Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1533 เวลาเปิดเผยความสามารถ

ตอนที่ 1533 เวลาเปิดเผยความสามารถ
ห่างจากภูเขาหิมะแห่งนี้พันลี้ ก็คือเมืองอารักษ์มรรค
บนหอกำแพงเมืองที่สูงตระหง่าน ปี้เจี้ยนฉยงผู้อาวุโสหกแห่งสำนักมารฟ้าประทานเอามือไพล่หลัง ทอดมองไปไกลๆ
หนึ่งพันลี้ ด้วยพลังจิตรับรู้ระดับมกุฎอริยะของเขา เพียงพอที่จะสัมผัสสถานการณ์ส่วนใหญ่ในนั้นได้แล้ว
“ผู้หญิงคนหนึ่ง กลับกล้าเลียนแบบพฤติกรรมแมงเม่าบินเข้ากองไฟ เปิดฉากสังหารนองเลือดตลอดทาง ปลายอาวุธชี้ตรงมาที่ค่ายทัพใหญ่ของพวกเรา ควรบอกว่านางโง่เขลาหรือกล้าหาญน่ายกย่องดี”
ปี้เจี้ยนฉยงพึมพำ
ข้างๆ ยังมีมกุฎอริยะอีกจำนวนหนึ่ง ได้ยินเช่นนี้ต่างอดหัวเราะเยาะไม่ได้
ตอนที่ได้ยินว่าหลังจากผู้หญิงที่ชื่อรั่วอู่นั่นรอดพ้นจากป่าหลอมจิต แต่ไม่ได้เลือกหนีออกจากโลกมารโลหิตทันที ทว่ากลับมุ่งหน้าบุกสังหารมาทางเมืองอารักษ์มรรคอย่างเปิดเผย พวกเขาเองก็อึ้งงันไปเช่นกัน
บนโลกนี้ถึงกับมีคนไม่กลัวตายเช่นนี้ด้วยหรือ
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นถึงค่ายทัพใหญ่ของพวกเขา แค่มกุฎอริยะที่ดูแลอยู่ที่นี่ก็มีมากถึงหลายสิบคนแล้ว ใครให้ความกล้านางมารนหาที่ตายกัน
“มกุฎอริยะหญิงคนหนึ่ง แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นคนโง่เขลา นางทำเช่นนี้พิสูจน์ได้เพียงสิ่งเดียวคือ นางไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ”
มีคนพูดจาล้อเลียนเย้ยหยัน
“ไม่อยากมีชีวิตอยู่ก็ต้องมีเหตุผลสักหน่อยถึงจะถูก ข้าว่าจับเป็นจะดีที่สุด ทรมานสักหน่อย ถามนางว่าเหตุใดจึงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว”
มีคนที่ในดวงตาสาดประกายแปลกประหลาด
นี่คือมกุฎอริยะที่ราวกับเด็กหนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่ง ในมือถือพัดหยกลายทอง อยู่ในชุดคลุมหรูหรา บุคลิกโดดเด่น
เลี่ยอวี้!
มกุฎอริยะแห่งเผ่าภูตเงิน หนึ่งในสิบมหาเผ่าใหญ่ของดินแดนโบราณมารโลหิต
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ต่างเผยสีหน้าพิกลออกมา
ใครก็รู้ดีว่าแม้เลี่ยอวี้จะเป็นอริยะ แต่เพราะสิ่งที่แสวงคือมรรคาที่ ‘ดูดเสริมบำเพ็ญคู่’ อย่างหนึ่ง เป็นคนที่มีกิเลสตัณหาที่สุด
นี่ไม่ใช่กามราคะ แต่เป็นการใช้การดูดเสริมหยินหยางเป็นวิธีเสาะหามรรคาของตน เลี่ยอวี้สามารถบรรลุมกุฎอริยะได้ ย่อมไม่ใช่แค่มารลามกทั่วไปจะเทียบได้
ทว่าเรื่องที่เลี่ยอวี้ชอบรวบรวมหญิงงามเพื่อเสพสุขนั้นก็เป็นความจริง
เห็นได้ชัดว่าเขาหมายตารั่วอู่แล้ว
“ทุกท่านอย่าได้เข้าใจผิด แม้ข้าจะทะนุถนอมหญิงงาม แต่กับศัตรู ก็สามารถลงมือรุนแรงพร้อมสังหารได้เช่นกัน”
เลี่ยอวี้ยิ้มพูด
ตอนที่กำลังคุยกันนั้น ปี้เจี้ยนฉยงที่ในดวงตามีประกายเทพวาบผ่านก็พลันเอ่ยปาก
“มาแล้ว!”
