หลินสวินชนะแล้ว!
ในวันเดียวกันข่าวนี้ราวกับติดปีก แพร่กระจายออกไปด้วยความเร็วที่น่าตกใจภายใต้การประโคมข่าวของเผ่าวาทวาโย
ใต้หล้าล้วนฮือฮา
ควรรู้ว่าหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ลั่งเชียนเหิงประกาศกร้าวด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง ว่าจะนัดประลองกับหลินสวินที่หอหลอมจิตนครหยกขาว ทำให้ทั้งดินแดนรกร้างโบราณฮือฮา
หนึ่งเดือนมานี้ เพราะการนัดประลองครั้งนี้ทำให้ทุกสายตาล้วไปรวมกันที่นครหยกขาวโดยมิได้นัดหมาย จับจ้องให้ความสนใจ
คนส่วนใหญ่ต่างไม่มั่นใจ
เพราะลั่งเชียนเหิงแข็งแกร่งเกินไป มาจากต่างดินแดน พรสวรรค์น่าทึ่ง รากฐานพลังน่ากลัว ทำเอาไม่อาจไม่เป็นห่วงว่าหลินสวินจะพ่ายแพ้ในการประลองครั้งนี้หรือไม่
แต่ตอนนี้พอข่าวนี้เผยแพร่ออกไป โลกอันกว้างใหญ่ก็เดือดพล่านขึ้นมา เกิดความฮือฮาและโห่ร้องดีใจทุกแห่งหน
แม้เป็นเหล่าสำนักโบราณที่ตั้งตระหง่านที่ปลายยอดยังล้วนลอบโล่งอก รู้สึกปลาบปลื้มใจ
ดินแดนรกร้างโบราณถูกดินแดนอื่นๆ อีกแปดดินแดนกำราบมานานเกินไปแล้ว!
ในการเวลาไร้สิ้นสุด การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งก่อนดินแดนรกร้างโบราณพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ ตกต่ำลงไป สูญเสียความรุ่งโรจน์แห่งผู้ครองอำนาจอย่างที่ผ่านมา
สามารถพูดได้ว่า ที่ผ่านมาดินแดนรกร้างโบราณลิ้มรสน้ำตาเลือดและความอัปยศอย่างเต็มที่ ถูกแปดดินแดนอื่นกดจนโงหัวไม่ขึ้น
เพราะฉะนั้นการต่อสู้ของหลินสวินในครั้งนี้จึงได้รับความสนใจเป็นพิเศษ
หากหลินสวินพ่ายแพ้ จะสร้างแรงโจมตีอย่างหนักหน่วงที่สุดต่อโลกผู้ฝึกปราณดินแดนรกร้างโบราณ
ทว่าหากหลินสวินชนะ ก็เหมือนพิสูจน์ความสามารถให้กับดินแดนรกร้างโบราณ ทำให้สามารถลืมตาอ้าปาก!
นี่ก็คือขุมอำนาจในใต้หล้า
โชคดีที่ผลลัพธ์ในตอนท้ายเป็นหลินสวินชนะ!
ชนะขาด ชนะอย่างสวยงามไร้ที่เปรียบ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกปราณคนใด หลังจากได้รู้ข่าวนี้จิตใจต่างพลุ่งพล่าน เลือดร้อนฮึกเหิม
พูดอย่างไม่เกินจริง ผลกระทบของการต่อสู้ครั้งนี้ยิ่งใหญ่มาก ถึงขั้นสามารถบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ดินแดนรกร้างโบราณ จารึกไว้ให้คนรุ่นหลัง!
