน
ฝูงชนที่อยู่ใกล้เคียงพลันไม่สงบ ทำให้เหวยหลิงเคอและหรั่นซิงตกใจตื่น เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นหลินสวินที่อยู่ห่างออกไปเดินมาทางนี้อย่างคาดไม่ถึง
…
“พี่หลิน นี่เจ้าจะไปทำอะไร”
หมีเหิงเจินยิ้มถาม
“พบสหายคนหนึ่ง ว่าจะไปทักทาย”
หลินสวินพูดพลางมาถึงหน้าเหวยหลิงเคอแล้วยิ้มกล่าว “ข้าบอกแล้วว่าพวกเราต้องได้เจอกันอีก”
เหวยหลิงเคอกล่าวตื่นเต้น “ที่แท้ท่านก็คือเทพมารหลิน!”
นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าสายตาของผู้แข็งแกร่งโดยรอบ รวมถึงคนใหญ่คนโตมากมาย ณ ที่นั้นต่างมองมาทางตนไม่หยุด เจือความตกตะลึงและไม่เข้าใจ
ความรู้สึกที่ถูกใครๆ จับตามองเช่นนี้ทำให้เหวยหลิงเคอตื่นเต้นจนสั่นไปทั้งตัวทันที ตั้งแต่เล็กจนโตนางไม่เคยถูกสนใจมากเช่นนี้มาก่อน
คลื่นลมในใต้หล้าอันกว้างใหญ่รวมตัวอยู่ที่นครหยกขาว และศูนย์รวมสายตาของมวลชนที่นี่ยามนี้กลับมองมาที่ตน!
นี่ทำให้ในแววตาของเหวยหลิงเคอที่มองไปยังหลินสวินฉายแววอัศจรรย์วูบหนึ่ง
“ทำไมเจ้าถึงยืนอยู่ตรงนี้เล่า” หลินสวินถาม
เหวยหลิงเคอหลุดปากตอบ “ไม่มีคุณสมบัติพอน่ะสิ”
หลินสวินยิ้มกล่าว “ได้พบครั้งหนึ่งก็คือวาสนา เจ้าตามหลังข้ามา”
เขาไม่มีทางลืม สาวงามเปิดเผยตรงหน้าคนนี้มุ่งมั่นมาให้กำลังใจตน เขามีหรือจะทำให้อีกฝ่ายผิดหวัง
เขาพูดพลางก้าวไปข้างหน้า
สำหรับหรั่นซิง ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนถูกเขามองข้าม
คนจำพวกนี้ไม่มีทางอยู่ในสายตาเขาอยู่แล้ว
หรั่นซิงเห็นดังนี้กลับแอบเป่าปากโล่งอก หลินสวินไม่เอาเรื่องเขา ทำให้เขาลอบอุทานว่าโชคดี แต่ไม่ทันไรเมื่อเห็นเหวยหลิงเคอตามหลังหลินสวินเข้าไปใกล้หอหลอมจิตอย่างเบิกบานภายใต้สายตามวลชนที่จับจ้อง ในใจเขาก็พลันเอ่อล้นไปด้วยความท้อแท้สิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก
ถูกทำให้อับอายไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวกว่าถูกทำให้อับอายคือ อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะสนใจหยามหน้าตน ถูกมองเป็นอากาศไปทั้งอย่างนั้น
มาถึงหน้าหอหลอมจิต หลินสวินหยุดฝีเท้ายิ้มกล่าวกับเหวยหลิงเคอ “เจ้าอยู่ที่นี่เถอะ น่าจะไม่ทำให้เจ้าบาดเจ็บ”
เหวยหลิงเคอพยักหน้า ยิ้มสดใสหาใดเปรียบ
สำหรับนางแล้ว วันนี้ช่างเป็นช่วงที่น่ายินดีที่สุดในชีวิตจริงๆ
พวกองค์ชายเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่เห็นดังนี้ยังอดมองหน้ายิ้มให้กันไม่ได้ ไม่พูดอะไรมากอีก
หลินสวินก็คร้านจะอธิบายแล้ว
สายตาของเขากวาดมองทั่วลาน เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมากมาย แม้แต่พวกเซียวชิงเหอ เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน ลั่วเจีย ซุ่นไป๋เสวียนก็อยู่ด้วย
เห็นจะขาดเพียงจ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคก
เจ้าคางคกกำลังปิดด่าน จ้าวจิ่งเซวียนถึงอยากมาก็กำลังรับมรดกของสำนัก ไม่อยู่ที่นี่ก็เข้าใจได้
‘เจ้าต้องระวังหน่อย ลั่งเชียนเหิงนี่ไม่ธรรมดา’
จี้ซิงเหยาสื่อจิต ‘คนผู้นี้ขาดแค่ก้าวเดียวก็จะบรรลุมกุฎอริยะ ทั้งพรสวรรค์ยังโดดเด่น ครองอภินิหารพรสวรรค์ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เป็นศัตรูแข็งแกร่งที่ไม่อาจมองข้ามคนหนึ่ง’
หลินสวินยิ้มให้นาง วาจาสบายอารมณ์ ‘วางใจเถอะ ในเมื่อข้ามาแล้วก็ย่อมมีความมั่นใจ’
จี้ซิงเหยาพยักหน้า แต่หว่างคิ้วยังเผยความกังวลยากปกปิด
ผู้แข็งแกร่งในดินแดนรกร้างโบราณมากมายเชื่อมั่นในตัวหลินสวินเป็นอย่างมาก แต่จี้ซิงเหยาสืบข้อมูลเกี่ยวกับลั่งเชียนเหิงอย่างละเอียดมาก่อน ยิ่งรู้ก็ยิ่งหวั่นใจ
นี่คือบุคคลผู้กล้าที่แข็งแกร่งและฝีมือล้ำเลิศที่สุดคนหนึ่ง ซ่อนพลังไว้ล้ำลึกยิ่ง ไม่เคยมีใครดูออกว่าเขาแข็งแกร่งมากเท่าไรกันแน่
ยิ่งเป็นเช่นนี้จึงยิ่งพาให้คนหวาดกลัว
เพียงแต่ตอนนี้ต่อให้พูดเรื่องพวกนี้ไปก็เปล่าประโยชน์ การนัดประลองที่ใครๆ ต่างจับจ้อง ชักนำคลื่นลมทั่วหล้านี้ใกล้จะเปิดฉากแล้ว ก็เหมือนศรขึ้นสายธนูไม่อาจไม่ปล่อย
จี้ซิงเหยาก็ได้แต่ภาวนาให้หลินสวินไม่ประมาทแล้ว
ขณะเดียวกันสายตาของหลินสวินมองไปกลางอากาศ ที่นั่นมีเมฆมงคลกลุ่มหนึ่ง ร่างผึ่งผายหนึ่งยืนอยู่บนนั้น ผมสีโลหิตทั้งศีรษะสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง คิดดูแล้วก็คงเป็นลั่งเชียนเหิง
“หลินสวิน เจ้าเพิ่งมาเอาปานนี้เพราะไม่มั่นใจพอรึ นายท่านของข้ารอเจ้ามานานแล้ว!”
ห่างไปไม่ไกล ปี้เหินที่เคยถูกหลินสวินใช้ก้าวเดียวสยบให้คุกเข่าก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าเยียบเย็น ในแววตาแฝงความเกลียดชังที่ไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
………….