แทบจะในเวลาเดียวกัน มกุฎอริยะคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่บนหอกำแพงเมืองต่างแผ่จิตรับรู้ออกไป
……
ลมหิมะแพร่กระจายไปทั่ว ภูเขาเรียงราย
เล่อเทียนเหิง เสอปี้อวิ๋นและเฮ่อชิงเหยียนยืนกันคนละมุม กลายเป็นรูปแบบสามมุม ประหนึ่งป้อมปราการสามแห่งที่ขวางกั้นฟ้าดิน ดุจดั่งหมื่นกำลังไม่อาจฝ่า
ไอสังหารอันตรายไร้รูปแผ่กระจายไปทั่วราวกับกระแสน้ำ ฟ้าดินเงียบสงัด สรรพสิ่งครัดเคร่ง
เมื่ออริยะเดือดดาล ศพกองนับล้าน เลือดไหลเป็นสายน้ำ!
บัดนี้เล่อเทียนเหิงเข้าควบคุมที่นี่ เพียงแค่กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่าง ก็เพียงพอจะกำจัดผู้ที่ต่ำกว่าระดับอริยะทุกคนที่เข้าใกล้แล้ว!
ห่างออกไปเงาร่างของหลินสวินปรากฏขึ้น อยู่ในชุดสีขาวพระจันทร์ เอามือไพล่หลัง เดินอยู่ในพายุหิมะราวกับเดินเล่นในสวนอย่างไรอย่างนั้น
หืม?
พวกเล่อเทียนเหิงอึ้งไป เดิมทีพวกเขาคิดว่ารั่วอู่จะต้องปรากฏตัวในทันที ไม่คิดว่ากลับเป็นหลินสวินที่เผยร่องรอยก่อน
“เหตุใดจึงเป็นเจ้าหมอนี่โผล่ออกมาก่อน”
บนหอกำแพงเมืองอารักษ์มรรค มกุฎอริยะอย่างพวกปี้เจี้ยนฉยงเองก็ขมวดคิ้ว
ทุกสิ่งที่พวกเขาวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าควรฆ่ารั่วอู่อย่างไร มองข้ามหลินสวินโดยตรง
แต่คนที่พวกเขามองข้ามนี้กลับปรากฏตัวก่อน
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความประหลาดใจเล็กๆ น้อยๆ ไม่นานพวกเขาก็ถูกรั่วอู่ที่ปรากฏตัวตามหลังหลินสวินมาติดๆ ดึงดูด
นางอยู่ในชุดสีแดง เงาร่างสูงเพรียวสง่างาม ก้าวเดินอยู่ในลมหิมะสีขาว ผมสีดำพลิ้วไหว ใบหน้างดงามไร้ที่ติเผยประกายบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ราวกับเซียนลงมาเยือนโลก
“งามมาก!”
เลี่ยอวี้ตาเป็นประกาย เผยแววชั่วร้าย เลียริมฝีปากพูด “ไม่ว่าอย่างไรห้ามฆ่านางเด็ดขาด คนสวยเช่นนี้เป็นสินค้าชั้นหนึ่งเชียวนะ พบเจอได้แต่ไม่อาจครอบครอง”
คนอื่นๆ อดหัวเราะไม่ได้
ปี้เจี้ยนฉยงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารับรู้ได้อย่างฉับไวว่าสีหน้าของรั่วอู่นิ่งสงบใจเย็น ดูไม่เหมือนคนโง่ที่กระทำการประหนึ่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟเลยสักนิด
นางกล้ามาที่นี่ หรือจะมีที่พึ่ง
ทันใดนั้นปี้เจี้ยนฉยงพลันส่ายหน้าเงียบๆ ในพื้นที่พันลี้นี้เป็นที่ตั้งค่ายทัพใหญ่ของดินแดนโบราณมารโลหิตไปแล้ว
แม้อีกฝ่ายมีที่พึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาไข่ไปกระทบหิน!
