บัญชามังกรเดือด บทที่ 363 คนของคำสาปสวรรค์
“จุยเฟิง?”
ฉินเทียนเหมือนจะจำได้ว่า เด็กหนุ่มซมซานตรงหน้าคือจุยเฟิง เขาตกใจแล้วเอ่ยว่า: “เป็นนายไปได้ยังไง?”
“นายมาที่นี่ได้ยังไง?”
จุยเฟิงก็ตกใจเหมือนกัน: “พี่เทียน หรือพี่ไม่ได้สั่งการเรื่องนี้?”
ฉินเทียนกวาดตามองเถียหนิงซวงกับพวกแวบหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยเสียงขรึมว่า: “ฉันบอกพวกนายแล้วว่า น้องจุยเฟิงอาจจะมา ให้พวกนายต้อนรับดี ๆ”
“นี่เป็นการต้อนรับของพวกนายเหรอ?”
“พวกนายรู้เหรอเปล่า น้องจุยเฟิงเป็นถึงราชาสวรรค์ลับคนข้างกายราชาหนานเจียง เป็นบุคคลควรค่าต่อการเคารพแค่ไหน!”
“พวกนายปฏิบัติต่อเขาอย่างนี้ได้ยังไง?”
“ยังไม่รีบไปเชือดแพะ เอาสุรามาอีก!”
สีหน้าจุยเฟิงเขียวปั้ด
“พี่ชาย ผมยอมแล้ว”
“พี่อย่าเล่นละครอีกเลย”
“ต่อไปผมไม่กล้าเสียดสีพี่อีกแล้ว ปล่อยผมไปเถอะ!”
สุดท้ายฉินเทียนก็อดหัวเราะฮ่า ๆ ไม่ได้ พูดอย่างได้ใจว่า: “เสี่ยวเฟิงเฟิง ตอนนี้รู้ถึงความร้ายกาจของสวนสัตว์ร้ายแล้วสินะ?”
“นายถามฉันไม่ใช่เหรอว่า คนของคำสาปสวรรค์ถูกฝึกยังไง?ก็ถูกฝึกมาจากที่นี่แหละ!”
เหมือนเป็นการเผยสีหน้ากับเพื่อนรัก ซึ่งไม่ค่อยเห็นสีหน้าได้ใจของฉินเทียน อย่างกับพ่อหนุ่มน้อย
จนคนหมู่มากกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
พวกเขาไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าอย่างนี้ของฉินเทียน
ที่จริงวันนี้ตลอดทั้งวัน ฉินเทียนก็อยู่ในสวนสัตว์ร้าย
ตั้งแต่กลับจากหนานเจียง เรื่องการลอบสังหารเหมือนจะจบลง แต่ทำไมเขากลับเข้าใจว่า พายุร้ายที่แท้จริงกำลังจะเข้ามาในเร็ว ๆ นี้
ดังนั้น เขาจึงเร่งฝึกฝนกลุ่มคำสาปสวรรค์ ควบคุมด้วยตัวเอง
ตั้งแต่จุยเฟิงปรากฏตัวขึ้นที่ทางเชิงเขา กล้องวงจรปิดที่ซ่อนอยู่ในต้นไม้ทั้งสองข้างทางก็บันทึกเขาเอาไว้แล้ว
ฉินเทียนกับฉานเจี้ยน เห็นจากจอที่ห้องควบคุมอย่างชัดเจน
นึกไม่ถึงว่าจุยเฟิงจะมาเอง ทำให้ฉินเทียนรู้ว่าทางตระกูลจ้าวมีความเคลื่อนไหวแล้ว
อีกทั้ง ต้องไม่ใช่เล่น ๆ แน่
ดังนั้น ฉินเทียนเลยให้ทุกคนเล่นตลกอย่างนี้กับจุยเฟิง
และอีกอย่าง นี่เป็นวิธีพิเศษที่กลุ่มสาปสวรรค์แห่งสวนสัตว์ร้ายเอาไว้ต้อนรับแขก
เล่นไม้แข็งก่อน แล้วก็ตามด้วยแพะกับสุรา
เรื่อง เหลิ่งเฟิงแห่งทีมหมาป่าโดดเดี่ยว และเหลยเป้าแห่งสาขาเขี้ยวมังกร ก็เคยเจอบทเรียนมาแล้ว
แพะอ้วนเชือดสด ๆ แล้วย่าง
สุราดีกรีแรงรินลงชาม
ฉานเจี้ยนยกชามสุราขึ้นมาด้วยตัวเองพลายเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า: “น้องจุยเฟิง ขอต้อนรับสู่สวนสัตว์ร้าย”
จุยเฟิงเห็นฉานเจี้ยน ก็อดเลื่อมใสไม่ได้ รีบยกสุราขึ้นกล่าวอย่างฮึกเหิมว่า: “ลุงฉาน พี่น้องทุกท่าน”
“จุยเฟิงขอดื่มคารวะก่อน!”