ส่วนหลินสวินกลายเป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในดินแดนรกร้างโบราณ ชื่อของเขา ผลงานการต่อสู้ของเขา ร่องรอยต่างๆ ที่เขาทิ้งไว้ในอดีต กลายเป็นหัวข้อที่ทุกคนในดินแดนรกร้างโบราณพูดถึงอย่างเพลิดเพลิน
นี่ก็คือชื่อเสียงบารมี
ก่อนหน้านี้หลินสวินชื่อเสียงเลื่องลือจากการสังหารมาตลอดทาง ล่วงเกินขุมอำนาจเก่าแก่ของดินแดนรกร้างโบราณไม่รู้เท่าไหร่ มีคนชื่นชมและหนุนหลัง แต่ก็มีคนตั้งตัวเป็นศัตรูและต่อต้าน ความคิดเห็นแตกต่างกันไป
แต่ตอนนี้กลับแตกต่าง แม้เป็นขุมอำนาจสำนักโบราณที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับหลินสวิน ก็ล้วนไม่สามารถให้ร้ายและวิพากษ์วิจารณ์ได้อีกต่อไปแล้ว
มิฉะนั้นก็เท่ากับเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก!
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของการต่อสู้ครั้งนี้ต่อดินแดนรกร้างโบราณเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น
……
หอฤทธิ์เทพ แดนเร้นอริยะ
ในฐานะแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนในดินแดนรกร้างโบราณยกย่องและเกรงขาม ตำแหน่งของหอฤทธิ์เทพเห็นชัดว่าสูงส่งอย่างที่สุด
สิ่งที่หอฤทธิ์เทพถนัดที่สุด ก็คือการทำนายสถานการณ์ฟ้าดิน ทำนายโชคชะตา
อย่างสัญญาณก่อนที่มหายุคจะมาเยือน การปรากฏของแดนมกุฎ รวมถึงเรื่องการต่อสู้แห่งเก้าดินแดน หอฤทธิ์เทพล้วนเคยคาดการมาก่อนและประกาศต่อใต้หล้าล่วงหน้าแล้ว
ผู้สืบทอดหอฤทธิ์เทพก็ถูกเรียกว่า ‘เสมียนของโลกผู้บำเพ็ญ’ ครอบครองวัตถุเทพชั้นสูงสองชิ้นอย่างพู่กันวสันต์สารทและหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์ คอยบันทึกประวัติศาสตร์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จารึกการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในโลก
เพียงแต่หอฤทธิ์เทพในตอนนี้ บรรยากาศกลับดูกดดันเป็นพิเศษ
ในโถงใหญ่เก่าแก่โอฬารแห่งหนึ่ง
“อีกไม่นานข้าก็จะจากไป ก่อนไป ทุกคนควรให้คำตอบที่แน่ชัดสักหน่อยหรือไม่”
เสียงที่เคร่งขรึมเฉยชาดังขึ้น คนพูดคือชายชุดคลุมม่วงคนหนึ่ง นัยน์ตาลึกล้ำ อานุภาพชวนกดดัน
เขามาจากดินแดนโบราณจิ่วหลี นามว่าชือเชียนชิว เป็นบุคคลน่ากลัวระดับกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง
ทว่าถูกจำกัดด้วยพลังกฎเกณฑ์ฟ้าดินของดินแดนรกร้างโบราณ กลิ่นอายที่เผยออกมาในตอนนี้จึงมีเพียงระดับอริยะเท่านั้น
ชือเชียนชิวเป็นผู้นำคณะทูตที่มาเยือนดินแดนรกร้างโบราณในครั้งนี้ คนรุ่นเยาว์ทั้งแปดคนอย่างพวกลั่งเชียนเหิงก็ล้วนติดตามเขามา
ในห้องโถงเงียบกริบ มีเพียงเสียงที่แฝงความเหลืออดของชือเชียนชิวดังก้องอยู่
บนที่นั่งหลัก ท่านเมี่ยวเสวียนขมวดคิ้ว นิ่งเงียบไม่พูดจา
ในตำแหน่งอื่นๆ เหล่าผู้อาวุโสของหอฤทธิ์เทพก็เงียบไม่พูดจาเช่นกัน ทว่าสีหน้าที่ดูมืดทะมึนเล็กน้อยนั่นเผยให้เห็นว่าจิตใจของพวกเขาไม่ได้สงบ
ก่อนหน้านี้ชือเชียนชิวพาคนรุ่นเยาว์อย่างพวกลั่งเชียนเหิงมาเยือนดินแดนรกร้างโบราณ จุดประสงค์ที่แท้จริงเพื่อจะมาเจรจากับดินแดนรกร้างโบราณ
เนื้อหาที่เจรจานั้นง่ายมาก ก็คือในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนที่กำลังจะมาเยือน ให้ดินแดนรกร้างโบราณเป็นฝ่ายส่งมอบป้ายคำสั่งเซียนเหินทั้งเก้ามาเองแต่โดยดี!