ในเวลาเดียวกัน สายตาของมกุฎอริยะทั้งสามอย่างพวกเล่อเทียนเหิงก็เคลื่อนออกจากตัวหลินสวินมาหยุดที่รั่วอู่
ผู้หญิงคนนี้ต่างหากที่เป็นเป้าหมาย ควรค่ากับการให้ความสำคัญของพวกเขา!
กลางฟ้าดินบรรยากาศยิ่งกดดันและเงียบสงัดขึ้นมา แม้แต่เสียงลมซึ่งราวกับภูตผีคร่ำครวญยังเงียบไป
รั่วอู่อึ้ง รับรู้ได้ว่ามีไอสังหารสามสายจับจ้องตน ส่วนหลินสวินกลับกลายเป็นคนที่ไม่มีใครสนใจ
นางอดยิ้มสื่อจิตไม่ได้ ‘ดูเหมือนพวกเขายังไม่รู้เรื่องที่เจ้าบรรลุมกุฎอริยะแล้ว และจนตอนนี้ก็ยังไม่เชื่อว่าพวกเล่อเซวี่ยซิวถูกเจ้าฆ่า’
หลินสวินที่เดินอยู่ข้างหน้าพูดสบายๆ ‘เช่นนี้ย่อมดีกว่ามิใช่หรือ ตลอดทางมานี้มีระยะประมาณสองหมื่นเก้าพันลี้ ระหว่างทางเจ้ากับเสี่ยวอิ๋นรวมถึงเสี่ยวเทียนสังหารไม่หยุด ไม่มีโอกาสให้ข้าลงมือมากนัก ตอนนี้ก็ถึงตาข้าลงมือบ้างแล้ว’
รั่วอู่เหยียดมุมปากขึ้น ‘รีบรบรีบจบ?’
หลินสวินกล่าว ‘ห่างออกไปพันลี้มีตาแก่กลุ่มหนึ่งกำลังชมการต่อสู้ แน่นอนว่าต้องสร้างความประหลาดใจให้พวกเขาถึงจะถูก’
รั่วอู่พยักหน้า ‘เช่นนั้นก็ตามนี้’
ตอนที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้นก็มาถึงยอดภูเขาน้ำแข็งแห่งหนึ่งแล้ว ห่างออกไปสองสามพันจั้งก็คือยอดเขาที่พวกเล่อเทียนเหิงยืนอยู่
ตอนที่สบตากัน เสียงปะทะของพลังขับเคลื่อนอันน่ากลัวราวกับฟ้าร้อง ดังกึกก้องขึ้นในบรรยากาศที่เงียบสงัดนี้
ทันใดนั้นฟ้าดินสะท้าน ภูเขามากมายสั่นเขย่า หิมะดุจพังทลาย พัดถล่มลงมา
ตูม!
แทบจะในเวลาเดียวกัน เงาร่างของรั่วอู่พริบไหวโฉบพุ่งนำออกมาก่อน ชุดแดงพลิ้วไหว ราวกับวิหคชาดที่บินอยู่กลางฟ้าดิน
แขนเสื้อสะบัดคราหนึ่ง
เพลิงศักดิ์สิทธิ์ไร้สิ้นสุดดุจแม่น้ำใหญ่ปกคลุมฟ้าดินลงมา อากาศหลอมละลาย ผลาญพันภูเขาหิมะ!
“ลงมือ!”
ในเสียงตะโกนปานฟ้าร้อง เล่อเทียนเหิง เสอปี้อวิ๋นและเฮ่อชิงเหยียนเองก็ออกโจมตีพร้อมกัน แต่ละคนอานุภาพล้นฟ้า ปลดปล่อยพลานุภาพอริยะออกมา
ชิ้ง!
ดาบศึกสีเลือดแคบยาวเล่มหนึ่งถูกเล่อเทียนเหิงฟันขวางออกมา ฟ้าดินภูผาธาราราวกับผืนผ้าใบ ถูกเฉือนเปิดออกทันใด!