สุราฤทธิ์แรงแสบลำคอ เขาเช็ดปากแล้วก็ยิ้มแฉ่งหัวเราะเสียงดัง
สะใจโว้ย!
ทุกคนดื่มอย่างสนุกสนานเต็มที่
ถงชวนเถียปี้คนกลุ่มนี้ แผลงความเป็นเจ้าบ้านถือชามใหญ่มาชนเหล้ากับจุยเฟิงไม่หยุด
จุยเฟิงปฏิเสธไม่ได้ ดื่มไปสองสามถ้วย ไม่นาน ก็หูชาหน้าแดง แก้มสองข้างบนใบหน้าอย่างกับตูดลิง
“หยุด!”
“พี่น้องทั้งหลาย จงฟังผม!”
ลิ้นของเขาพันกันเล็กน้อยเอ่ยว่า: “เหล้าดื่มเท่าไหร่ก็ได้”
“วันนี้เห็นความอบอุ่นของทุกคน ผมรู้ไม่เมาไม่ได้แน่นอน”
“แต่ก่อนจะเมา ขอให้ผมพูดอะไรก่อนได้มั๊ย?”
เหมยหงเซว่แทะเม็ดแตงถุยเปลือกออกหัวเราะอย่างทึ่ม ๆ เอ่ยว่า: “น้องจุยเฟิง นายอยากพูดอะไรเหรอ?”
“หรือว่า จะดวลเหล้ากับพี่เทียน?”
ฉินเทียนแสยะยิ้มมองจุยเฟิง เขารู้ว่า สุดท้ายเจ้าหมอนี้จะเข้าเรื่องแล้ว
ใบหน้าของจุยเฟิงแดงยิ่งขึ้น
เขากัดฟันแล้วเอ่ยเสียงดังว่า: “ที่ผมจะบอกก็คือ——”
“ตระกูลจ้าวแห่งหยุนชวน พอล้มเหลวจากการลอบสังหาร ก็จะจัดงานเลี้ยงหงเหมินที่หอว่างเจียงจุดตัดพรมแดนของสองเมืองหลวงในวันมะเรื่อง!”
“วันนี้ตอนสาย นายรองของพวกเขาได้มาที่ตระกูลอาน พูดเรื่องนี้ต่อหน้าแล้ว”
“อีกทั้ง นอกจากนายท่านแล้ว ยังเอ่ยชื่อพี่เทียนให้ไปร่วมงานด้วย!”
“พี่เทียน ตระกูลจ้าวยังมีองครักษ์อีก 10 คน ถ้าจะให้ผมพูดตามตรง พวกนั้นสุดยอดเลยนะ!”
“พวกเขารังแกกันเกินไปแล้ว”
“ผมว่า เพื่อความปลอดภัยแล้ว พี่กับบรรดาพี่น้องสาปสวรรค์ อย่าโผล่ไปดีกว่า”
ฉินเทียนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า: “ไสหัวไป!”
“ดื่มยังไม่เต็มที่สินะ?ถึงคิดจะใช้การปลุกปั่นกับฉัน!”
จุยเฟิงยิงฟัน หัวเราะอย่างเคอะเขิน
“ผมพูดจบแล้ว สุดท้ายก็ขอดื่มอย่างวางใจสักที”
“พี่น้องทั้งหลาย วันนี้ไม่เมาไม่เลิก!”
“มาเลย!”
“พอดดื่มเสร็จ เราค่อยไปเล่นกับพวกเสือสิงกันต่อ!”
พอปล่อยความในใจออกมา ภารกิจก็สำเร็จ จากนี้ไป เจ้าหมอนี่ก็ปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระแล้ว
ฉานเจี้ยนกระซิบว่า: “เจ้าสำนัก ทำให้น้องจุยเฟิงเป็นขนาดนี้ได้ เห็นทีองครักษ์ทั้ง 10 ของตระกูลจ้าวดูน่าสนใจไม่น้อยเลยนะ”
ฉินเทียนแสยะยิ้มเอ่ยว่า: “ฉันฆ่าองครักษ์ของพวกเขาไป 3 คนได้ ก็ฆ่าองครักษ์อีก 10 คนที่เหลือได้”
“ยังคงคำเดิม พวกเราไม่ได้สร้างปัญหา แต่ก็ไม่ได้กลัวปัญหา”
“คนที่กล้ายั่วยุ ต้องตาย”
สีหน้าฉานเจี้ยนนิ่งไปชั่วครู่: “เจ้าสำนักวางใจได้เลย!”
“ผมจัดการเอง!”