ป้ายคำสั่งเซียนเหิน เกี่ยวข้องกับสิทธิ์ในการเข้าสู่แหล่งสถานคุนหลุน ทุกดินแดนล้วนมีเก้าชิ้น
หากตอบรับเงื่อนไขของชือเชียนชิว ก็เท่ากับทำลายสิทธิ์การเข้าสู่แหล่งสถานคุนหลุนของผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณ
และเพื่อเป็นการตอบแทน หลังจากการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนเริ่มขึ้น แปดดินแดนอื่นจะออมมือ ไม่กำจัดผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณจนสิ้นซาก
เงื่อนไขที่เต็มไปด้วยความอัปยศและไม่เป็นธรรมเช่นนี้ หอฤทธิ์เทพจะตอบรับได้อย่างไร
“สหายยุทธ์ พวกเจ้าทำเช่นนี้บีบบังคับกันเกินไปแล้ว”
ท่านเมี่ยวเสวียนถอนหายใจเบาๆ
ชือเชียนชิวแค่นเสียงเย็นเยียบ “บีบบังคับหรือ หากไม่ใช่เพื่อป้ายคำสั่งเซียนเหินเก้าชิ้นนั้น เจ้าคิดว่าข้าจะมาเจรจากับพวกเจ้าหรือ”
นี่เป็นถึงหอฤทธิ์เทพ เป็นดินแดนรกร้างโบราณ แต่ชือเชียนชิวกลับไร้ความเกรงกลัว ท่าทียิ่งแข็งกร้าวถึงที่สุดอย่างเห็นได้ชัด
เหตุผลง่ายมาก สำหรับเขา ดินแดนรกร้างโบราณตกต่ำไม่เหลือสภาพมานานแล้ว ไม่มีคุณสมบัติต่อสู้กับแปดดินแดนอื่น!
“ตอบรับเงื่อนไขของเจ้า ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดน ผู้แข็งแกร่งของพวกเจ้าแปดดินแดนจะไม่เล่นงานผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณงั้นหรือ”
มีคนระงับอารมณ์ไม่อยู่ ส่งเสียงอย่างเดือดดาล
“ข้าพูดแล้วว่าจะออมมือ ไม่ฆ่าจนสิ้นซาก”
ชือเชียนชิวสีหน้าไร้อารมณ์ “พวกเจ้าคงรู้ดีกว่าในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งก่อนหน้านี้ ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณของพวกเจ้าเสียหายหนักหน่วงและน่าอนาถแค่ไหน หรือพวกเจ้ายังอยากซ้ำรอยเดิม”
เสียงเย็นชาแฝงความดูถูก และเจือแววคุกคามที่ไม่มีปกปิด
ชั่วขณะหนึ่งสีหน้าของทุกคนที่นั่งอยู่ต่างอึมครึมไม่นิ่ง
ที่ผ่านมาดินแดนรกร้างโบราณพ่ายแพ้ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนอย่างน่าอนาถถึงสองครั้ง ผู้กล้าไม่รู้เท่าไหร่สิ้นชีพในสมรภูมิเก้าดินแดน ศพกระดูกไม่อาจหวนกลับ
นี่คือความอับอายและความแค้นนองเลือด!
และเป็นการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งนี้ที่ชักนำความตกต่ำมาสู่ดินแดนรกร้างโบราณ ทำให้มกุฎมรรคาขาดหาย ความสูญเสียนั้นน่าอนาถเพียงใด
เรื่องแบบนี้ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่จะลืมได้อย่างไร
บรรยากาศในห้องโถงยิ่งกดดัน คนมากมายล้วนเศร้าโศก อับอาย และคับแค้นในใจ
ผู้อื่นเป็นมีดและเขียง ข้ากลับเป็นเนื้อปลาบนเขียง
ความรู้สึกนี้น่าอดสูและน่าอึดอัดเกินไป
“เงื่อนไขนี้ หอฤทธิ์เทพของพวกเราไม่สามารถตอบรับแทนทุกคนในดินแดนรกร้างโบราณได้!”
ทันใดนั้นท่านเมี่ยวเสวียนส่งเสียง คำพูดราบเรียบ ทว่ากลับแฝงความเด็ดเดี่ยว
ชือเชียนชิวอึ้ง ราวกับยากจะเชื่อ จากนั้นเดือดดาลจนหัวเราะออกมา พูดด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด “นี่เรียกว่าพูดดีๆ ไม่ยอม ต้องให้ใช้กำลังบังคับหรือ”
ท่านเมี่ยวเสวียนพูดอย่างเฉยเมย “จะส่งป้ายคำสั่งเซียนเหินไปหรือไม่ ก็หลีกการเข่นฆ่าของสมรภูมิเก้าดินแดนไม่พ้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้เหตุใดต้องส่ง”
ชือเชียนชิวสีหน้าเย็นชา “ดูท่าเพราะการปรากฏของแดนมกุฎ ทำให้ดินแดนรกร้างโบราณมีเจ้าตัวน้อยที่เหยียบย่างมกุฎมรรคามากขึ้นหน่อย ถึงได้ทำให้พวกเจ้ากล้าตัดสินใจเช่นนี้กระมัง แต่พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเด็กพวกนั้นจะสามารถเปลี่ยนจุดจบการพ่ายแพ้ของดินแดนรกร้างโบราณได้”
“น่าขัน!”
เขายังคงพูดต่อ “ข้าบอกพวกเจ้าได้เลยว่า การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งนี้ หากดินแดนรกร้างโบราณตอบรับเงื่อนไขของข้า บางทีอาจจะมีโอกาสรอด หากไม่ตอบรับ…”
“ไม่ตอบรับแล้วอย่างไร”
ท่านเมี่ยวเสวียนเหลือบสายตาขึ้น จ้องไปที่ชือเชียนชิว
“หากไม่ตอบรับ บนสมรภูมิเก้าดินแดน ผู้แข็งแกร่งทุกคนของดินแดนรกร้างโบราณจะกลายเป็นเหยื่อ ถูกสังหารทั้งหมด”
“ส่วนสนามรบแนวหน้าของพวกเจ้า ก็จะถูกบดขยี้ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งนี้!”
ชือเชียนชิวพูดออกมาทีละคำ ไอสังหารพลุ่งพล่าน
ชั่วขณะเดียวทุกคนในห้องโถงต่างกระสับกระส่าย สีหน้าเปลี่ยนไม่หยุด
สนามรบแนวหน้าเป็นแนวป้องกันเพียงหนึ่งเดียวที่ใช้ป้องกันแปดดินแดนอื่น หากถูกทำลาย ผู้แข็งแกร่งอีกแปดดินแดนก็จะสามารถบุกเข้ามาในดินแดนรกร้างโบราณได้
ถึงตอนนั้นดินแดนรกร้างโบราณจะกลายเป็นแกะอ้วนที่รอให้คนเยื้อแย่ง ถูกแปดดินแดนอื่นยึดครองและแบ่งส่วน!
ถึงตอนนั้นจะต้องมีสำนักไม่รู้เท่าไหร่ถูกกวาดล้างจนสิ้นซาก ผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไหร่ตกเป็นทาส สรรพชีวิตจมสู่ความทุกข์ ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางพายุฝน!
ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่
ทุกสายตาล้วนมองไปยังท่านเมี่ยวเสวียน บรรยากาศตึงเครียด
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเจรจา ก็แค่การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งหนึ่ง ดินแดนรกร้างโบราณของข้ายอมตายยังดีกว่าต้องก้มหัว!”
