Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1508 มรดกอักษรสังหาร

ตอนที่ 1508 มรดกอักษรสังหาร
ผ่านไปสองสามชั่วยาม
หลินสวินฟื้นคืนสภาพดังเก่า กระปี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา
‘หืม? คิดไม่ถึงว่าผ่านการเคี่ยวกรำครั้งนี้ จะทำให้ขณะที่พลังสภาวะจิตของข้าแปรสภาพอีกครั้ง พลังต่อสู้ของข้าก็เฉียบคมขึ้นเล็กน้อยด้วย!’
หลินสวินสัมผัสความเปลี่ยนแปลงของพลังขับเคลื่อนทั้งกายโดยละเอียด หน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้
การบำเพ็ญในมรรคาอมตะ เขาบรรลุขั้นสมบูรณ์ในมรรคาทั้งสามสายอย่างหลอมปราณ หลอมจิตและหลอมกายนานแล้ว
เดิมนึกว่าเพียงรอจุดเปลี่ยนครั้งเดียวก็จะทะลวงระดับขึ้นไปได้
แต่ตอนนี้ดูท่าเขาจะละเลยไปเรื่องหนึ่ง
สภาวะจิต!
สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว การเคี่ยวกรำสภาวะจิตเป็นเรื่องลึกลับชวนพิศวงที่สุดเรื่องหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้มีจิตดั่งศิลาใหญ่ แม้โง่เขลาโดยกำเนิด แต่ขอเพียงพากเพียรไม่ลดละ ภายหน้าก็ประสบความสำเร็จบนวิถีมหามรรคได้เช่นกัน
ผู้มีจิตยุ่งเหยิง แม้พรสวรรค์สูงเพียงใด ก็ย่อมพบกับธรณีประตูที่ข้ามไปไม่ได้
สภาวะจิต เป็นที่ที่มารในใจ ความชั่วร้ายในใจถือกำเนิด
ในมรรคาการฝึกปราณ ผู้ที่ธาตุไฟเข้าแทรกมักเป็นเพราะสภาวะจิตไม่มั่นคง
ในสมัยโบราณมีเมธีเคยเอ่ยถามว่าจะแจ้งมรรคได้อย่างไร
คำตอบง่ายดายนัก กำราบใจตน!
จิตใจยุ่งเหยิงวอกแวกดังกล่าว ก็คือเค้าลางที่แสดงให้เห็นว่าสภาวะจิตไม่มั่นคง จิตใจไม่แน่วแน่
ในอดีตหลินสวินผ่านประสบการณ์หฤโหด สภาวะจิตแน่วแน่หาใดเทียบมานานแล้ว แต่การยกระดับสภาวะจิตไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อจำกัดของระดับพลัง แต่เป็นทุกลมหายใจเข้าออกของมรรคาตนเอง
ยามไปถึงแต่ละระดับ จะต้องเผชิญหน้ากับการเคี่ยวกรำของระดับดังกล่าว พอฝ่าฟันการเคี่ยวกรำไปได้แล้ว สิ่งที่เพิ่มพูนขึ้นไม่ได้มีเพียงพลังปราณ ยังมีการแปรสภาพของสภาวะจิตอีกด้วย!
ขณะนี้หลินสวินผ่านการเคี่ยวกรำของ ‘หอสังหารจิต’ ทำลายความชั่วร้ายในจิตใจ ส่งผลให้สภาวะจิตแปรสภาพ และทำให้พลังปราณของตนเฉียบคมไปด้วย
ประหนึ่งยอดเสาร้อยฉื่อขุดลึกลงไปอีกก้าว!
นี่ทำให้หลินสวินรับรู้ได้ว่า มรรคาสูงสุดสมบูรณ์ที่ตนคิดไว้ถึงกับยังมีช่องโหว่
คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็ตะลึงจนเหงื่อกาฬไหลไปทั้งกายอย่างห้ามไม่อยู่
นี่ก็คือการฝึกปราณ การหยั่งรู้อย่างไม่ใส่ใจอาจจะซ่อนข้อบกพร่องไว้ และในข้อบกพร่องก็จะมีเคราะห์นับหมื่นพันซุกซ่อนอยู่!
มหามรรคไร้บกพร่อง เพียงไม่กี่คำเท่านั้น แต่ทอดสายตามองไปในโลกหล้า จะมีสักกี่คนที่ทำได้
‘ใจข้าดุจกระบี่ บั่นสุริยันจันทราภูผาธาราได้ แต่ไม่อาจตัดข้อบกพร่องในมรรควิถีของตัวเองได้ หากไม่ได้การเคี่ยวกรำในวันนี้ ต่อให้บรรลุมกุฎอริยะก็ยังมีความเสียดายอยู่เสี้ยวหนึ่ง…’
หลินสวินทอดถอนใจเบาๆ
ยิ่งระดับสูงขึ้นก็ยิ่งต้องระมัดระวังรอบคอบ เหมือนเดินบนชั้นน้ำแข็งบาง!
หลินสวินลุกขึ้นสองมือไพล่หลัง เดินไปทั่วทิศ ระหว่างทางไม่ได้พบการเคี่ยวกรำอะไรอีก
แต่เขารู้ดีว่าการเคี่ยวกรำและบททดสอบก็ปกคลุมอยู่ในโลกลี้ลับแห่งนี้ ไม่จำเป็นต้องออกตัวเสาะหาเองสักนิด ที่ควรมาก็จะมาเอง
ไม่นานนักหลินสวินก็มาถึงส่วนที่ลึกที่สุด มองเห็นสระน้ำที่มีไอขุ่นมัวตลบอบอวลแห่งนั้น และได้เห็นซากศพมหึมาที่อยู่ในสระน้ำนั้นด้วย
ผีเสื้อมารแยกฟ้าหย่อนตัวลงบนซากศพ ร่างเรียวเล็กส่องแสงเปล่งปลั่ง กำลังซึมซับพลังที่มีอยู่ในซากศพ
หลินสวินรู้สึกได้อย่างแจ่มชัด ว่ากลิ่นอายของผีเสื้อมารแยกฟ้ากำลังแปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเนื้อ!
‘นี่มันซากศพอสูรอริยะอากาศ!’
จู่ๆ เสี่ยวอิ๋นก็เอ่ยขึ้น ‘นอกจากนี้ตอนอสูรตัวนี้มีชีวิตอยู่ อย่างน้อยก็ต้องมีพลังระดับกึ่งจักรพรรดิ!’
หลินสวินดวงตาหดเกร็ง ในใจสั่นสะท้าน
ซากศพอสูรอริยะอากาศ!
ร่างวิญญาณอัศจรรย์ที่ถือกำเนิดขึ้นในกาลเวลาอันไร้สิ้นสุดแห่งวัฏจักรว่างเปล่า ทันทีที่ถือกำเนิดก็ครอบครองพลังน่ากลัวเทียบได้กับระดับอริยะ
อสูรอริยะเช่นนี้สามารถท่องไปในห้วงอากาศว่างเปล่าได้อย่างอิสระ ดำรงชีพด้วยพลังกัดกินห้วงอากาศ น่าครั่นคร้ามถึงที่สุด
ต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิ คิดจะฆ่าอสูรอริยะอากาศให้ตายสักตัวยังยาก เพราะพวกมันสามารถท่องไปในห้วงอากาศว่างเปล่าได้ตามใจชอบ ไม่ได้มองห้วงอากาศเป็นข้อจำกัด!
หลินสวินคิดไม่ถึงว่าในโลกลี้ลับแห่งนี้จะมีซากศพอสูรอริยะอากาศร่างหนึ่งหลงเหลืออยู่ มิหนำซ้ำตอนมันมีชีวิตอยู่ยังมีศักยภาพไม่ด้อยไปกว่าระดับกึ่งจักรพรรดิ
นี่น่าตกตะลึงเกินไปแล้ว
ตอนนั้นเป็นใครกันที่ฆ่ามันแล้วทิ้งไว้ที่นี่
‘ข้าสงสัยว่าเจ้าของโลกลี้ลับแห่งนี้จะต้องเป็นผู้มากสามารถที่แจ้งมรรคด้วยพลังห้วงอากาศแน่ หนำซ้ำยังเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง’
เสี่ยวอิ๋นตั้งใจวิเคราะห์ ‘หาไม่แล้วคิดจะฆ่าอสูรอริยะอากาศเช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น’
‘นายท่านดูสิ ผีเสื้อมาแยกฟ้าก็เป็นสายพันธุ์ประหลาดบรรพกาลที่มีพรสวรรค์ห้วงอากาศเช่นกัน สาเหตุที่คราวนี้มันตื่นขึ้นมา จะต้องเกี่ยวข้องกับพลังของซากศพนี้แน่’
หลินสวินพยักหน้า เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ตอนนี้สิ่งที่เขาคิดก็คือ เจ้าของโลกลี้ลับแห่งนี้เป็นระดับจักรพรรดิจริงๆ ใช่หรือไม่
หากเป็นเช่นนี้ เหตุใดถึงปรากฏตัวในสมรภูมิเก้าดินแดน
ควรรู้ว่ากฎเกณฑ์ฟ้าดินของสมรภูมิเก้าดินแดน ไม่อนุญาตให้ผู้แข็งแกร่งที่ระดับสูงกว่าอริยะแท้ปรากฏตัว!
‘ดูท่าสมรภูมิเก้าดินแดนจะลึกลับกว่าที่ข้าคาดไว้อยู่บ้าง…’
หลินสวินครุ่นคิด
‘นายท่าน ท่านกำลังกังวลว่าหลังจากผีเสื้อมารแยกฟ้าตัวนั้นพลังแกร่งกล้าขึ้นจะควบคุมไม่ได้หรือ’
จู่ๆ เสี่ยวอิ๋นพูดขึ้น ‘นายท่านวางใจ ก่อนมันฟักตัว ข้าประทับตราเข้าไปในร่างมันแล้ว หากมันกล้าไม่เชื่อฟัง ข้าจะเป็นคนแรกที่กัดกินจิตวิญญาณของมันเอง!’
หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่าเสี่ยวอิ๋นจะเตรียมตัวไว้พร้อมสรรพเช่นนี้ ให้รู้สึกชื่นชมเสี่ยวอิ๋นโดยพลัน
“เสี่ยวอิ๋น ข้าคิดว่าในช่วงที่เตร็ดเตร่ที่นี่ เจ้าอยู่ที่นี่เฝ้าผีเสื้อมารแยกฟ้าไว้ให้ดี อย่าให้มันก่อเรื่องไม่คาดฝันอะไรได้”
หลินสวินเอ่ยกำชับ
เสี่ยวอิ๋นเคลื่อนออกมาจากห้วงนิมิตของหลินสวิน พยักหน้ารับคำสั่ง
ด้านหลินสวินก็หันตัวเดินไปทางอื่น
โลกลี้ลับแห่งนี้ไม่ได้กว้างใหญ่ ไม่นานนักหลินสวินก็กลับมาถึงบริเวณประตูทางเข้าอีกครั้ง ที่นี่มีต้นไม้โบราณเขียวเปล่งปลั่งอยู่ต้นหนึ่ง
ต้นไม้นี้ลำต้นเก่าแก่แข็งแรง กิ่งก้านหนาแน่น กิ่งใบที่ห้อยตัวลงมาเหมือนน้ำตกเขียวชอุ่มไหลลู่ เปี่ยมด้วยพลังชีวิต
พอพินิจโดยละเอียด หลินสวินจึงสังเกตเห็นว่านี่เป็นต้นบรรพชนหลอมจิตต้นหนึ่ง!
ต้นบรรพชนหลอมจิตที่พบเห็นในป่าหลอมจิตก่อนหน้านี้ล้วนโล้นเตียน กิ่งก้านเหมือนหล่อขึ้นจากสำริดเหลว แต่ไม่มีใบไม้ทั้งนั้น
แต่ต้นบรรพชนหลอมจิตตรงหน้านี้ต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด
หลินสวินนั่งยองลงสังเกตรากต้นไม้นี้ และพบจุดแตกต่างอีกขุด รากแต่ละเส้นเหมือนกับเจียวหลงเล็กๆ ตัวแล้วตัวเล่าขดตัว มีลายมหามรรคประหนึ่งเกล็ดมังกรเป็นชิ้นๆ แอบแฝง น่าตกตะลึงจริงๆ
ชิ้ง!
ไม่นานนักหลินสวินก็เอาดาบกระดูกขาวออกมา เลือกรากท่อนหนึ่งในนั้น เขาอยากเห็นยิ่งนักว่าแหล่งสมบัติหลอมจิตที่ซ่อนอยู่ในต้นบรรพชนหลอมจิตที่ผิดธรรมดาต้นนี้ จะมีอะไรแตกต่างอีกหรือไม่
ฉึบ!
พอตัดรากท่อนหนึ่งอย่างระมัดระวัง ฉับพลันในรอยตัดของรากนั้นก็มีของเหลวสีทองเปล่งประกายเหมือนดวงอาทิตย์หยดแล้วหยดเล่าไหลออกมา แวววาวหาใดเทียบ ส่องแสงโชติช่วง
ในห้วงอากาศใกล้เคียงกันต่างถูกย้อมเป็นสีทองเจิดจ้า แสบตาถึงที่สุด
หลินสวินยกขวดหยกมันแพะที่เตรียมไว้ก่อนแล้วขึ้นมาเก็บแหล่งสมบัติหลอมจิตอันอัศจรรย์ชวนตะลึงเหล่านี้ทีละหยด
ซ่า!
ขณะเดียวกันหลินสวินก็สังเกตเห็นว่าต้นบรรพชนหลอมจิตต้นนี้เหมือนกับเจ็บปวด ลำต้นพลันสั่นไหวครู่หนึ่ง ใบไม้ส่งเสียงซู่ซ่า
หืม?
หลินสวินสงสัย หรือต้นไม้ต้นนี้ยังมีชีวิตด้วย
แต่เมื่อเขาสัมผัสโดยละเอียดกลับไม่พบอะไรสักนิด
หลินสวินส่ายหน้าแล้วไม่คิดอะไรอีก มายังหน้าเรือนสังหารจิตที่อยู่ไม่ไกล เอาดาบหักกับขวดหยกมันแพะออกมาด้วยกัน
จากนั้นจึงเริ่มหลอมดาบหัก!
ทันทีที่แหล่งสมบัติหลอมจิตหยดแล้วหยดเล่าซึ่งเปล่งประกายดั่งดวงอาทิตย์ดวงน้อยหยดลงบนดาบหัก แรงสั่นระริกฉับพลันระลอกหนึ่งก็ผุดขึ้นมาจากดาบหัก ประหนึ่งเสียงโห่ร้องตื่นเต้นยินดี
แต่ในสายตาหลินสวิน ลายมรรคที่สามซึ่งรวมตัวกันครึ่งหนึ่งบนพื้นผิวดาบหักนั้น กำลังแปรสภาพอย่างรวดเร็วจนน่าตกตะลึง
“สังหาร!”
ในที่สุดหลินสวินก็มองอักษรตัวที่สามที่ลายมรรคร่างเป็นโครงออกได้ในที่สุด แต่พอใช้แหล่งสมบัติหลอมจิตหมด ตัวอักษร ‘สังหาร’ นี้ก็ยังคงขาดไปส่วนหนึ่งดังเดิม
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาต้นบรรพชนหลอมจิตที่อยู่ไกลออกไป
เมื่อกี้เขาสังเกตเห็นแล้วว่ารากของต้นบรรพชนหลอมจิตที่อยู่ตรงหน้านี้ต่างจากต้นอื่นๆ รากที่รูปร่างคล้ายเจียวหลงแต่ละเส้นล้วนเก็บได้ทั้งนั้น!
พอยกมือขึ้นฟันดาบลงไป แหล่งสมบัติหลอมจิตสีทองเจิดจ้าหยดแล้วหยดเล่าไหลออกมา และถูกหลินสวินเก็บเข้าไปในขวดหยกมันแพะทีละหยด
ขณะเดียวกันต้นบรรพชนหลอมจิตนี้ก็พลันสั่นไหวขึ้นอีก
หลินสวินชะงักไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความขอโทษเล็กน้อยว่า “ถ้าเจ้ามีวิญญาณ ก็ถือเสียว่าสงเคราะห์ข้าหลินสวินสักครั้ง ภายหน้าหากมีวาสนาจะต้องมาแทนคุณแน่นอน”
เขาพูดพลางหันตัวจากไป หลอมดาบหักต่อ
หลินสวินไม่ได้สังเกตว่าพริบตาที่เขาหันตัวไป บนลำต้นของต้นบรรพชนหลอมจิตนั้นมีดวงตาที่ควบรวมจากลายไม้คู่หนึ่งปรากฏ ในดวงตาเต็มไปด้วยแววขุ่นเคืองและโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ไม่นานนักก็หายไป
วิ้ง!
ในที่สุดดาบหักก็แปรสภาพภายใต้เสียงร้องกังวานเหิมฮึก บนพื้นผิวขาวกระจ่างดั่งหิมะประหนึ่งโปร่งใสมีตัวอักษร ‘สังหาร’ สมบูรณ์ปรากฏขึ้น
เพียงตัวเดียวกลับรวมตัวขึ้นจากลายมรรคเรียวเล็กดุจเส้นผมนับไม่ถ้วน บิดเบี้ยวราวไส้เดือน แผ่ไอสังหารกลบหน้าออกมา
ชั่วพริบตานั้นหลินสวินหนาวเหน็บไปทั้งตัวครู่หนึ่ง ดวงตาเจ็บแปลบ เหมือนเห็นประกายคมไร้เทียมทานปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง
สังหารฟ้าผลาญดิน กวาดล้างปวงสวรรค์!
ตูม!
ขณะเดียวกันพลังมรดกที่โหมซัดสาดสายหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจหลินสวินไปด้วย กลิ่นอายลึกลับนับไม่ถ้วนไหลไม่ขาดสายเหมือนกระแสน้ำ
ชั่วพริบตาเท่านั้น หลินสวินจมอยู่ในการหยั่งรู้อันแปลกประหลาด
เขานั่งลงบนขั้นบันไดลวกๆ เบื้องหน้ามีดาบหักลอยอยู่ บนพื้นผิวของมันสะท้อนอักษรโบราณสามตัวที่ควบรวมจากลวดลายมรรค ‘ปฐม’ ‘ยอด’ และ ‘สังหาร’
แต่ละอักษรต่างเพิ่มอานุภาพดุร้ายให้กับดาบหัก!
กาลเวลาเคลื่อนคล้อย เวลาเจ็ดวันผ่านไปแล้วอย่างรวดเร็ว
เบื้องหน้าหุบเขาโกรกธาร เล่อมู่จิ้นหลับตา นั่งขัดสมาธิ ผมยาวสีเขียวอ่อนทั้งศีรษะปลิวไปตามลม
ข้างกายเขา เหล่าอริยะอย่างพวกหญิงสาวชุดแดง ติงซานเหอต่างทำกิจของตน
เพียงแต่บนหว่างคิ้วของพวกติงซานเหอเหมือนจะปรากฏแววทนไม่ไหวอยู่รางๆ
“คุณชายเล่อ เจ็ดวันแล้วนะ เกรงว่าไอ้สวะตัวจ้อยจากดินแดนรกร้างโบราณนั่นจะสิ้นชีพไปนานแล้ว พวกเรายังต้องรอที่นี่ไปถึงเมื่อไร
ติงซานเหอเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้
ขวับ!
เล่อมู่จิ้นลืมตาขึ้น แววเย็นเยียบไหวเคลื่อนในดวงตา เอ่ยว่า “ถ้าเป็นต้องเห็นตัว ถ้าตายต้องเห็นศพ ทำไม เจ้าเป็นถึงอริยะ ขนาดเจ็ดวันยังรอไม่ได้หรือ”
ติงซานเหอนิ่วหน้า “แต่ก็ไม่อาจเสียเวลาอยู่ที่นี่ไปตลอด”
“คุณชาย หาใครบางคนเข้าไปเสาะหาในหุบเหวนี้สักรอบดีกว่าไหม”
หญิงสาวชุดแดงเอ่ยแนะนำ
เล่อมู่จิ้นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ขนาดอริยะยังไม่กล้าเข้าไป ใครจะกล้าทิ้งชีวิตไปหยั่งดู”
หญิงสาวชุดแดงยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มนั้นเจือความประหลาดใจบางๆ “เรื่องนี้ง่ายมาก ไปจับแพะสองขาดินแดนรกร้างโบราณบางคนมา แล้วโยนเข้าไปในหุบเหวนี้ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”
“ความคิดดีนี่!”
พวกติงซานเหอต่างตาเป็นประกาย
ในสมรภูมิเก้าดินแดนแห่งนี้ คิดจะจับแพะสองขาไม่กี่ตัวยังจะไม่ง่ายดายอีกหรือ
——
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท