หลังจากจัดเตรียมเรียบร้อย ฉินเทียนโอนเงินก้อนหนึ่งให้บูซานอีก แล้วจึงจากวิลล่า กลับไปที่อุทยานมังกร
เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูไกล ๆ เหลิ่งเฟิงกำลังไปเจรจาหารือด้วยตัวเอง
เขาเดินไปดู ก็ดีใจอย่างอดไว้ไม่ได้
“นายท่าน ท่านเป็นแขกที่มาไม่บ่อยเลยนะ !”
“ทำไมไม่แจ้งไว้ล่วงหน้าล่ะครับ ผมจะได้ไปรับท่านให้อย่างดี”
คนที่นั่งอยู่ในรถ ไม่ใช่ใครอื่น ก็คือนายท่านอาน อานกั๋วที่มีการเรียกขานว่าราชาแห่งหนานเจียงนั่นเอง
ไม่ได้รอให้อานกั๋วพูดจา หญิงสาวที่รูปร่างหน้าตามิอาจมีใครเทียบได้ที่นั่งอยู่ข้างกายเขา กลอกดวงตางดงาม เม้มปากยิ้มเอ่ย : “คุณฉิน เป็นคนธุระเยอะน่ะสิ”
“คุณปู่กลัวว่าแจ้งไปล่วงหน้า คุณจะปัดว่ามีธุระ ไม่พบเราเอา”
“ก็เลยต้องมาก่อนแล้วค่อยบอก ให้คุณรับมือไม่ทันเอา”
ฉินเทียนไม่กล้ามองดวงตาหลิวหรูยู่อยู่หน่อย ๆ จึงยิ้มเอ่ย : “ดาราดังหลิวของเราก็ถากถางคนอื่นเป็นด้วย”
“นายท่าน ต้องดูแลให้ดีเลยเชียวนะครับ”
อานกั๋วหัวเราะฮ่า ๆ ยกใหญ่ แล้วเอ่ย : “ลูกสาวฉันโตแล้ว ฉันดูไม่ไหวหรอก”
“คุณฉิน หากว่าหรูยู่ล่วงเกินนายไป นายจัดการลงโทษได้ตามใจเลย ฉันไม่มีความเห็น”
“คุณปู่คะ ปู่พูดอย่างนี้ได้ไงคะ!”
“เขาเอาแต่ระรานหนู ปู่ต้องช่วยเหลือหนูสิคะถึงจะถูก !” หลิวหรูยู่โอดครวญ
“ผมทำแบบนั้นที่ไหนกัน——” ฉินเทียนใบหน้ากลัดกลุ้ม
“พอได้แล้ว” จุยเฟิงที่ตำแหน่งคนขับกดแตร เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก : “คุณฉิน เราเข้าไปได้แล้วหรือยัง ?”
“ขับรถมาหลายชั่วโมง หิวน้ำจะตายอยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีชาดี ๆ ให้เราดื่มน้ำเย็น ๆ ก็พอแล้ว”
“ไปให้พ้น !”
“แกยังมาล้อเล่นกับกูอยู่อีก !” ฉินเทียนด่าแบบยิ้ม ๆ
เวลาทำงาน หยางยู่หลันกับซูซูต่างไม่อยู่บ้าน หม่าเซวี่ยกำลังทำงานอยู่ในไร่สมุนไพรกับพวกสาวชาวนา
หลังจากหลิวหรูยู่เห็น ก็วิ่งไปช่วยเหลือเหมือนเด็กสาวตัวน้อยอย่างตื่นเต้นดีใจ
หม่าเซวี่ยหน้าแดง สักพักหนึ่งจึงเอ่ยอย่างอดไม่ได้ : “พี่หรูยู่ หนูฟังเพลงใหม่ของพี่แล้วนะ”
“ทำไมพี่ถึงได้มีพรสวรรค์ขนาดนี้”
ก่อนหน้านี้หลิวหรูยู่เคยมาอยู่สองหน เลยนับว่ารู้จักหม่าเซวี่ยอยู่
หลิวหรูยู่ยิ้มเอ่ย : “น้องหม่าเซวี่ย หากว่าเธอชอบละก็ เดี๋ยวพี่จะเชิญเธอไปคอนเสิร์ตพี่นะ”
ฉินเทียนนั่งดื่มชาอยู่ในศาลาบนน้ำเป็นเพื่อนอานกั๋วกับจุยเฟิง
อานกั๋วมองรูปร่างอันงดงามของหลิวหรูยู่ที่ในไร่ เสียงหัวเราะร่าเริงเหมือนกระดิ่งเงินเล็ก ๆ ดังอยู่ในสายลมอยู่บ่อย ๆ เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
“ฉินเทียน นึกไม่ถึงจริง ๆ นายถึงกับทำสถานที่ดี ๆ ตั้งขนาดนี้”
“เป็นดินแดนแห่งความฝันเลย”
“พอฉันได้มาก็ตกหลุมรักซะแล้ว”
“แย่ล่ะ หากว่าฉันไม่อยากไปจะทำยังไงล่ะทีนี้ ?”
ฉินเทียนเติมชาให้อานกั๋ว เอ่ยปนยิ้ม : “งั้นก็อยู่เลยสิครับ”
“อย่างไรซะสถานที่แห่งนี้ของผมใหญ่ตั้งขนาดนี้ ห้องก็มีเยอะแยะถมเถไป”
“นายท่าน จู่ ๆ ท่านมาเยี่ยม ไม่ใช่แค่มาดูสถานที่แห่งนี้ของผมอย่างเดียวหรอกใช่ไหมครับ ?”
อานกั๋วดื่มชาอึกหนึ่ง แล้วพูดหัวเราะเยาะตัวเอง : “ต้องโทษฉัน อายุยิ่งมาก ก็ยิ่งข่มอารมณ์เอาไว้ไม่ได้”
“คราวก่อนที่นายโทรหาฉัน บอกจะเคลื่อนพลเมืองจิ่นหู แล้วเข้าไปวางหมากเจ็ดเมืองทางใต้ ฉันตื่นเต้นมากหลังจากที่ได้ฟัง”
“หลายวันมานี้พร้อมที่จะต่อสู้แล้ว รอก็แต่สัญญาณถัดไปของนาย”
“นึกไม่ถึงว่าข่าวคราวที่รอมา กลับเป็นนายถอนกำลังออกจากเมืองจิ่นหู”
“ฉันประหลาดใจมาก”
พูดถึงตรงนี้ จุยเฟิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ : “พี่เทียน นายท่านรอให้พี่โทรมาหาเขาอยู่ตลอด เพื่อบอกเรื่องถอนกำลัง”
“นึกไม่ถึงว่าพี่จะไม่โทรมาเลย”
“นายท่านทนไม่ไหว เลยถ่อมานี่ด้วยตัวเอง”
“ตกลงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับทางนั้นกันแน่ ?”
“เจอความล้มเหลวหน่อยก็ถอยทัพ ไม่ใช่สไตล์ของพี่เลยนะ”
ฉินเทียนยิ้มเอ่ย : “ต้องโทษผม ที่ไม่ได้ปล่อยข้อมูลให้พวกคุณในทันที”
“อันที่จริงเรื่องมันเป็นแบบนี้——”
เขาเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้รอบหนึ่ง
อานกั๋วหัวเราะยกใหญ่หลังจากฟัง แล้วเอ่ย : “ฉินเทียน คนต่างบอกว่าขิงแก่เผ็ด คนหนุ่ม ๆ อย่างนายยังเผ็ดยิ่งกว่าขิงแก่ซะอีก !”
“การถอยเพื่อเดินหน้านี้ เล่นได้สวยมาก !”
“หากไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย อีกไม่กี่วันก็ได้ที่แห่งนั้นโดยสมบูรณ์ นายก็คือม้ามืดที่ไม่สามารถขัดขวางเอาไว้ได้ของเจ็ดเมืองทางใต้แล้ว”
จุยเฟิงเองก็โกรธจนหัวเราะ
“ให้เราเป็นห่วงพี่ซะเสียเปล่าเลย !”
“ไม่ได้การ เรื่องนี้ยังไม่ได้ผ่านการดื่มเหล้าฉลองเลย”
“นายท่านมาถึงเขตอิทธิพลพี่แล้ว ไม่ต้องให้ฉันดูแลเรื่องความปลอดภัยแล้ว ฉันได้ผ่อนคลายให้เต็มที่ซะหน่อยพอดีเลย”
แล้วก็พูดคุยกันอีกไม่กี่ประโยค ฉินเทียนเห็นสีหน้าอานกั๋วแปลกไป จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ย : “นายท่าน ท่านมาด้วยตนเองในครั้งนี้ ไม่ได้แค่ถามเรื่องพวกนี้กับผมเพียงอย่างเดียวหรอกใช่ไหมครับ ?”
“ยังมีอะไรอยากบอกผมอีกใช่ไหมครับ ?”
อานกั๋วยิ้มเอ่ย : “ปิดบังจากสายตาของนายไม่ได้อย่างที่คาดไว้เลย”
“ใช่แล้ว”
“สหพันธ์ธุรกิจทางใต้นี้ที่นายว่า มีบางคนอดใจไม่ไหวเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว”
“เมื่อวานนี้ ตระกูลเจี่ยงที่จัดอยู่ในลำดับที่สอง ตระกูลเฉินลำดับที่สี่และตระกูลหม่าลำดับที่ห้าจากของห้าตระกูลใหญ่แห่งเมืองจิ่นหูต่างส่งคนมาติดต่อกับฉันแล้ว”
“บอกอย่างเที่ยงตรง แสดงความเป็นมิตรกับฉัน”
“พูดอย่างเป็นนัยมาก”
“บอกว่าตลาดของเมืองจิ่นหูใหญ่มาก หากว่าฉันอยากไปทำธุรกิจ พวกเขายินดีให้ความช่วยเหลือ”
“ไว้มีโอกาส มาเจอหน้าพูดคุยกันอะไรทำนองนี้ได้ด้วยเช่นกัน”
“ฉันโทรหายู่หลิงหลง ตระกูลพวกนี้ ติดต่อกับเธอที่เป่ยเจียงแทบจะขณะเดียวกันเลยด้วย เนื้อหาที่บอกก็เหมือนกันเป๊ะ”
ฉินเทียนแสยะยิ้มเย็นแล้วเอ่ย : “ดูท่าพวกเขาต่างอยากมาทำหน้าที่ผู้นำนี้นะ”
“นี่เป็นการเริ่มดึงคนมาเป็นพวกแล้ว”
“รอเดี๋ยวนะ——”
นึกถึงอะไรได้ เขากดโทรหาจ้าวเทียนเผิงจากตระกูลจ้าวที่อวิ๋นชวน และสอบถามสถานการณ์
จ้าวเทียนเผิงบอกเหมือนกับอานกั๋วเป๊ะ สามตระกูลนี้ก็ติดต่อตระกูลจ้าวของพวกเขาด้วยเช่นเดียวกัน
“คุณฉิน ทำไมตระกูลพวกนี้จู่ ๆ ถึงได้แสดงความเป็นมิตรกับเราล่ะ ?”
“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่า พวกเขาไม่ได้มีเจตนาดีกันนะ”
เขายังไม่รู้เรื่องที่ว่าห้าตระกูลใหญ่จะก่อตั้งสหพันธ์ธุรกิจทางใต้
ฉินเทียนยิ้มเอ่ย : “ก็ไม่สามารถนับได้ว่าเป็นเลวร้ายหรอกนะ”
“นายท่านจ้าว เรื่องนี้น่ะ ไว้อีกสองสามวันผมค่อยมาคุยกับคุณนะครับ”
จ้าวเทียนเผิงรีบเอ่ย : “ยังไงซะไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ตระกูลจ้าวของเราจะฟังคุณฉินตลอดไปอยู่ดี”
“จริงสิคุณฉิน มีเรื่องที่ผมต้องรายงานกับคุณหน่อย——”
จ้าวเทียนเผิงกดเสียงต่ำลง เหมือนขาดความมั่นใจอยู่หน่อย ๆ
“ตั้งแต่ที่คุณชายน้อยจากตระกูลจี้แพ้ให้คุณเมื่อคราวก่อน ก็ฝึกซ้อมทั้งวันทั้งคืนอยู่ที่บ้านเรา”
“ผมได้ยินชิงเหยาบอกว่า เขาใกล้จะไขกระบวนท่าของคุณได้แล้ว หากไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมาย ใช้เวลาอีกไม่นาน ก็สามารถไปท้าประลองกับคุณอีกได้แล้ว”
“ทางที่ดีคุณเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า”
ใบหน้าของฉินเทียนตกใจ ไอ้หมอนี่กลายเป็นปลาสเตอร์หนังหมาที่ติดตัวเองเข้าแล้วจริง ๆ
แต่ว่านึกถึงจี้ซิงที่ไขกระบวนท่าครั้งที่แล้วของตัวเองได้ไวขนาดนี้แล้ว เขาก็แอบตกใจอยู่เหมือนกัน
ไอ้หมอนี่ ไม่ได้เป็นเพียงบ้าบู๊นะ แม่งยังเป็นอัจฉริยะซะด้วย
หลังจากวางสายไป ฉินเทียนคิดอะไรขึ้นมาได้กะทันหัน ขมวดคิ้วเอ่ย : “ทำไมถึงเป็นตระกูลเจี่ยง ตระกูลเฉิน ตระกูลหม่าที่มาดึงคนเป็นพรรคพวกก่อน”
“ตามหลักแล้ว ตระกูลที่อยู่อันดับที่หนึ่ง น่าจะมีกำลังยิ่งกว่า ได้รับความไว้วางใจจากทุกคนยิ่งกว่าไม่ใช่หรอกเหรอ ?”
“ฉันอยู่เมืองจิ่นหูมาหลายวัน ก็ไม่เคยมีการคบค้ากับคนจากตระกูลลำดับที่หนึ่งเลยเหมือนกัน”
“นายท่าน ท่านรู้จักคนจากตระกูลลำดับที่หนึ่งนี้ไหมครับ ?”
อานกั๋วขมวดคิ้วเอ่ย : “นี่ก็เป็นที่ที่ฉันกังวลที่สุดเหมือนกัน ฉันมาในครั้งนี้ หลัก ๆ แล้วก็คืออยากปรึกษาเรื่องนี้กับนาย”
บทที่ 483 ห้าพญายมแห่งนรก
บทที่ 485 กลับจิ่นหู