ทันใดนั้นเสียงอบอุ่นดังขึ้นนอกห้องโถง ท่านเซิ่นในชุดผ้ากระสอบ อ่อนโยนราวกับหยก ไม่รู้เดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่
เห็นเขาปรากฏตัวท่านเมี่ยวเสวียนคล้ายลอบโล่งอก พลันยิ้มพูดว่า “ศิษย์พี่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”
ท่านเซิ่นเองก็ยิ้ม “หากไม่กลับมา เรื่องใหญ่ขนาดนี้เจ้าจะรับมือได้อย่างไร ข้าเป็นคนตัดสินใจ ผลที่ตามมาข้าก็จะแบกรับเอง”
“ไม่ว่าการตัดสินใจนี้จะถูกหรือผิด หากวันหนึ่งถูกคนในดินแดนรกร้างโบราณถามถึง ไม่รู้สึกละอายใจก็พอแล้ว”
หยุดไปครู่สายตาของเขาก็มองไปยังชือเชียนชิวแล้วกล่าวว่า “เหล่าคนรุ่นเยาว์ที่เจ้าพามา ตอนนี้พ่ายแพ้หมดแล้ว ข้าคิดว่าเจ้ารีบพาพวกเขาจากไปจะดีที่สุด ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าพวกเขายังจะถูกเย้ยหยันอีกเท่าไหร่”
“อะไรนะ”
ชือเชียนชิวอึ้ง เหมือนยากจะเชื่อ
ก็เห็นท่านเซิ่นสะบัดแขนเสื้อ ม่านจอภาพหนึ่งปรากฏออกมา ในนั้นแสดงภาพการต่อสู้แต่ละฉากที่เกิดขึ้นเหนือหอหลอมจิตแห่งนครหยกขาว
ตอนที่เห็นพวกลั่งเชียนเหิง จู๋อิ้งเสวี่ย มู่ไจซิงถูกหลินสวินกำราบทีละคน ผู้ยิ่งใหญ่ระดับกึ่งจักรพรรดิอย่างชือเชียนชิวยังอดหรี่ตาไม่ได้ สีหน้าอึมครึม
“เด็กนี่คือใคร”
ตอนที่จอภาพหายไป ชือเชียนชิวพูดเสียงครึม
“เขาเป็นใครไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือพวกเจ้าควรจากไปได้แล้วจริงๆ”
ท่านเซิ่นพูดอย่างเฉยเมย
ชือเชียนชิวเห็นเช่นนี้ก็อดหัวเราะเยาะไม่ได้ เอ่ยว่า “คิดว่าอาศัยเจ้าตัวน้อยคนเดียวเช่นนี้จะสามารถพลิกฟ้าคว้าฝนในสมรภูมิเก้าดินแดนได้หรือ ไร้เดียงสา!”
เขาหยุดไปครู่ค่อยพูดต่อว่า “จะบอกพวกเจ้าให้ว่า ในแปดดินแดนคนรุ่นเยาว์ที่ติดตามข้ามาพวกนี้ อย่างมากก็นับได้ว่าเป็นคนชั้นยอด ยังมีคนที่เก่งกาจกว่าพวกเขามีอีกมาก อย่าง ‘แปดยอดนภาคราม’ หรืออย่างห้าสิบอันดับแรกใน ‘กระดานมกุฎอมตะแปดดินแดน’… มีมากมายนัก!”
พูดถึงตรงนี้เขามองท่านเซิ่นอย่างเย็นเยียบ “นี่ก็คือรากฐานพลังของแปดดินแดน อย่าลืมว่ามกุฎมรรคาของแปดดินแดนไม่เคยขาด แม้แต่บุคคลเหยียบย่างระดับอริยะ แต่ละคนก็ล้วนมีพลังแห่งขอบเขตมกุฎ!”
“ข้าขอถามประโยคหนึ่ง ดินแดนรกร้างโบราณของพวกเจ้า… จะเอาอะไรมาสู้กับพวกเราแปดดินแดน แค่เจ้าตัวน้อยคนนั้นคนเดียวเนี่ยนะ น่าขัน!”
พูดถึงช่วงท้าย ในเสียงของเขาได้แฝงความดูถูกอันเข้มข้น เสียงสะเทือนไปทั้งโถง กึกก้องไม่หยุด
——