วู้ม…
เมื่อเสอปี้อวิ๋นอ้าปาก กระบี่บินพร่างพรายเล่มหนึ่งก็พุ่งออกมา คดโค้งงดงาม มีประกายแหลมคมยิ่งยวด โฉบพุ่งรุนแรง
ตูม!
การโจมตีของเฮ่อชิงเหยียนเผด็จการที่สุดและรุนแรงที่สุด ร่างกายที่สูงหลายจั้งของเขามีเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีทองลุกโชน ก้าวเดินหนึ่งก้าวห้วงอากาศยุบทลาย หยินหยางทวนกลับ
และแขนข้างขวาก็กวัดแกว่งโจมตีไปด้วย พลังของหนึ่งหมัดที่ปล่อยออกมา ทำเอาให้เก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดินสะท้านสะเทือน ครวญคร่ำอัดอั้น ราวกับกลองใหญ่ที่เทพเซียนเคาะตี
ไม่มีคำพูดไร้สาระใดๆ ชั่วขณะที่เผชิญหน้า การต่อสู้พลันปะทุ!
“ดี!”
บนกำแพงเมืองอารักษ์มรรค มีคนตบมือชื่นชม
ปี้เจี้ยนฉยงเองก็ลอบพยักหน้า การต่อสู้ของอริยะ หากไม่ลงมือก็แล้วไป แต่พอลงมือย่อมมีท่าทีประดุจอสนีบาต อานุภาพกวาดล้างสรรพสิ่ง
ความสามารถของพวกเล่อเทียนเหิงโดดเด่นมากจริงๆ
ตูม!
ในสนามรบรั่วอู่ถูกมกุฎอริยะสามคนล้อมโจมตีในชั่วพริบตา ภูเขาแต่ละลูกบริเวณนั้นยุบทลายและระเบิดไปด้วย ถูกแสงประกายน่ากลัวกวาดซัด
ทุกสายตาล้วนจับจ้องรั่วอู่ ต่างเผยนัยน่าครั่นคร้ามและเย็นชา
ไม่เหนือความคาดหมาย สถานการณ์ได้ถูกกำหนดแล้ว!
ด้านหลินสวิน ในช่วงที่ไม่มีใครสนใจเขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาดำที่เย็นเยียบมีไอสังหารวาบผ่านก่อนหายวับไป
บนร่างของเขา กลิ่นอายน่ากลัวที่ถูกไอซวนหนีปิดบังระเบิดออกกะทันหัน ราวกับภูเขาไฟที่กดทับมาแสนปี
ตูม!
แสงมรรคเจิดจ้าทะลวงเวิ้งฟ้าชั้นเมฆ ส่องสว่างภูผาธาราสิบทิศ
“หืม?”
ในสนามรบ พวกเล่อเทียนเหิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลันแบ่งจิตรับรู้เสี้ยวหนึ่งมองไปตามจิตใต้สำนึก
“นี่…”
บนหอกำแพงเมือง ในใจมกุฎอริยะอย่างพวกปี้เจี้ยนฉยงต่างกระเพื่อมไหว เคลื่อนความสนใจมองไปยังตำแหน่งที่แสงมรรคเจิดจ้านั่นพุ่งออกมา
และตอนนี้ หลินสวินได้ลงมือแล้ว
ผมดำของเขาพลิ้วไหว รอบตัวถูกแสงพร่างพรายปกคลุม ราวกับสุริยันดวงโตพุ่งออกจากหุบเหวลึก อานุภาพที่กร้าวแกร่งตลบม้วนไปทั้งที่นั้น
เมื่อเขาก้าวออกไปหนึ่งก้าว แปดทิศล้วนอลม่าน ปรากฏแนวโน้มฟ้าพลิกดินกลับ สรรพสิ่งพังทลาย
“แย่แล้ว!”