ฉินเทียนถอนหายใจ เห็นจุยเฟิงดื่มภายใต้อ้อมกอดของถงชวนเถียปี้อย่างมีความสุข
เอ่ยเสียงเบา ๆ ว่า: “นี่ก็เป็นเด็กที่น่าสงสารอีกคน”
“ลุงฉาน ลุงอยู่เป็นเพื่อนพวกเขาก็แล้วกัน พรุ่งนี้ตอนพระอาทิตย์ตกดิน ผมจะมาเลือกคนสองสามคนจากที่นี่ไปหนานเจียงด้วยกัน”
“รวมตัวกับนายท่าน ไปที่หอว่างเจียงพบกันคนตระกูลจ้าวด้วยกัน”
“จริงสิ น้องเถาฟางล่ะ?”
ฉานเจี้ยนหัวเราะเฝื่อน ๆ ว่า: “คิดว่าคงกำลังฝึกการมองเห็นในที่มืดอยู่มั๊ง นายก็รู้ เขาไม่แตะเหล้าแม้แต่หยดเดียว”
ฉินเทียนกวาดตามองไปในป่าเขาที่มืดมิดสักพักก็หัวเราะ ไม่ได้ทักทายกับใครอีกแล้วอยู่ ๆ ก็ปลีกตัวไป
พอกลับถึงบ้าน ซูซูเพิ่งจะนั่งสมาธิประจำวันเสร็จ เหมือนจะเหน็ดเหนื่อยนิดหน่อย ก็เอนตัวลงเตรียมตัวนอน
“ที่รัก ช่วงนี้ฝึกจิตเป็นยังไงบ้าง เก็บเกี่ยวและเข้าถึงอะไรได้มากมายหรือเปล่า?” ฉินเทียนถามพลางหัวเราะ
ซูซูถอนใจเอ่ยว่า: “ก็พอได้”
“พอเจอเรื่องราว ก็สงบใจลงได้กว่าเมื่อก่อนเยอะ”
“แต่ฉันก็ไม่เข้าใจ ทุกคนทำธุรกิจร่วมกันอย่างปรองดองมันไม่ดีเหรอไง?”
“ตระกูลจ้าวแห่งหยุนชวน ทำไมต้องทำให้พวกเรากลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วย”
“ตลาดใหญ่ขนาดนี้ หรือพวกเขาสวาปามคนเดียวหมด?”
สีหน้าฉินเทียนขรึมลง: “พวกเขาสร้างเรื่องอีกแล้วเหรอ?”
ซูซูขมวดคิ้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า: “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”
“ก็คือ การโปรโมตร้านทางออฟไลน์ไง เจอปัญหาเข้าหลายที่”
“ไม่เรื่องขอใบอนุญาตไม่ได้ ก็มีเรื่องคนไปก่อกวนที่ร้าน”
“ฉันสืบดูแล้ว ทั้งหมดเป็นตระกูลจ้าวอยู่เบื้องหลัง”
“เราแค่อยากทำธุรกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำไมมันยากขนาดนี้?”
ฉินเทียนเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบ ๆ ว่า: “วางใจเถอะ”
“คนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง”
“ตระกูลจ้าวทำแต่เรื่องอยุติธรรม ต้องได้รับการลงโทษแน่”
“นี่ก็ดึกมากแล้ว คนดี เข้านอนได้แล้ว”
เขากอดซูซูไว้ในอ้อมอก สองผัวเมียนัวเนียกันสักพักก็หลับผล็อยไป
วันที่ 2 ฉินเทียนเป็นเพื่อนซูซูทั้งวัน จนหัวค่ำจึงปลีกตัว ขับรถไปยังสวนสัตว์ร้ายโดยลำพัง
พอรู้ว่าต้องออกไปปฏิบัติภาระกิน ทุกคนต่างกระปรี้กระเปร่า ชะเง้อคอรอคอยกัน
จุยเฟิงเอ่ยเสียงเบา ๆ ว่า: “ผมเห็นเจ้าห้ากับเจ้าหกใน 10 องครักษ์แล้ว คนหนึ่งใช้กระบี่ อีกคนมีพลังธรรมชาติมหาศาล เป็นยอดฝีมือจริง ๆ”
“ส่วนที่เหลือ คงไม่ต้องพูดถึง”
ฉินเทียนพยักหน้าเอ่ยว่า: “หนิงซวง เห่ลาหม่า ถงชวน เถียปี้ หวูฉาง”
“พวกนายมากับฉัน”
“ที่เหลือ เฝ้าบ้านดี ๆ”
พูดจบ ก็ขึ้นรถไปก่อน
คนที่ถูกเรียกชื่อ แต่ละคนก็ฮึกเหิมไม่หยุด อย่างกับเป็นตัวแทนของทุกคนไปสอบอย่างนั้น
รวมถึงจุยเฟิง ทั้งหมด 7 คน นั่งรถไปสองคัน ภายใต้ความมืดออกจากเมืองหลงเจียง มุ่งหน้าแล่นไปทางหนานเจียง