พวกเล่อเทียนเหิงหน้าเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง ตระหนักได้ถึงความผิดพลาดหนึ่ง
ก่อนหน้านี้พวกเขามองรั่วอู่เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่ง มองข้ามหลินสวิน คิดว่าเขายังไม่บรรลุอริยะ ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง
แต่ตอนนี้พวกเขาถึงเพิ่งจะรู้ว่า เจ้าหมอนี่บรรลุมกุฎอริยะแล้ว!
“มิน่าถึงได้ไร้ความเกรงกลัว ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”
บนหอกำแพงเมือง ชุดของปี้เจี้ยนฉยงโบกสะบัดจนเกิดเสียง ในดวงตาวาบประกายศักดิ์สิทธิ์น่ากลัว เข้าใจในทันทีว่าเหตุใดรั่วอู่จึงกล้าบุกสังหารมาตลอดทาง
ที่แท้หลินสวินนั่นก็เป็นที่พึ่งของนาง!
ข้างๆ ปี้เจี้ยนฉยง มกุฎอริยะทั้งกลุ่มก็คาดไม่ถึงเช่นกัน รู้สึกทำอะไรไม่ถูก
ไม่ได้เข้าสู่แดนลับนรกโลกันตร์ ไม่ได้ช่วงชิงจุดเปลี่ยนบรรลุอริยะ เจ้าตัวจ้อยที่ราวกับมดปลวกนั่นกลับบรรลุอริยะแล้วหรือ
นี่เป็นไปได้อย่างไร
เรื่องไม่คาดคิดนี้เกิดขึ้นกะทันหันขนาดนี้ ทำเอาพวกเขายังหวั่นไหว
ส่วนในสนามรบ ในดวงตาของรั่วอู่เผยประกายประหลาด “การเข่นฆ่าที่แท้จริงจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้!”
หลังผ่านความตกใจในตอนแรก พวกเล่อเทียนเหิงได้คืนสู่สภาพปกติแล้ว
ในฐานะมกุฎอริยะ พวกเขามีประสบการณ์ต่อสู้มากมาย ความมั่นคงของสภาวะจิตไม่ใช่แค่น่ากลัวแบบธรรมดา
ความประหลาดใจก่อนหน้านี้ ก็แค่เพราะสังเกตเห็นว่าหลินสวินบรรลุมกุฎอริยะแล้วก็เท่านั้น หากคิดว่าเรื่องแค่นี้จะสามารถทำให้พวกเขารับมือไม่ถูก เช่นนั้นก็ผิดมหันต์แล้ว!
และตอนนี้ หลินสวินลงมือแล้ว
ตูม!
ทันทีที่หลินสวินลงมือก็เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ อานุภาพดุจแสงเคลื่อนที่มาเยือนอย่างรุนแรง เร็วจนเหลือเชื่อ
ฉัวะๆๆๆ!
ปราณกระบี่ไท่เสวียนสามพันสายพุ่งออกจากร่าง แปรเปลี่ยนเป็นค่ายกลกระบี่ ปกคลุมเข้าใส่เล่อเทียนเหิง
ส่วนในมือหลินสวิน เจดีย์สมบัติไร้อักษรปรากฏ ถูกเขาควบคุม ทะลวงสังหารออกมาในเวลาเดียวกัน
ในเมื่อตัดสินใจจะสร้างความประหลาดใจให้อีกฝ่าย หลินสวินจะออมมืออีกได้อย่างไร
ก็เห็นว่าในสนามรบเกิดความวุ่นวายขึ้นมาพลัน ค่ายกลกระบี่ตลบม้วน หนาแน่นราวกับไม่อาจทะลวงผ่าน ตัดสลับทับซ้อน ดุดันไร้ที่เปรียบ
“ไม่ถูกต้อง!”
จู่ๆ สีหน้าของเล่อเทียนเหิงพลันเปลี่ยนไปอย่างมาก อกสั่นขวัญหนี จิตวิญญาณหลุดลอย อานุภาพที่การโจมตีนี้ของหลินสวินปลดปล่อยออกมา ถึงกับทำให้เขามีรู้สึกเหมือนจะหยุดหายใจ
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มกุฎอริยะทั่วไปแน่!
คิดถึงตรงนี้ เล่อเทียนเหิงพลันหนาวเยือกไปทั้งตัว
——
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท